บทที่ 321 เขาคือมังกรทอง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 321 เขาคือมังกรทอง
คำนึกอะไรมากมายไม่ได้แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องเคยไปจวนตระกูลเฉินหรือยังเพคะ ข้าหมายถึงบ้านเก่าของตระกูลเฉิน หวังว่าทางพวกเราไปถึงฝ่ายโน้นจะไม่ชิงหนีไปก่อนนะเพคะ”

“ข้ากลับมาก็ใช้นกพิราบส่งสารไปแล้ว คาดว่ายามนี้ตระกูลเฉินคงถูกสกัดล้อมเรียบร้อยแล้ว”

“เร็วปานนี้เชียว? ท่านอ๋องมีพวกในแดนไกลด้วยหรือเพคะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ หนานกงเย่หมายจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่านอกรถม้าเกิดเสียงกระพือปีกพึ่บพั่บดังขึ้น อาอวี่เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง นกพิราบมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ให้มันเข้ามา”

หนานกงเย่สั่งการเสียงทุ้มต่ำ ครั้นแหวกม่านรถม้าออก นกพิราบพลันโบยบินเข้ามา ก่อนจะโรยตัวเกาะอยู่บนไหล่หนานกงเย่ จากนั้นก็บินมาเกาะไหล่ของฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นชะงักเมื่อได้ยินนกพิราบขันกู่ๆ

“ทำไม เจ้ายังไม่ได้กินข้าวหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงพรึงเพริด เธอฟังนกพิราบพูดได้

หนานกงเย่ฉงนสนเท่ห์ “อวิ๋นอวิ๋น เจ้าพูดกระไรนะ?”

“มันบอกข้าว่ายังไม่ได้กินข้าวเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นเอื้อมมือไปแตะไหล่หนานกงเย่ หนานกงเย่มองตามือของเธอ ก่อนจะมองฉีเฟยอวิ๋นกับนกพิราบที่อยู่บนบ่าเธอตามลำดับ

ฉีเฟยอวิ๋นมองนกพิราบพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าไปที่ไหล่เจ้านายเจ้าก่อน หากเจ้านายเจ้าคลี่อ่านจดหมายแล้วก็จะดูแลเจ้าไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย”

นกพิราบผงกศีรษะสองครั้ง คล้ายกับเข้าใจสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูด จึงมองไปยังหนานกงเย่ จากนั้นก็เดินไปหาเขา ใช่แล้ว นกพิราบไม่ได้บินไปหา แต่เป็นการเดินไปหา

เมื่อมันเกาะอยู่บนไหล่หนานกงเย่แล้ว หนานกงเย่ก็หยิบจดหมายในขามันมาอ่าน

ปกติเมื่อรับจดหมายแล้ว มันจะบินจากไป ทว่ายามนี้กลับเกาะบนไหล่เขาไม่ขยับเขยื้อน

ฉีเฟยอวิ๋นมองหาสิ่งที่นกพิราบสามารถกินได้ ทว่าก็ไม่เจอกระไร จึงได้แต่สั่งการอาอวี่ “อาอวี่ไปหาอาหารให้นกพิราบเดี๋ยวนี้”

อาอวี่ตกปากรับคำเสร็จสรรพก็ไปหาอาหารทันควัน รถม้าจึงจอดอยู่ข้างทาง

อาอวี่ส่งอาหารที่ซื้อมาให้พวกเธอที่อยู่ด้านในรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นหยิบมากำหนึ่งแล้วยื่นให้นกพิราบ นกพิราบจึงบินไปยืนที่ข้อมือเธอแล้วเริ่มกินอย่างสมใจอยาก

ฉีเฟยอวิ๋นลูบขนของมันในห้วงอารมณ์ตะลึงตะไลอย่างระมัดระวัง

หนานกงเย่อ่านจดหมายเสร็จก็เขียนตอบกลับหนึ่งฉบับ จากนั้นก็มัดที่ขาของนกพิราบ แล้วรอให้มันโบยบินสู่ฟากฟ้า

ปกตินกพิราบจะบินจากไปอย่างรวดเร็ว ทว่าวันนี้มันกลับก้มหน้ากินอาหาร หนานกงเย่ไม่รบกวนมัน เขาพิงหลังรถม้าพร้อมกับจับแหวนหยกที่หัวแม่มือ ซึ่งในขณะเดียวกัน สายตาก็จับจ้องไปยังฉีเฟยอวิ๋นกับนกพิราบด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นลูบจับขนมันได้สักพัก นกพิราบก็เข้าใกล้ลำคอของเธอ พลางมองบนเสื้อเธอด้วยความสงสัย ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าถามมันว่า “เจ้ามองอะไร?”

นกพิราบขันกู่ๆ ไม่รู้สื่ออะไรกันแน่ ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยด้วยเสียงตกตะลึง “เจ้านายของเจ้าอยู่ด้านในหรือ?”

นกพิราบขันกู่ๆ ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งตะลึงกว่าเดิม “เจ้าบอกว่า เจ้านายของเจ้าก็ชอบเจ้าเช่นนั้นหรือ?”

นกพิราบเริ่มกระพือปีกบินขึ้นมา ตอนนี้รถม้ามาถึงพระราชวังพอดี อาอวี่แหวกม่านออก นกพิราบพลันโบยบินจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นปรายตามองด้านนอก ขณะเดียวกันเธอก็เอามือแตะท้องของตน เธอรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อครู่เธอรับรู้การเคลื่อนไหวในท้องได้ ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าขยับทำไม แต่ก็รู้สึกว่าขยับจริงๆ

นกพิราบบินไปไกล หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างจดจ่อ ใบหน้าเผยความเข้าใจ

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันรู้สึกท้องขยับนิดหน่อยเพคะ ท่านจะลองจับดูไหมเพคะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าเหลือเชื่อ ทว่าเธอรับรู้ได้จริงๆ

หนานกงเย่ได้ยินก็รีบเข้าหาฉีเฟยอวิ๋นทันทีทันใด จากนั้นก็ยื่นมือออกไป

เมื่อฝ่ามือแนบติดท้องก็สามารถสัมผัสการเคลื่อนไหวภายในท้องของฉีเฟยอวิ๋นคล้ายกับหมัดเล็กๆกำลังเคลื่อนไหว แล้วมากระแทกกับฝ่ามือเขา หนานกงเย่ชักมือกลับมา รู้สึกประหลาดใจเหลือแสน เขาเงยหน้ามองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็ไปลูบท้องต่อ ทว่าไม่นานด้านในท้องก็เงียบงัน

“ข้ารู้สึกได้แล้ว”

หนานกงเย่จ้องฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เธอรู้สึกสับสนมึนงงเหลือเกิน

ตอนนี้อายุครรภ์ยังอ่อน ตามหลักแพทย์แล้ว ลูกในท้องยังไม่เจริญเติบโตจนมีรูปร่าง แล้วทำไมจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ทารกในครรภ์จะยื่นมือขยับได้อย่างไร?

ทว่าหากการรับรู้ของเธอไม่ใช่ความจริง แล้วสิ่งที่หนานกงเย่สัมผัสได้ล่ะ?

สามีภรรยาประสานสายตากัน ฉีเฟยอวิ๋นคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นหนานกงเย่กลับหัวเราะอย่างเบิกบานใจ พลางเอ่ยว่า “ข้าได้ลูกวิเศษแล้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นทอดถอนใจ “ฟ้าประทานสิ่งประหลาด ต้องมีเภทภัยแน่”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมเธอถึงพูดเช่นนี้ออกมา ทว่าเธอก็โพล่งออกมาแล้ว

ใบหน้าหล่อเหลาของหนานกงเย่เคร่งขรึม “พูดจาเหลวไหล”

ฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องเพคะ ท่านได้ยินว่าลูกในท้องของข้าเป็นเจ้านายนกพิราบ ท่านก็ไม่แปลกใจว่าข้าฟังความนกพิราบออกอย่างไรหรือเพคะ?”

หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ “ข้าเชื่อเพียงว่าบิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้าเป็นมังกรทองเลย”

“ท่านไม่กลัวฝ่าบาทจะได้ยินเหรอเพคะ นี่มัน……”

“ข้าไม่อยากได้บัลลังก์นั่นหรอก จักรพรรดิองค์ก่อนเป็นคนตรัสว่าร่างกายข้าเป็นมังกรทอง เจ้าคิดว่าข้าพูดเองเอ่ยเองหรือ?” หนานกงเย่พิงอยู่ด้านข้าง พลางมองหญิงชราในรถม้าปราดหนึ่ง

เขาไม่อยากคิดเรื่องนี้ให้ปวดหัว ถึงแม้จะรู้สึกฉงนใจมาก ทว่า ณ ตอนนี้ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงเปิดอกต้อนรับอย่างสงบสุขกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต

เขามีลูกได้เป็นโขยง แล้วยังมีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้อีก

เขาไม่รู้สึกประหลาดใจกับการที่ฉีเฟยอวิ๋นสื่อสารกับนกพิราบได้ เพราะการมาเยือนของฉีเฟยอวิ๋นก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่แล้ว

“ไปกันเถอะ ประเดี๋ยวจะสายเอา”

หนานกงเย่ลุกขึ้นลงจากรถม้าก่อน เมื่อลงไปถึงก็หมุนกายพร้อมกับเอื้อมมือให้ฉีเฟยอวิ๋น เขาแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสง่างาม เอามือไขว้หลังข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ยื่นรอฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือให้เขา เขากุมมือเธอไว้พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ข้ากลับคิดว่าฟ้าประทานสิ่งประหลาด โชคลาภต้องมาเยือนแคว้นต้าเหลียงหมื่นๆปีแน่”

ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้วมองเขา “แว่นแคว้นมั่งคั่ง ราษฎรเข้มแข็ง จำเป็นต้องทำให้ปวงชนเข้มแข็งก่อน ลำพังบุตรพวกเราไม่กี่คนจะปกป้องแคว้นต้าเหลียงได้เยี่ยงใด ท่านอ๋องประเมินพวกเขาสูงเกินไปแล้วเพคะ”

“ข้าบอกว่าได้ก็คือได้”

หนานกงเย่มองอาอวี่ปราดหนึ่ง “อุ้มฮูหยินใหญ่ลงมา”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อาอวี่รีบปีนขึ้นรถม้า ไม่นานคนชราก็ถูกอุ้มลงมา เมื่อประตูวังเปิดออกก็มีคนเดินออกจากมาด้านใน

อาอวี่วางฮูหยินใหญ่ลงในรถม้า เมื่อรถม้าเข้าวัง แม่นมสวีก็ตามเข้าไปด้วย

ส่วนหนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋นเดินตามอยู่ด้านหลัง โดยมีสวีกงกงเดินนำทาง ซึ่งในขบวนประกอบไปด้วย ขันทีหลายคน ทหารองครักษ์ตูไห่ และนางกำนัลหลายคน

ฉีเฟยอวิ๋นถาม “เห็นทีฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเลย”

“เฉินกั๋วกงก็เคยเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกร คอยปกป้องแว่นแคว้นมาก่อน ได้ยินมาว่า ยุคบุกเบิกแคว้นต้าเหลียง เฉินกั๋วกงเสียสละเฝ้าเมืองเป็นเวลาสามสิบวัน ซึ่งขณะนั้นไร้น้ำไร้เสบียง แต่เขาก็ไม่คิดจะถดถอย

แคว้นต้าเหลียงจะลืมเลือนขุนนางเก่าได้เยี่ยงไร ไม่เช่นนั้นจะเสียขวัญประชาชนได้?”

หนานกงเย่กุมมือฉีเฟยอวิ๋น เล่าเรื่องไปพลาง เดินไปพลาง

ฉีเฟยอวิ๋นชักมือตัวเองกลับ เธอรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องกุมมือเธอเช่นนี้ มิฉะนั้นผู้อื่นเห็นเข้าจะรู้สึกอึดอัดใจได้

อิริยาบถนี้ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรำลึกถึงภาพท่านอ๋องตวนจูงมือจวินฉูฉู่ มันรู้สึกไม่ดีเสียเลย

ไม่ใช่เพราะริษยาแต่อย่างใด แค่รู้สึกว่าท่าทางเยี่ยงนี้ช่างบ้องตื้นเสียจริง

ทว่าหนานกงเย่กลับไม่ยอมปล่อยมือ

เขาไม่ได้ใช้แรงจับมากนัก ทว่าก็สามารถจับมือเธอให้หยุดนิ่งได้ก็แล้วกัน แล้วเธอจะทำอย่างไรได้