“พูดเรื่องจริงเหรอ?” ถ้าเป็นแบบนั้น นี่มันน่าช็อคมากเลยนะ ตอนที่เธอมาเยี่ยมครั้งแรกซุนเสียยังเล่าเรื่องที่ครอบครัวเธอพูดจาไม่ดีใส่ตั้งมากมาย
“จริงแท้แน่นอน ไม่เชื่อลองถามผู้ชายที่อยู่ข้างคุณดูสิ ตอนนั้นเขากับน้องชายคุณเกือบทำผมตายคาที่” เขาออกจากโรงเรียนด้วยความเจ็บปวด สุดท้ายก็ไม่กล้าไปเจอ เพราะผู้ชายที่อยู่รอบตัวเธอร้ายกาจกันทั้งนั้น
ใครจะไปรู้ว่าเด็กวัยรุ่นตัวน้อยในตอนนั้นจะโตขนาดนี้แล้ว ดูจากตอนนี้ ไห่เจากับอวี๋หมิงซีน่าจะเป็นแฟนกันหรือเปล่า คู่ป๊อบปี้เลิฟในตอนนั้นในที่สุดก็ลงเอยกัน ส่วนเขาก็ต้องรับกรรมในสิ่งที่ตัวเองก่อ
“ตอนนั้นนายก็รู้เรื่องเหรอ?” อวี๋หมิงซีมองไห่เจา มีเธอแค่คนเดียวที่ไม่รู้?
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ไห่เจายิ้มแหยๆ จริงๆเขาอยากปล่อยให้เรื่องนี้มันหายไปตามกาลเวลา ใครจะไปคิดว่าซุนเสียจะโพล่งออกมา
“ขอโทษนะเสี่ยวซี ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้วจริงๆ ผมอยากให้คุณมีชีวิตของตัวเอง ลืมสิ่งที่ผมให้คุณทั้งหมดไปเถอะ” หลังจากที่ซุนเสียพูดขอโทษอีกครั้งก็กลับเข้าไปข้างในพร้อมกับผู้คุม ก้อนหินที่กดทับอยู่ในใจเขามาหลายปี ในที่สุดก็ได้เอาออกแล้ว
“ไม่ คุณไม่ได้ผิด คนที่ผิดก็คือฉัน” ตอนนี้สีหน้าอวี๋หมิงซีเหมือนกินแมลงวันเข้าไปนับไม่ถ้วน
นี่เธอทำอะไรลงไป เพราะเรื่องนี้เธอทำคนในครอบครัวอึดอัดใจอีกทั้งยังลงโทษตัวเองอยู่หลายปี แต่แท้ที่จริงแล้วเรื่องเป็นแบบนี้?
พอออกมาจากเรือนจำเสี่ยวซีก็ไม่พูดไม่จา ไห่เจาเองก็กังวลใจ
ถ้าเขารู้ว่าเสี่ยวซีจะมาเยี่ยมซุนเสีย จะยังไงเขาก็ไม่มีทางให้เธอมา หรือไม่ก็ชิงมาจัดการล่วงหน้าก่อน
รถแล่นไปนานมากแล้วเสี่ยวซีถึงเอ่ยปากทำลายความเงียบ
“ฉันทำเรื่องโง่ๆลงไป”
เธอเกือบเดินออกมาไม่ได้เพราะเรื่องเข้าใจผิดบ้าบอนี่
ในความทรงจำในอดีตของอวี๋หมิงซี เธอแทบจะยกให้ซุนเสียเป็นหนุ่มศิลปินที่แสนบริสุทธิ์ดุจหิมะก็ไม่ปาน อันที่จริงนั่นเป็นสิ่งที่เธอจินตนาการเอาเอง เมื่อวานเสี่ยวเชี่ยนบอกเธอว่าคนที่เป็นคนดีโดยแก่นแท้ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางที่พอมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจก็ไปทำเรื่องผิดกฎหมาย ตอนนั้นเธอยังไม่เชื่อเท่าไร
ตอนนี้เชื่อแล้ว ต่อไปห้ามเถียงนักจิตวิทยาเรื่องธาตุแท้ของคนอีก ปากของเสี่ยวเชี่ยนประหนึ่งถูกลงคาถามา
“ผมผิดเอง” เขาไม่ควรให้เธอมาที่นี่
“นายรู้นานแล้วเหรอว่าเขาเป็นคนแบบนั้น?”
“ไม่ใช่แค่ผม ไอ้เล็กก็รู้ พวกเราสองคนเห็นคุณดูแปลกๆ เลิกเรียนแล้วไม่กลับบ้านก็เลยตามสืบเรื่องของซุนเสีย”
ถึงตอนนั้นพวกเขาจะอายุแค่สิบสามสิบสี่ แต่ความสามารถก็เริ่มโดดเด่น อวี๋หมิงหลางวางแผน ไห่เจาไปดำเนินการ ทั้งสองคนสืบประวัติของซุนเสียออกมาได้อย่างชัดเจน แถมยังสืบมาได้ว่าซุนเสียเคยคิดจะใช้ประโยชน์จากตระกูลอวี๋บอกให้ทางโรงเรียนขึ้นเงินเดือนสูงๆให้
มีเหรอจะทนได้? ตอนนั้นอวี๋หมิงหลางโมโหมาก ไม่พูดพล่ามทำเพลงพาไห่เจาไปจับซุนเสียใส่กระสอบแล้วซ้อมอย่างเคียดแค้น
ถ้าพูดถึงความชำนาญในการจับคนยัดใส่กระสอบทรายล่ะก็ อวี๋หมิงหลางระดับปรมาจารย์ ทำตั้งแต่เด็กจนโต ร่วมมือกับไห่เจาจับคนที่โตกว่าพวกเขาหลายปีไปซ้อมจนอีกฝ่ายต้องยอม ต่อมาซุนเสียก็กล้าไปหาเสี่ยวซีที่บ้านอีก แต่ก็ต้องนั่งรอดูลาดเลาอยู่นานเพื่อให้แน่ใจว่าอวี๋หมิงหลางกับไห่เจาไม่อยู่ถึงได้กล้าเข้าไป ปรากฏว่าถูกปู่อวี๋หมิงหลางไล่ออกมาแทน
“พวกนายรู้กันหมดแล้วทำไมไม่บอกฉัน?” อวี๋หมิงซีสงสัยแค่นี้ ทุกคนรู้หมด มีแค่เธอที่ไม่รู้อะไรเลย
“ผมเห็นนานๆทีคุณจะมีสิ่งที่ชอบ ไม่อยากทำลายความทรงจำดีๆสุดท้ายของเขาในใจคุณ”
อันที่จริงที่ไม่บอกเรื่องนี้กับอวี๋หมิงซีเป็นความคิดของไห่เจา
อวี๋หมิงหลางอยากบอกพี่สาวตัวเอง เพื่อให้เด็กสาวผู้ไร้เดียงสาได้ตาสว่างสักทีว่าคนที่คบอยู่เป็นแบบไหน แต่ไห่เจาไม่เห็นด้วย
ตอนนั้นเขาค่อนข้างให้ความสนใจอวี๋หมิงซี เขาดูออกว่าอวี๋หมิงซีชอบร้องเพลงจริงๆ บางครั้งพอพูดเรื่องร้องเพลงขึ้นมาดวงตาเธอก็จะเป็นประกาย ด้วยนิสัยของเธอถ้ารู้ว่าอาจารย์ที่สอนร้องเพลงนิสัยแย่ขนาดนั้น จะต้องเลิกเรียนร้องเพลงเพราะความโกรธแน่นอน แบบนั้นน่าเสียดายแย่
“ตอนเด็กๆกระต่ายที่คุณเลี้ยงตาย พ่อคุณบอกว่าจะซื้อตัวใหม่ให้ แต่เป็นตายคุณก็ไม่เอา ต่อมาคุณเห็นคนอื่นเลี้ยงกระต่ายดวงตาคุณก็จับจ้องไปที่มันไม่ขยับไปไหน ผมรู้ว่าคุณชอบแต่คุณไม่พูด ความชอบที่คุณมีต่อดนตรีมากกว่ากระต่ายหลายเท่าตัว ผมไม่อยากให้คุณพลาดสิ่งที่ชอบเพียงเพราะความโกรธ”
ความตั้งใจของเขาในตอนนั้นก็ง่ายๆแบบนี้ แต่อวี๋หมิงซีฟังแล้วก็รู้สึกผิด
“ฉันเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จแล้ว ฉันขอบคุณนายแทนแฟนคลับของฉันจริงๆ”
ถ้าไม่มีเขาอวี๋หมิงซีคงไม่มีทางเดินบนเส้นทางดนตรี เพราะจะว่ากันตามจริงแล้ว เธอชอบงานที่ตัวเองทำอยู่ในตอนนี้มาก และรู้สึกโชคดีที่ตัวเองไม่ทอดทิ้งมันไปเสียก่อน
“แต่ว่า เพราะนายไม่บอกความจริงกับฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกผิดต่อซุนเสียอยู่หลายปี จนมันเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่จบอยู่ในตอนนี้ นายว่าเรื่องนี้ควรทำไงดี?” เสี่ยวซีเปลี่ยนเรื่อง ไห่เจาถึงกับเหงื่อแตก
“ผมผิดไปแล้ว!”
“ถ้าการสำนึกผิดมีประโยชน์ แล้วทะเบียนสมรสมีไว้ทำไม?”
“ใช่ ถ้าการสำนึกผิดมีประโยชน์ แล้ว—เอ่อ?! เดี๋ยวนะ คุณว่าอะไรนะ?!” เขาได้ยินไม่ผิดใช่บ่?
“นายทำกับฉันขนาดนี้แล้ว ไม่คิดจะรับผิดชอบเหรอ?”
ไห่เจาเหยียบเบรกทันที อวี๋หมิงซีเกือบหัวกระแทกข้างหน้า เธอหันไปจ้องเขาด้วยความโกรธ “โง่เปล่าเนี่ย? ขับรถเป็นหรือเปล่า?”
“รับผิดชอบสิ! รับผิดชอบ! จะรับผิดชอบเดี๋ยวนี้เลย ฮ่าๆ ผมจะรับผิดชอบ!” คราวนี้โง่จริง สมองไม่คิดอะไรแล้ว คิดแต่จะรับผิดชอบ
ต่อให้นี่เป็นความฝันเขาก็ดีใจ ฝันยังไม่รู้สึกดีเท่านี้เลย นางฟ้าต้องการให้เขารับผิดชอบ ก็ต้องรับผิดชอบสิ!
“รีบเหรอ? ฉันไม่ได้บอกจะแต่งกับนายเสียหน่อย ก็แค่ให้โอกาส ต่อไปก็อยู่ที่พฤติกรรมของนายแล้วนะ ตอนนี้สภาพจิตใจฉันยังไม่ได้รับการรักษาให้หายดี ต้องไปให้เสี่ยวเชี่ยนจัดการก่อน ถ้านายอยากรอก็รอ แต่ถ้าไม่อยากรอ—”
คำพูดที่เหลือของเธอถูกเขากลืนเข้าปากตัวเอง จูบตอนมีสตินี้เขารอมานานแสนนาน ในที่สุดก็รอจนถึงวันที่หัวใจได้เบ่งบานแล้ว
พอผละออกเธอก็รู้สึกได้ถึงรสเค็ม มันคือน้ำตาของเขา
“ผมจะรอ นานแค่ไหนก็จะรอ” เขาพูดด้วยสภาพดวงตาแดงก่ำ
“ตาโง่ จูบครั้งหน้าขอแบบปกตินะ ไม่ใช่เดี๋ยวก็เลือดเดี๋ยวก็น้ำตา”
“อ๊า อ๊า!” เขารีบเช็ดน้ำตา “เมื่อกี้ฝุ่นเข้าตา ไม่นับ อีกรอบมา จูบเสร็จผมจะพาคุณไปหาเสี่ยวเชี่ยน เขาเก็บค่ารักษาไปแล้วก็ต้องทำงานให้จบ”
“ค่ารักษา? พวกนายแอบมีสัญญาลับอะไรกันลับหลังฉัน?” ดูเหมือนไห่เจาจะแอบเธอทำอะไรอีกแล้วโดยที่เธอไม่รู้
“ชู่ว เรื่องนี้ไม่สำคัญ ตอนนี้ได้เวลาโชว์ทีเด็ดของผมแล้ว!” เขาเลียปากตัวเองแล้วส่งสายตาปิ๊งๆให้เธอ ครั้งนี้เป็นรสดั้งเดิมจริงๆแล้ว!
…
“ครั้งนี้ถ้าเอาไม่อยู่หมัดอีก ไห่เจาก็สมควรเป็นโสดไปตลอดชีวิต โสดสองชาติเลยด้วย” เสี่ยวเชี่ยนพูดพึมพำพลางตักน้ำใส่แป้งทำอาหาร
“หมอเฉินบ่นอะไรเหรอครับ?” คนของทีมจิตวิทยาต่างใส่ผ้ากันเปื้อนช่วยงานครัวกันอยู่
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันพูดว่า ตอนเย็นก็จะทำหมั่นโถวให้พวกเขากินเหรอคะ?”
เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตามองไปข้างหน้า เธอเห็นมีคนกำลังเดินมาทางนี้