องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 320 การแสดงที่น่าสนุก
ฉีเฟยอวิ๋นปัดฝุ่นออกจากร่างกาย:“ช่วยพยุงฮูหยินชราขึ้นไปบนรถ จำไว้ว่าต้องระมัดระวัง ฮูหยินชรามีเข็มเงินอยู่ที่ขา อย่าทำให้นางต้องบาดเจ็บ”
แม่นมสวีรีบกล่าวว่า:“ข้ามีวิธี พระชายาไม่ต้องกังวลเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมอง:“แม่นม ต่อจากนี้ข้าจะไม่สามารถพูดได้ ท่านไม่ต้องเรียกข้าว่าพระชายาหรอก ท่านเรียกเขาว่าคนขับรถม้า เมื่อไปถึงที่นั่นท่านก็จะไม่รู้จักคนอื่น ๆ และเรียกข้าว่าท่านหมอน้อย”
“เพคะ”
“และไม่จำเป็นต้องเคารพข้า ท่านเพียงแค่ปฏิบัติต่อข้าเฉกเช่นหมอที่ท่านเชิญมาก็พอ”
แม่นมสวีเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย จึงรีบตอบรับ:“ข้ารู้แล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าและแม่นมสวีก็รีบเข้าไป และนำท่อนไม้มายึดไว้ที่เข่าและขาของฮูหยินชรา จากนั้นก็ให้คนจับไว้ เช่นนี้นางจะได้ไม่เจ็บ
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ฮูหยินชรา สีหน้าของนางดูไม่ค่อยดี
“ไปกันเถอะ”
หลังจากพูดจบแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปด้านข้าง ปู้เหวินเข็นรถให้เคลื่อนไปข้างหน้า
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ฮูหยินชราและกล่าวว่า:“ท่านอดทนอีกหน่อย”
“ไม่ใช่ปัญหา ข้าเคยชินกับการนอนกลางดินกินกลางทรายแล้ว และซาบซึ้งในความมีน้ำใจของคนต้าเหลียง มาตุภูมิอันงดงาม”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไร และเฝ้ามองฮูหยินชราอย่างสงบนิ่ง
และยิ่งรู้สึกว่าเป็นการประชดประชัน ผู้คนมีน้ำใจ มาตุภูมิอันงดงาม มันช่างตรงกันข้าม
ปู้เหวินเข็นรถออกไป บนรถคับแคบ ฮูหยินชรานอนอ่อนแออยู่บนรถ และอาจจะยิ่งทุกข์ทรมาน
ปู้เหวินสวมเสื้อผ้าที่หยาบ ปกติแล้วฉีเฟยอวิ๋นมักจะเห็นเขาสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างสะอาด แต่พอสวมเสื้อผ้าที่หยาบเช่นนี้แล้ว เขาก็ดูแข็งแรงมากขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นกวาดสายตามองและเดินไปด้านหน้า
เมื่อเทียบกับหนานกงเย่ ยังห่างไกลกันมาก
ต้องใช้เวลาพอสมควรในการออกมาจากบ้านแล้วไปที่ประตูกรมยุติธรรม และเดินไปอย่างช้า ๆ เมื่อไปถึงที่นั่นก็เที่ยงกว่าแล้ว
ปู้เหวินวางรถลง และถกเสื้อขึ้นมาเช็ดตัวจากนั้นก็พูดด้วยสำเนียงของคนนอกเมืองว่า:“ข้ามาที่นี่ ไม่ได้เพื่อข่มขู่เจ้า หากไม่เอาเงินมาให้ข้า ข้าก็จะไม่ไป”
ฉีเฟยอวิ๋นแทบจะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นางรู้ว่านี่เป็นคำสั่งขอหนานกงเย่ แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องน่าขัน
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง นางก็เห็นว่าหนานกงเย่นั่งอยู่บนนั้น เขาโบกพัดไปพลางเล่นหมากรุกไปพลาง
ตัวอักษรสองตัวบนพัดเขียน:ว่า:อวิ๋นอวิ๋น!
ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะหัวเราะและหันหน้าหนีไปอย่างรวดเร็ว
หนานกงเย่เหลือบมองลงมาและไม่ยอมเดินหมากรุก
หวังฮวายอันมองลงมาด้วยสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง:“เหตุใดถึงมองหมอคนนั้นอย่างคุ้นเคย?”
หนานกงเย่โบกพัดที่ด้านหน้ามีตัวอักษรคำว่าอวิ๋น
หวังฮวายอันพยักหน้าอย่างไม่พูดไม่จา จากนั้นก็หันกลับไปมอง
แม่นมสวีกล่าวว่า:“เจ้าไม่ต้องกังวล พอข้าได้พบคนแล้วก็จะจ่ายเงินให้ ท่านหมอน้อย ท่านช่วยข้าดูหน่อยว่านายท่านของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปดูและพูดด้วยเสียงต่ำ:“ไม่เป็นไร เพียงแต่อีกเดี๋ยวจะต้องกินยา แต่ตอนนี้ท่านยังติดหนี้ข้าอยู่ และข้าก็ไม่ได้มีเงินมากนัก”
“ไม่ต้องกังวล เมื่อข้าได้พบคนแล้ว ข้าจะคืนเงินให้เงินท่านอย่างแน่นอน”
หลังจากที่แม่นมสวีพูดจบแล้ว นางก็มองไปที่ประตูกรมยุติธรรม จากนั้นก็เดินไปเคาะประตู
หน้าประตูกรมยุติธรรมมีกลองใหญ่ตั้งอยู่ แม่นมสวีเคาะประตูแต่ก็ไม่มีคนเปิด นางจึงเดินไปหยิบไม้ตีกลองและตีกลอง
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ตัวอักษรตัวใหญ่ที่อยู่ด้านบน กรมยุติธรรม!
ประตูเปิดออกและมีคนออกมาจากด้านใน คนสองสามคนที่สวมชุดขุนนางมองไปที่แม่นมสวีเหมือนรู้จัก และกล่าวว่า:“เจ้าไม่ต้องตีแล้ว พวกข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่มีหลักฐาน อย่ามาพูดไร้สาระที่นี่ ท่านรองเสนาบดีไม่ต้องการจะทำให้พวกเจ้าลำบาก ยังไม่รีบจากไปอีก?”
“ฮูหยินของบ้านข้าป่วยหนัก หากท่านไปกราบทูลต่อฝ่าบาทก็จะรู้เอง ได้โปรดรายงานท่านรองเสนาบดีและท่านเสนาบดีด้วย”
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ ข้าพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ เจ้ายังไม่รีบไปอีก จะรอให้ถูกต่อว่าหรืออย่างไร?
พวกเจ้าดูสภาพที่ไส้แห้งของพวกเจ้าก่อน แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นคนของจวนกั๋วกงอีก ข้าว่า……”
“หุบปาก” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากกรมยุติธรรม ขาสวมชุดสีน้ำเงิน และตรงหน้าอกก็มีนกกระเรียนสีขาวบินอยู่ลำพังบนก้อนเมฆ
ชายหนุ่มน่าจะอายุประมาณสามสิบ หน้าตาหล่อเหลาและสง่างาม
เขาเหลือบมองขุนนางที่ปากมากอย่างเย็นชา และมองไปที่แม่นมสวี:“พวกเจ้าเคยมาที่นี่สองสามครั้งแล้ว หากมีหลักฐาน ข้าจะไปรายงานให้อย่างแน่นอน
แต่ในตอนนี้พวกเจ้าเมีเพียงแค่คำพูด และฝ่าบาท……”
หยางจื้อรองเสนาบดีกรมยุติธรรมเอาทั้งสองมืออุดหูไว้:“พระองค์ไม่ใช่ผู้ที่เจ้าบอกว่าต้องการพบก็จะพบได้ ข้าจะส่งคนไปที่ตระกูลเฉิน พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นใคร ฮูหยินใหญ่ก็อยู่ที่จวนตลอด
ไม่มีการสั่งลงโทษก็นับว่าเมตตามากแล้ว เจ้าจะรออะไร ยังไม่ไปอีก?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่กระโตกกระตาก และเหลือบไปมองปู้เหวินที่อยู่บนพื้น เขาลุกขึ้นและชนกับรองเสนาบดี เขาไม่ได้ใช้กำลัง แต่ชนจนรองเสนาบดีล้มลง
รองเสนาบดีนั่งลงและเกือบจะได้รับบาดเจ็บภายใน
“บังอาจ เจ้ากล้ามาชนข้า ทหารมาเอาตัวไป” หยางจื้อลุกขึ้นยืนและกระแอมสองครั้ง
ปู้เหวินพูดด้วยสำเนียงของคนนอกเมือง:“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร เอาเงินมาให้ข้า ข้าจะกลับบ้านไปสู่ขอภรรยา”
แม่นมสวีกล่าวว่า:“ใช่ เป็นเขาที่ติดหนี้แล้วไม่ยอมจ่าย”
ปู้เหวินจึงวิ่งไปหาเขาอีกครั้ง หยางจื้อถอยหลังไปด้วยความตกใจ ใบหน้าของเขาซีดเซียว เขาชี้ไปที่ปู้เหวินและตะโกนว่า:“บังอาจ ถอยออกไป”
ปู้เหวินจับหยางจื้อไว้และต่อยจมูกของเขาจนเลือดกำเดาไหล
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ขึ้นไปทีละคน ปู้เหวินต่อสู้จนพวกเขาล้มลงไปที่พื้น จากนั้นก็โยนหยางจื้อลงไปที่พื้น
องครักษ์ไม่สามารถต้านทานได้ จึงวิ่งกลับไปรายงานท่านเสนาบดี
ปกติแล้วเสนาบดีกรมยุติธรรมจะมาที่นี่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยาม แต่กบังเอิญว่าวันนี้มีงานที่ต้องสะสางจึงยังไม่ได้จากไป เมื่อได้ยินคนมารายงานว่ามีคนกำลังก่อเรื่องวุ่นวายที่หน้าประตู และรองเสนาบดีก็ถูกทำร้าย สีหน้าของเสนาบดีกรมยุติธรรมดูไม่พอใจ หรือว่าจะเป็นบุตรเขยของเขา
เสนาบดีกรมยุติธรรมอายุหกสิบกว่าแล้ว เขามีบุตรสาวที่แต่งงานกับหยางจื้อที่เป็นรองเสนาบดี
โจวฉางเหวินเสนาบดีกรมยุติธรรมรักบุตรสาวของเขามาก แม้ว่าจะเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาน้อย แต่ก็ช่วยส่งเสริมเกียรติของผู้เป็นแม่ เขาจึงรักนางมาก
ไม่เพียงแต่จะแต่งงานกับรองเสนาบดีกรมยุติธรรมในฐานะภรรยาเอก แต่หลังจากที่แต่งงานก็ให้กำเนิดบุตรชายหลายคน และเป็นหน้าเป็นตาให้กับบ้านสามี
หยางจื้อเชื่อฟังและมีเหตุผล และไม่ยอมมีภรรยาน้อย
แน่นอนว่าโจวฉางเหวินเข้าใจดีว่าบางอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่ต้องรออีกสิบปี เมื่อลูกสาวของเขามีตำแหน่งที่มั่นคงในตระกูลหยาง หยางจื้อก็จะไม่มีภรรยาน้อย
แต่สิ่งสำคัญของพ่อบ้านคือต้องส่งเสริมบุตรเขย
แต่บุตรเขยถูกทำร้ายเช่นนี้จะคุ้มค่าได้อย่างไร
โจวฉางเหวินเดินออกมาจากด้านในด้วยความโกรธ แต่เมื่อเขาออกมาแล้วก็ถูกปู้เหวินทุบ
ชายอายุหกสิบกว่าคนหนึ่งถูกปู้เหวินทุบจนเดินโซเซและนั่งลงไปบนพื้น หยางจื้อตกใจและรีบลุกขึ้น เขาวิ่งไปช่วยพยุงพ่อตาขึ้นมา
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” ไม่สนใจว่าอยู่ที่ไหน หยางจื้อผู้นี้ก็จะมา ดังนั้นเขาจึงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ พ่อตาคนนี้จึงเปรียบเสมือนพ่อแท้ ๆ
โจวฉางเหวินไม่ได้พ่นเลือดออกมาจากปาก เขามองไปที่ปู้เหวินและกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า:“เจ้าเป็นใคร ถึงกล้ามาก่อเรื่องที่กรมยุติธรรมของข้า ข้าจะยึดทรัพย์สินและฆ่าทั้งตระกูล!”
ปู้เหวินไม่ได้ออกแรง มิเช่นนั้นคงจะทุบโฉวฉางเหวินจนตายไปแล้ว
หวางฮาวยอันที่อยู่ชั้นบนหัวเราะเยาะ การแสดงเรื่องนี้ น่าสนุกมาก!
ปู้เหวินตะโกนว่า:“ติดค้างเงินแล้วไม่จ่าย ข้าจะร้องเรียน”
“ร้องเรียน?ข้าไม่รับ!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ปู้เหวินก็โต้เถียงในทันทีว่า:“ท่านเป็นจักรพรรดิหรือ?”
“ข้าไม่ใช่จักรพรรดิ แต่ข้าสามารถลงโทษเจ้าได้ เจ้ามาก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่ว่าอย่างไรก็มีความผิด และข้าก็จะไม่ละเว้น ทหาร…เอาตัวมันลงมา”
โจวฉางเหวินชี้ไปที่ปู้เหวิน หยางจื้อเหงื่อท่วมและพูดเบา ๆ ว่า:“ท่านพ่อ ท่านยอดเยี่ยมมาก พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เรียกให้ทหารมาจัดการจะดีกว่า”
พี่ชายคนโตของหยางจื้ออยู่ในกรมกลาโหม เป็นเรื่องง่ายมากที่เขาเรียกคนมา
โจวฉางเหวินพยักหน้า:“ไปตามคนมา ข้าจะรอดูว่าพวกเขาจะพูดอะไร”
หยางจื้อให้คนไปขอความช่วยเหลือที่กรมกลาโหมในทันที แม่นมสวีจึงก้าวไปข้างหน้าและร้องทุกข์:“ท่านเสนาบดี โปรดให้ความเป็นธรรมกับนายท่านของข้าด้วย นายท่านของข้าต้องการที่จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
“……”
เมื่อมองไปที่แม่นมสวี โจวฉางเหวินก็โวยวายน้อยลง เขาเหลือบมองฮูหยินชราที่อยู่บนรถด้วยท่าทางไม่พอใจ:“ข้าเคยบอกแล้วว่าให้พวกเจ้าจากไปเสีย เหตุใดถึงยังมาที่นี่อีก เจ้าเห็นว่าข้าน่ารังแกอย่างนั้นหรือ?”
ตอนนี้คนในตระกูลเฉินมีอำนาจมากในกรมกลาโหม เขาคงไม่อยากทำให้ขุ่นเคือง
แม้ว่าล้วนแต่เป็นเสนาบดี แต่เสนาบดีก็มีข้อแตกต่างกัน ตระกูลโจวของพวกเขายังเทียบไม่ได้กับตระกูลเฉิน
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันมานานแล้ว มิเช่นนั้นพวกเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร
“ท่านเสนาบดี แต่ก่อนนายท่านของข้าเคยเข้าไปในวัง เหตุใดท่านถึงไม่ไปกราบทูลต่อฝ่าบาท ยิ่งไปกว่านั้นท่านเป็นลูกศิษย์ในจวนของกั๋วกง หรือว่าแม้แต่นายท่านขอข้า ท่านก็จำไม่ได้แล้ว?” แม่นมสวีกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น โจวฉางเหวินก็ใจแข็ง เขาปฏิเสธ
“พูดจาไร้สาระ ข้าไม่รู้จักนาง เจ้าให้นางมาสวมรอยเป็นอาจารย์แม่ของข้า ช่างน่าขันเสียจริง”
“ท่านเสนาบดี ท่านไม่รู้จักจริง ๆ หรือ?”
“ฮึ!”
แม่นมสวีส่ายหัว:“ท่านเสนาบดี ในตอนนั้นที่ท่านมาที่จวนกั๋วกง ท่านยังหนุ่ม และในเวลานั้นท่านยังพูดจาดีต่อหน้านายท่านของข้า ตอนนี้อยู่ในตำแหน่งสูง กลับจำกันไม่ได้เสียแล้ว เช่นนั้นก็ดี ข้ากับนายท่านของข้าจะตายอยู่ที่หน้ากรมยุติธรรมของท่าน ดูสิว่าจะยังมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่หรือไม่”
หลังจากที่พูดจบ แม่นมสวีก็จะวิ่งเอาหัวไปโขกเสาให้ตาย เมื่อโจวฉางเหวินเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี เขาจึงตะโกนในทันทีว่า:“จับคนไว้ให้ข้าเดี๋ยวนี้”
มีคนเข้ามาจับตัวไว้ แต่ไม่ใช่คนของพวกเขา แต่เป็นปู้ทิง
ปู้ทิงแต่งตัวเป็นพ่อค้าหาบเร่ เขาเข้ามาจับแม่นมสวีให้หันไปมองโจวฉางเหวิน
โจวฉางเหวินเดินไปหาแม่นมสวีและกล่าวว่า:“เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ไปมีชีวิตที่ดี?”
“สิ่งที่ท่านกล่าวมันต่างกัน พวกเรามีความคับข้องใจ หากไม่มาที่กรมยุติธรรม แล้วจะไปที่ไหน?”
“……” โจวฉางเหวินส่ายหน้าอย่างเย็นชา และสะบัดแขนเสื้อ เขาหันไปด้านข้าง และก้มหน้าเดินไปที่ฮูหยินชรา
“ท่านกลับไปเถอะ ไม่สามารถเข้าเฝ้าได้”
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ข้าง ๆ และได้ยินทุกอย่าง นางกำลังรอฟังคำนี้
ฮูหยินชรายิ้มอย่างราบเรียบ:“โจวฉางเหวิน ข้าจะละเว้นโทษที่เจ้ายังมีมโนธรรมอยู่นิดหน่อย และสำนึกเสียใจอยู่บ้าง ท่านกั๋วกงที่อยู่บนสวรรค์ก็คงจะให้อภัยเจ้าเช่นกัน”
“……” โจวฉางเหวินยังคงลังเล เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“อาจารย์แม่ ศิษย์ขอร้องท่าน ในตอนนี้ตระกูลเฉินมีอำนาจสูงส่งในกรมกลาโหม ศิษย์จนปัญญาจริง ๆ !”
“มีแค่คำพูดของเจ้าก็เพียงพอแล้ว ข้ารอเจ้าอยู่”
หนานกงเย่ไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นเคลื่อนไหว เขาก็เดินเข้ามาแล้ว และคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็คือเสี่ยวกั๋วจิ้วหวังฮวายอัน
หวังฮวายอันยิ้มจาง ๆ:“เสนาบดีโจว ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
เสนาบดีโจวมองไปที่คนทั้งสอง เขาตกใจมากและคุกเข่าลง:“ผู้น้อยถวายบังคมผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และถวายบังคมเสี่ยวกั๋วจิ้วพ่ะย่ะค่ะ”
และคนอื่นๆ ก็คุกเข่าลง มีเพียงฉีเฟยอวิ๋นเท่านั้นที่มองดูนกกระเรียนคู่ที่หน้าอกของเสนาบดีโจวอย่างใจลอย และรียกให้คนมาถอดชุดขุนนางของเสนาบดีโจว
“ทหาร ถอดชุดขุนนางของเขาออกซะ!”
เสนาบดีโจวตัวสั่น เสียงนี้?
เขาเงยหน้าขึ้นมามอง แต่ยังไม่ทันได้เห็นอย่างชัดเจน ฉีเฟยอวิ๋นก็ขึ้นไปบนรถม้าที่อยู่ไม่ไกลแล้ว
แน่นอนว่านางขึ้นไปบนรถม้าเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากที่จัดการเรื่องข้างนอกเสร็จก็มืดแล้ว โจวฉางเหวินตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นจะลงมาจากรถม้า หนานกงเย่ก็ยื่นมือออกมาไปประคอง เขายกมือขึ้นและอุ้มนางลงมา
ฉีเฟยอวิ๋นมองลงไปที่พื้น ผู้คนรอบ ๆ ต่างมองดูด้วยความตื่นเต้น ป้ายหยกถูกแขวนไว้ที่เอวของฉีเฟยอวิ๋น และไม่รู้ว่ามันกลับไปแขวนที่เดิมตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีนี่อาจเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงฐานะของนาง และนางก็ไม่ได้พูดอะไร
โจวฉางเหวินยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาสวมเสื้อซับในสีขาวและตัวสั่น
ข้างหน้าเขาคือฮูหยินชรา
และแม่นมสวีก็ยืนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองอาอวี่ที่ยืนถือกล่องยาอยู่ข้างรถม้า นางจึงเรียกอาอวี่:“มานี่”
อาอวี่เดินตามไปและวางกล่องยาลง จากนั้นก็คำนับฮูหยินชรา:“ผู้น้อยอาอวี่ ถวายบังคมฮูหยินเฉินกั๋วกงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮูหยินชรายิ้มอย่างราบเรียบและไม่ได้พูดอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นเปิดกล่องยาและนำเข็มเงินมาสองสามเล่ม:“ข้าจะฉีดยาชาให้ฮูหยิน อีกเดี๋ยวขาของท่านจะไร้ความรู้สึก แล้วท่านอ๋องจะพาท่านไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในวัง ข้าจะเอาเข็มออกให้ฮูหยินด้วยตนเอง”
“ขอบพระทัยพระชายาเย่ ขอบพระทัยท่านอ๋องเย่เพคะ”
“ไม่เป็นไร!”
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มฝังเข็ม ฮูหยินชรามีความอดทนมากและไม่เปล่งเสียงใด ๆ
หลังจากที่เสร็จแล้ว อาอวี่ก็อุ้มฮูหยินหญิงชราขึ้นไปบนรถม้า และฉีเฟยอวิ๋นก็เดินตามไป
ม่านบนรถม้าถูกปิดลง และหนานกงเย่ก็กล่าวว่า:“รับคำสั่งจากข้า จับกุมเสนาบดีกรมกลาโหม รองเสนาบดีกรมกลาโหม รวมทั้งผู้คนในตระกูลเฉินด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทังเหอมาถึงแล้ว และหลังจากที่ได้รับคำสั่ง เขาก็หันหลังจากไป
หนานกงเย่ขึ้นมาบนรถม้า และ อาอวี่ก็ขับรถม้าเข้าไปในวัง
เสี่ยวกั๋วจิ้วหวังฮวายอันดูงุนงงและหันหลังจากไป
เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องออกหน้าแทน เพียงแค่เป็นพยานก็พอ หากฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อจะได้เรียกเขามาเป็นพยาน
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ฮูหยินชราที่อยู่ในรถม้า นางหลับไปแล้ว
“เป็นฮูหยินชราผู้นี้นั้นไม่ง่ายเลย นางอายุเจ็ดแปดสิบแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นเพียงรู้สึกเท่านั้น
หนานกงเย่ยิ้ม:“ไม่แค่นั้น แต่แปดสิบเจ็ดแล้ว”
“หา?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ฮูหยินชราด้วยความตกตะลึง ทำให้ฮูหยินชราต้องลำบากแล้ว
หนานกงเย่กล่าวว่า:“ฮูหยินใหญ่ เป็นพี่น้องที่ดีของเสด็จย่า”
“พระอัยยิกา?”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึง
หนานกงเย่พยักหน้า:“ตอนที่พวกพระองค์ยังสาวทรงยอดเยี่ยมมาก ฮูหยินใหญ่เป็นสาวงามในวัง นางมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่นางไม่ชอบเข้ามาเล่นในวัง จึงหาวิธีที่จะออกไปข้างนอก นางช่วยเสด็จย่าไว้หลายครั้ง และเพื่อที่จะช่วยเสด็จย่า ร่างกายของนางจึงรับบาดเจ็บจนไม่สามารถมีบุตรได้
เฉินกั๋วกงเป็นทหารองครักษ์ในวังและทั้งสองก็ชอบพอกัน
เพื่อช่วยเสด็จปู่ เฉินกั๋วกงก็เกือบจะต้องเสียชีวิตในวัง เสด็จปู่จึงถามเขาว่าต้องการรางวัลอะไร เขาบอกว่าต้องการคนคนหนึ่งและคนคนนั้นก็อยู่ในวัง
เสด็จปู่ตรัสว่าขอเพียงแค่ไม่ใช่สตรีของพระองค์ อะไรก็ย่อมได้
เฉินกั๋วกงกล่าวอย่างโจ่งแจ้งว่าเป็นฮูหยินใหญ่ หลังจากนั้นก็ได้แต่งงานกับฮูหยินใหญ่
เพียงแต่โลกนี้คงหนีไม่พ้น ฮูหยินชราของตระกูลเฉินต้องการที่จะอุ้มหลาน ต่อมาเสด็จปู่ก็ลำบากพระทัย จึงเพิกเฉยต่อเรื่องนี้
ดังนั้นจึงมีเพียงแค่สองสามีภรรยาตระกูลเฉิน
ด้วยความที่กลัวว่าฮูหยินใหญ่จะได้รับความไม่เป็นธรรม เสด็จย่าจึงแต่งตั้งให้นางเป็นฮูหยินลำดับสูงสุด และเฉินกั๋วกงก็รักนางมาก ทั้งสองรักใคร่ปรองดองกันเสมอมา
มีข่าวลือว่าเฉินกั๋วกงร่วมหอกับฮูหยินรอง หลังจากหนึ่งเดือนต่อมาก็ตั้งครรภ์และจากไป”
ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้ว:“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือเพคะ?”
“แน่นอน สำหรับผู้อื่นการมีบุตรอาจจะไม่สำคัญ แต่สำหรับเรา การมีบุตรนั้นมีความสำคัญมาก โชคดีที่อวิ๋นอวิ๋นมีแล้ว ข้าจึงโล่งใจมาก!”
เมื่อพูดถึงลูก ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเศร้าใจ จะมีลูกกี่คนดี?