เสียงร้องของอวี๋หมิงซีสะกดผู้ชมทุกคน ไม่มีใครสนใจเสียงตะโกนร้องเพี้ยนๆของผู้ชายเมื่อครู่ บางคนยังแอบคิดว่ามีเพื่อนนักโทษคนไหนตะโกนร้องขึ้นมา แบบถ้าทำตัวดีเผื่อจะได้ขึ้นเวทีใกล้ชิดดาราดัง?
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ทุกคนก็สนุกไปกับเสียงเพลงมาก เธอทำเวทีนี้ให้เป็นเวทีของเธอ
หนึ่งเพลงจบไป เสียงปรบมือเกรียวกราวดังมาจากด้านล่าง มีนักโทษคนหนึ่งสะกิดเพื่อนนักโทษที่อยู่ข้างๆ
“เห้ย! ทำไมไม่ปรบมือล่ะ? เธอร้องออกจะเพราะ”
คนที่โดนสะกิดได้สติขึ้นมา ดวงตาที่มองไปยังเวทีมีน้ำตาคลออยู่ เขาพยักหน้าติดๆกัน
“ใช่ เพราะจริงๆ”
ผ่านไปหลายปี ไม่คิดว่าตอนนี้เธอจะยอดเยี่ยมขนาดนี้
ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างพากันตะโกนเอาอีกๆ บรรยากาศครึกครื้นมาก อวี๋หมิงซีไม่ได้รีบร้อนลงจากเวที แต่ยกไมโครโฟนขึ้นมาพูดบางอย่าง
“ฉันเคยเห็นการดิ้นรนของดักแด้ที่จะลอกคราบเป็นผีเสื้อ การฝืนธรรมชาติไปช่วยเหลือมันล้วนไม่มีประโยชน์ การต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวเองเท่านั้น มีเพียงการประสบกับความยากลำบากด้วยตัวเอง ถึงจะกลายเป็นผีเสื้อที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้ ขอให้ทุกท่านคว้าโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เผชิญหน้ากับตัวเอง กลายเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม ใช้ความกระตือรือร้นที่อยากแก้ไขในสิ่งผิดพัฒนาตนเองเพื่อรอคอยวันที่จะได้กลับเข้าสู่สังคม ได้กลับไปเจอครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง ในวันพิเศษแบบนี้ ฉันอยากขอร้องเพิ่มอีกหนึ่งเพลงเพื่อมอบให้กับทุกท่าน อยากให้เสียงเพลงอยู่กับทุกท่าน ขอให้ทุกท่านมีหัวใจที่สวยงาม กลับไปเป็นคนดีของสังคมนะคะ”
ไห่เจาตกใจ แย่ละ อย่าบอกนะว่าเธอจะร้องเพลงนั้นอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้? แบบนั้นก็ยิ่งแย่สิ!
อยู่ที่ไหนก็ควรร้องเพลงให้เข้ากับบรรยากาศ ผู้ชมที่นี่ค่อนข้างพิเศษก็ควรร้องเพลงที่สร้างพลังบวก เพลงนั้นมันไม่เข้าอย่างแรง
อีกอย่างเขาเองก็ไม่ชอบ
ทำไมผู้หญิงที่เขาทะนุถนอมมาตลอดต้องเสียน้ำตาให้ผู้ชายคนอื่นด้วย? เห็นแล้วปวดใจ
“เพลงต่อไปชื่อเพลงว่าคนหนุ่มผู้เสียสละ ขอมอบให้กับทุกคนค่ะ ขอบคุณผู้คุมที่ทำหน้าที่ดูแลที่นี่เป็นอย่างดี เพราะการปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดีของพวกคุณ การที่ต้องดูแลคนที่ค่อนข้างพิเศษ ทำให้พวกคุณต้องเสียสละช่วงเวลาในวัยหนุ่ม อุทิศตัวเพื่อสังคม การทำประโยชน์ถึงจะทำให้ตัวเรามีค่า”
ฮู่ว โชคดีที่ไม่ใช่เพลงนั้น! ไห่เจาโล่งอก เพลงนี้ก็ดี ให้กำลังใจดี เหมาะกับตอนนี้มาก
เพลงนี้ไม่มีดนตรีนี่นา พิธีกรรีบปรึกษากับผู้คุม อวี๋หมิงซีที่อยู่บนเวทีพูดขนาดนั้นแล้ว แต่พวกเขาไม่มีดนตรีเพลงนี้ทำไงดี?
คนที่รับผิดชอบกิจกรรมนี้ตีหัวตัวเอง “รีบไปเรียกนักโทษ1107มา ให้เขาขึ้นไปเล่นเปียโน! ตอนนี้ทุกคนกำลังสนุก สร้างบรรยากาศในแง่บวกได้มาก ห้ามพลาดโอกาสที่จะได้ฟังดาราดังร้องเพลง!”
นี่เป็นเพลงที่ร้องให้ผู้คุมเลยนะ ทุกคนกำลังรอฟังอยู่ คำพูดของเธอเหมือนพูดออกมาจากใจพวกเขาเลย!
งานของเหล่าผู้คุมคือต้องอยู่กับนักโทษภายใต้กำแพงสูง พวกเขาต้องเสียสละเป็นอย่างมากเพื่อเปลี่ยนแปลงคนพวกนี้ พลังที่พวกเขาใช้ในหน้าที่การงานล้วนเป็นการอุทิศเพื่อสังคม ภายใต้กำแพงที่ขวางกั้น คนภายนอกไม่มีทางเห็นเลยว่าโลกด้านในเป็นอย่างไร ไม่เข้าใจงานที่พวกเขาทำเท่าไร ตอนนี้พอมีคนพูดความรู้สึกในใจแทนพวกเขา แล้วจะไม่ให้เธอร้องเพลงนี้ได้อย่างไร
ภายในเรือนจำจะไม่มีการเรียกชื่อ เรียกเป็นเบอร์แทน 1107ก็คือซุนเสีย
พอเห็นซุนเสียขึ้นมาเสี่ยวซีก็ยิ้มมุมปากพยักหน้าให้เขา แต่สายตากลับนิ่งไม่ไหวติง
เธอรู้ว่าถ้าทำแบบนี้เขาจะได้ขึ้นมาบนเวที ได้เห็นเขาในระยะใกล้แค่นี้ก็พอแล้ว
เขาเปลี่ยนไปมาก หน้าโทรมเหมือนคนอายุใกล้ห้าสิบ ร่างกายผอม พอโกนหัวแล้วก็ไม่เหลือเค้าศิลปินแบบในตอนนั้นเลยสักนิด
แต่ทว่าในใจของเธอกลับไม่อะไรกับเขาเท่าไรแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนพูดถูก คนที่ต้องเจอกับอุปสรรคมีเยอะแยะ แต่ใช่ว่าทุกคนจะพาตัวเองออกนอกลู่นอกทางไปเสียหมด เขาได้รับผลจากการกระทำของตัวเองแล้ว เธอเองก็ทรมานตัวเองมาหลายปี ตอนนี้ขอใช้เพลงนี้ขอบคุณเขาที่ตอนนั้นพาเธอเข้าสู่วงการดนตรี และขอใช้เพลงนี้ตัดความสัมพันธ์ของเธอกับเขาทั้งหมด
ท่วงทำนองอันไพเราะดังขึ้น เสี่ยวซีร้องด้วยอารมณ์ที่เหมือนกับตอนร้องเพลงรักสุดหล้า เธอร้องเพลงนี้อย่างมีพลัง สร้างความประทับใจให้ผู้ชมที่อยู่ล่างเวทีเป็นอย่างมาก
ซุนเสียเล่นเปียโนไปพร้อมน้ำตา เขารู้ว่าอันที่จริงเพลงนี้เสี่ยวซีร้องให้เขา
เป็นกำลังใจให้เขากลับเนื้อกลับตัวรอวันที่จะได้กลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง เป็นคนที่ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น
เพื่อรอยยิ้มของแม่ เพื่อสร้างประโยชน์ให้สังคม อย่าย่อท้อต่อความลำบาก ขอแค่มีความตั้งใจ พอพ้นโทษก็จะกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อีกครั้ง ก็แค่เริ่มต้นชีวิตใหม่
สองเพลงนี้ของอวี๋หมิงซีเรียกน้ำตาได้จากใครหลายคน
อย่ารอจนถึงวันที่ตัวเองสูญเสียอิสระค่อยรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตัวเอง ทุกคนต่างต้องรับผลจากการทำผิด รู้แบบนี้ไม่ทำดีกว่า ชีวิตคนเราไม่มียาย้อนเวลา มีแค่ความกล้าที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ
ซุนเสียพาอวี๋หมิงซีเข้าสู่โลกดนตรีที่มีแต่สีสัน เขามอบเพลงที่มีความหมายลึกซึ้งต่อเธอ ส่วนเธอคืนเขาด้วยเพลงให้กำลังใจที่ชื่นชมอาชีพผู้คุม เขาเล่นเปียโนให้เธอร้องเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกกลับต่างกัน
หลายปีที่ผ่านมานี้เธอเติบโตขึ้น และเดินออกมาจากอดีตได้แล้ว ไม่มีใครหยุดอยู่ที่เดิมไปได้ตลอด
เสี่ยวซีร้องเพลงจนจบภายใต้การเล่นทำนองโดยซุนเสีย ครั้งนี้ข้างกายเธอมีไห่เจาอยู่เคียงข้าง
อวี๋หมิงซีลงจากเวที ไห่เจาถามด้วยใจหวั่นๆ
“พอใจแล้วเหรอ?” เขานึกออกแล้ว หมอนี่มันคนที่ขัดหูขัดตาเขาตอนนั้นนี่หว่า ไม่เจอกันสิบกว่าปีแก่ลงไปมากขนาดนี้ แถมยังมีโทษติดตัว แต่นึกไม่ถึงว่าคนๆนี้จะเป็นคนที่ติดค้างอยู่ในใจเสี่ยวซีมาหลายปี
“อืม แค่นี้พอแล้ว” อวี๋หมิงซีบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ตอนนี้รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความรู้สึกแย่ๆที่กดเธอไว้หลายปีไม่มีอีกแล้ว
ขอให้เพลงนี้ช่วยกระตุ้นให้ซุนเสียเกิดกำลังใจที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่
“เสี่ยวซี!” ซุนเสียเดินมาโดยมีผู้คุมขนาบข้าง
นี่เป็นห้านาทีอันมีค่าที่เขาร้องขอจากหัวหน้าผู้คุม เขารู้ว่าจากกันครั้งนี้ก็คือตลอดไปแล้ว อวี๋หมิงซีไม่มีทางกลับมาที่นี่อีก
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” อวี๋หมิงซีหยุดเดิน ไห่เจาทำตัวเหมือนเม่นพองขนยืนขวางหน้าเสี่ยวซี หมอนี่คิดจะทำอะไร?
“ไห่เจา ไม่เจอกันนานเลยนะ นายโตขึ้นเยอะเลย” ในที่สุดซุนเสียก็นึกออกแล้วว่านี่ใคร
หมอนี่หมัดหนักมาก ตอนนั้นต่อยเขาเกือบกระดูหัก
“หึ เหมือนกันแหละน่า นายก็แก่ลงนะ”
“ขอโทษด้วยสำหรับเรื่องในตอนนั้น เสี่ยวซี ขอโทษนะ!” ซุนเสียโค้งให้เสี่ยวซี นี่เป็นเรื่องที่เขาติดค้างมานาน
“อะไรเหรอ?” อวี๋หมิงซีไม่เข้าใจว่าทำไมซุนเสียต้องขอโทษเธอ
“ช่างเถอะๆ ไปดีกว่า!” ไห่เจาดึงเสี่ยวซี เขาไม่อยากให้ซุนเสียพูดเรื่องตอนนั้น
“ฟังผมพูดให้จบก่อน เสี่ยวซี เรื่องในตอนนั้นจริงๆแล้วผมหลอกคุณ ผมบอกว่าปู่คุณพูดจาทำร้ายจิตใจผม อันที่จริงผมไม่ได้บอกคุณว่า ก่อนหน้านั้นผมแอบอ้างชื่อของครอบครัวคุณไปเจรจากับทางโรงเรียนให้เลื่อนผมเป็นครูประจำชั้น แต่ถูกครอบครัวคุณจับได้เลยถูกโรงเรียนปฏิเสธ แถมผมยังแอบอ้างชื่อคุณไปทำเรื่องไม่ดีข้างนอกไว้มากมาย ปู่คุณโกรธมากก็เลยขอให้ทางโรงเรียนไล่ผมออก”
“หา?!” อวี๋หมิงซีถึงกับช็อค
ตอนนั้นยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอไม่รู้เหรอเนี่ย? ตอนนั้นซุนเสียเป็นคนหน้าไม่อายขนาดนี้เลยเหรอ