หลินจือไม่คิดว่าจู่ๆเทาเท่จะพูดขอโทษ แต่เธอก็ตอบรับอย่างนิ่งสงบ“ฉันรับคำขอโทษของคุณ”
หลังจากที่เธอพูดจบก็ถามเขาว่า“ รบกวนคุณช่วยส่งฉันกลับไปที่งานเลี้ยงทีได้ไหม?”
ความเฉยเมยของเธอทำเอาไฟที่สุมอยู่ในอกของเทาเท่ค่อยๆปะทุขึ้น คืนนี้เขาได้รู้เรื่องที่ซูซีกับพินอินร่วมกันทำลงไป อกก็แทบจะระเบิด
แต่เธอทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปัดทุกอย่างออกให้พ้นตัว
หลินจือเห็นเขาตาขุ่นตาเขียวมองมาที่ตัวเอง ก็จึงเดินหนีไป
เธอเดินไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา“ไม่เป็นไร ฉันจะเรียกรถผ่านแอปกลับเองก็ได้ ”
ทันทีที่พูดจบ ร่างของเธอก็ถูกเทาเท่คว้าเอาไว้
เทาเท่คว้าตัวเธอเพราะอยากจะบอกว่าเขาจะไปส่งเธอเอง ใครจะไปรู้ว่าความขุ่นมัวที่อยู่ในใจจะทำให้แรงดึงที่มือนั้นมีกำลังมากเกินไป อีกทั้งหลินจือก็สวมใส่รองเท้าส้นสูง พอถูกดึงแบบนี้ ข้อเท้าของหลินจือก็พลิกขึ้นมาทันที
เธอเจ็บปวดจนเกือบจะล้มลงกับพื้น เทาเท่ก็รีบคว้าตัวเธอเอาไว้ ขมวดคิ้วและถามว่า“เป็นอะไรไป?”
เพราะหลินจือใส่ชุดกระโปรง ในตอนที่เทาเท่คว้าตัวเธอนั้นมือหนึ่งก็จับไปที่แขนเธอ และอีกมือก็โอบไปที่เอวบางของเธอ ตำแหน่งที่จับไปนั้นทั้งเนียนและนุ่มลื่น ร่างทั้งร่างของเขาก็เกร็งกระตุกขึ้นมาในทันที
หลินจือเจ็บปวดจนไม่ได้สนใจสภาพที่หมิ่นเหม่นี้ เธอหลุบตามองไปที่ข้อเท้าแล้วพูดว่า“เหมือนข้อเท้าจะพลิก ”
เทาเท่“……”
นี่เขาจะซวยอะไรขนาดนั้น แค่ดึงคว้าตัวเธอไว้ก็ทำเอาข้อเท้าพลิกกันเลย
เมื่อก่อนก็แค่ทำร้ายความรู้สึกเธอ ตอนนี้ถึงขั้นทำร้ายร่างกายเธอแล้ว
“ผมขอโทษ สงสัยผมจะออกแรงมากเกินไป”เทาเท่พูดขอโทษเป็นอย่างแรก จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองจะพูดขอโทษติดปากมากขึ้น
หลังจากที่พูดขอโทษแล้วเขาก็อุ้มหลินจือขึ้นแล้วพูดอย่างเป็นกังวลว่า“ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
หลินจือตกใจกับการที่ถูกเขาอุ้มขึ้นมา และรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย“ฉัน ฉันเดินเองก็ได้ คุณวางฉันลงเถอะ ”
รถของเขาจอดอยู่ไม่ไกลนัก หากเธอจะเดินไปที่รถเองก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ถูกอดีตสามีอุ้มไว้ในอ้อมแขน โดยเฉพาะในตอนที่เธอสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นแบบนี้ มันรู้สึกขัดเขินและน่าอายมากจริงๆ
แต่เทาเท่กลับไม่ฟังในสิ่งที่เธอพูดเลย ชายหนุ่มอุ้มเธอและสาวเท้าเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงที่หน้ารถ
หลังจากที่พาหลินจือมานั่งในรถแล้ว เทาเท่ก็ย่อตัวลงแล้วจับไปที่ข้อเท้าของหลินจือเบาๆเพื่อสำรวจ
ฝ่ามือที่ร้อนผ่าวของชายหนุ่มจับไปยังข้อเท้าที่ขาวเนียนของเธอ ใบหน้าของหลินจือก็อดไม่ได้ที่จะเห่อร้อนขึ้นมา
เธออับอายจนอยากจะมุดดินหนี ขยับข้อเท้าหนีด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ“ไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจดูดีกว่า……”
เทาเท่นวดคลึงไปที่ข้อเท้าของเธอแล้วพลางพูดขึ้นว่า“ มีอะไรน่าอายกัน ”
หัวใจของหลินจือกระตุก ขอเขาอย่าพูดอะไรที่ว่า“ทุกส่วนในร่างกายเธอเขาเห็นมาหมดแล้ว กับแค่ข้อเท้าจะอายทำไม”คำพูดที่สองแง่สองง่ามแบบนี้เลย
โชคยังดีที่เทาเท่ไม่ได้พูด คลายมือจากข้อเท้าเธอแล้วเหลือบมองเธอนิ่ง จากนั้นก็ขึ้นรถแล้วขับออกไป
ทั้งสองขับรถออกมาได้ไม่นาน หลังจากนั้นวีนาก็โทรมาหาเทาเท่
พินอินคงน่าจะถึงบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าพินอินพูดอะไรกับวีนา และวีนาก็คงจะโทรมาโวยวายกับเขาแน่นอน
ดังนั้นพอกดรับสาย เทาเท่ไม่รอให้วีนาได้พูดอะไรชิงพูดขึ้นก่อนว่า“แม่ ความผิดของพินอินยกโทษให้ไม่ได้ ส่งเธอไปต่างประเทศก็ถือว่าผมปรานีที่สุดแล้ว”
วีนาถูกคำพูดของเขาพูดจนจุก แต่ก็ยังอ้อนวอนแทนพินอิน“พินอินแค่ไม่ทันได้ยั้งคิด หรือจะให้เธอไปขอโทษหลินจือก็ได้?”
เทาเท่พูดอย่างเย็นชาว่า “มันสายไปแล้ว”
เขาหย่ากับหลินจือไปแล้ว พินอินมาขอโทษตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร ?
เทาเท่ยังคงระงับความโกรธและพูดว่า“อีกเรื่องนะแม่ พินอินทำเรื่องแบบนี้ แม่พูดว่าเธอไม่ทันได้ยั้งคิด ดูรู้เลยว่าที่เธอนิสัยเสียเพราะมีแม่คอยให้ท้าย เธอไม่เหมาะจะอยู่กับแม่อีกต่อไปแล้ว”
“เทาเท่!”คำพูดของเขาทำเอาวีนาเดือดจัด อดไม่ได้ที่จะตะคอกเสียงดังว่า“ ฉันเป็นแม่แกนะ !”
“แกอยากจะฆ่าฉันให้ตายใช่ไหม?”
“ต้องให้ฉันตายใช่ไหม แกถึงจะยอมหยุด?”
เทาเท่รู้สึกปวดหัวอย่างมาก เขาไม่คิดว่าแม่เขาจะปกป้องพินอินขนาดนี้ ถึงขั้นเอาความเป็นความตายมาขู่กันแบบนี้
นอกจากนี้ ในหัวของวีนาก็คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง อยากจะปกป้องพินอินท่าเดียว เคยคิดถึงความรู้สึกของลูกชายอย่างเขาบ้างไหม ?
ในช่วงที่เขาใช้ชีวิตแต่งงาน พินอินกับซูซีร่วมมือกันทำเรื่องแบบนี้กับภรรยาของเขา ซึ่งนำไปสู่การหย่าร้าง วีนายังจะปกป้องพินอินอีก?
ลูกชายอย่างเขาในสายตาของวีนา เป็นเพียงเครื่องมือที่สามารถนำพาความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งให้เธอเท่านั้นใช่ไหม?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า“ในเมื่อเธอทำผิด ก็ต้องถูกลงโทษ”
ทันทีที่พูดจบเขาก็กดวางสาย ไม่อยากจะสนใจอาการตีโพยตีพายของวีนาอีก
เพราะโทรศัพท์สายนี้ ทำให้บรรยากาศในรถตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
หลินจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจพูดขึ้นว่า“เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อันที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้กับพินอินก็ได้”
“สำหรับคุณมันผ่านไปแล้ว แต่กับผมมันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น!”เทาเท่ตวาดกลับเสียงดังด้วยความโกรธ
หลินจือรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นของเขา ดังนั้นก็จึงไม่พูดอะไรอีก
เขาอยากจะทำอะไรก็เรื่องของเขาแล้วกัน
เธอหลุบตาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาเจเทาวน์ “ประธานเจเทาวน์ ฉันคงไม่ได้กลับไปที่งานเลี้ยงอีก ข้อเท้าของฉันพลิก……”
เจเทาวน์เป็นห่วงอย่างมาก“ข้อเท้าพลิกได้ยังไง ? อาการรุนแรงไหม ? ตอนนี้คุณอยู่ไหน ? ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้ ”
หลินจือรีบตอบกลับทันทีว่า“ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ ประธานเทาเท่……กำลังไปส่งฉันที่โรงพยาบาล”
หลินจือเรียกชื่อเทาเท่อย่างเป็นทางการ
เจเทาวน์รู้สึกผิดมาก“ ผมขอโทษ วันนี้คุณมาเป็นคู่กับผม ผมกลับดูแลคุณได้ไม่ดี ”
ยิ่งเจเทาวน์รู้สึกผิด หลินจือก็ยิ่งรู้สึกแย่“ สาเหตุมันเป็นเพราะฉันเอง ”
เจเทาวน์ถอนหายใจและพูดว่า“ถึงโรงพยาบาลแล้ว เช็กอาการเสร็จโทรกลับมาบอกผมด้วยนะว่าเป็นยังไง”
หลินจือรับคำ
หลังจากที่วางสายเธอรู้สึกบรรยากาศในรถยิ่งอึมครึมมากขึ้นไปอีก หลินจือไม่ได้สนใจ ละสายตาออกมองไปยังแสงไฟสลัวภายนอก
เมื่อก่อนตอนที่เธอแต่งงานกับเทาเท่ น้อยครั้งมากที่พวกเธอจะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันเพียงลำพังสองคน
โดยทั่วไปแล้วก็จะเป็นตอนที่ไปเยี่ยมคุณท่านหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ในครอบครัวเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นพวกเขาก็ต่างคนต่างไป
เขาอยู่นอกบ้านจัดการปัญหาทุกอย่างทางธุรกิจ ส่วนเธอก็อยู่ที่วิมานเรือนน้อยเพียงลำพัง
หลังจากที่ออกจากบ้านหลังนั้น พวกเขาก็ราวกับคนแปลกหน้า
เขาไม่เคยยอมรับเธอต่อหน้าสาธารณชน และไม่เคยพาเธอไปเปิดตัวที่งานเลี้ยงไหนเลย
เพราะไม่สนใจ ไม่ให้ความสำคัญ และไม่ใส่ใจ ดังนั้นก็จึงปิดบังมาโดยตลอด
หลังจากที่รถขับมาถึงที่โรงพยาบาล เทาเท่จอดรถสนิทก็จะอุ้มเธอไปที่ห้องฉุกเฉิน ครั้งนี้หลินจือยืนกรานไม่ยอมอย่างเด็ดขาด
ผู้คนที่โรงพยาบาลพลุกพล่าน เธอไม่อยากเป็นจุดสนใจ
“คุณไปเอารถเข็นที่พยาบาลมาเถอะ หรือไม่ฉันกระโดดขาเดียวไปเองก็ได้”ขณะที่พูดหลินจือก็ลองขยับเท้าที่มีอาการปวด
หากไม่ได้รุนแรงอะไร เธอกระโดดขาเดียวไปเองก็ได้
เทาเท่โกรธกับคำพูดของเธอมาก“ กระโดดขาเดียว?”
เหอะๆ เพียงเพราะอยากจะเลี่ยงการถูกอุ้มจากเขา เธอก็ลงทุนทำทุกอย่างได้จริงๆ