67 ผ่านทางมาเส้าหลิน เก้าสุริยันปรากฏ

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 67 ผ่านทางมาเส้าหลิน, เก้าสุริยันปรากฏ!

 

 

“นี่วัดเส้าหลินมีระดับอรหันต์จริงๆ งั้นรึ?”

 

ชายในชุดขาวที่มีรอยประทับรูปมีดสั้นบนหน้าผากขมวดคิ้วเข้าหากัน

 

หากใครที่เจนจัดในโลกยุทธภพมาอยู่ที่นี่ เขาจะต้องจดจำได้อย่างแน่นอนว่าชายในชุดขาวก็คือทายาทของลี้น้อยมีดบิน

 

ลี้น้อยมีดบินเป็นนามที่ไม่มีใครกล้าแอบอ้าง

 

เขามีชื่อเสียงไปทั่วทั้งยุทธภพ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่อยู่เหนือผู้ใดก็ยังต้องเกรงกลัวทายาทของลี้น้อยมีดบินเป็นอย่างมาก

 

“ไม่หรอก ไม่ควรจะมีอรหันต์อยู่จริง บนถนนแห่งผู้ฝึกยุทธสายนี้มีแต่ข่าวโคมลอยที่ผิดเพี้ยนทั้งนั้นแหละ“

 

ชายในชุดขาวคิดอยู่สักพักแล้วก็ส่ายหัว

 

ต้องทราบว่าทั้งตำนานยุทธและระดับอรหันต์ยากนักที่จะกำเนิดเกิดขึ้นมาได้ในแต่ละยุคแต่ละสมัย

 

ถ้าวัดเส้าหลินมีอรหันต์อยู่จริงๆ แล้วโลกภายนอกจะแพร่กระจายข่าวมาจากไหนก่อนหน้านี้เรื่องที่ไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ภายในวัดเลย และเกือบจะหลุดออกจากตำแหน่งของสุดยอดพรรคไปแล้ว

 

“เพียงแต่การตายของจอมมารนั้นเป็นความจริง ด้วยความแข็งแกร่งของจอมมารแม้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเขาก็ควรจะหลบหนีได้ นี่ถึงกับไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ เกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์“

 

ชายชุดขาวแตะปลายคางของเขาด้วยอาการครุ่นคิด

 

เขาหาใช่คนโง่ไม่ แม้เขาจะไม่คิดว่าจะมีอรหันต์อยู่ที่วัดเส้าหลินจริงๆ แต่วัดเส้าหลินย่อมมิใช่ผลลูกพลับอ่อนที่เด็ดกินได้อย่างง่ายๆ

 

“ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการหรอกหรือ?”

 

“หากระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ใช้ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ออกมา คงจะกดดันข้าได้มากเพียงพอใช่ไหมนะ?”

 

ทันใดนั้นร่องรอยความร้อนรุ่มก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของชายชุดขาว

 

ชายในชุดขาวมิได้ตั้งใจจะยั่วโทสะยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์จากวัดเส้าหลิน

 

ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ มีทั้งร่างกายที่แข็งแกร่ง จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และกำลังภายในที่ลึกซึ้ง ทุกอย่างล้วนแปรสภาพไปหมดสิ้นแล้ว เป็นความสมบูรณ์อย่างที่สุด ไม่ใช่ตัวตนที่เขาจะสามารถต้านทานได้

 

ชายในชุดสีขาวเพียงแค่ต้องการจะกดดันตัวเองไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการบ่มเพาะ โดยใช้ความแข็งแกร่งจาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของอีกฝ่าย

 

ทายาทของยอดยุทธมีดบินในยุคก่อน มีบุคลิกอันหลากหลาย

 

บางทีก็เข้าหาได้ง่าย บางคราก็อ่อนโยน มีขี้อิจฉาบ้าง และคลั่งไคล้ศิลปะการต่อสู้

 

ทายาทมีดบินทุกรุ่นเชี่ยวชาญศาสตร์การใช้มีดบิน

 

ศาสตร์การใช้มีดบินนั้นแตกต่างไปจากเคล็ดวิชาส่วนใหญ่ในยุทธภพ

 

เคล็ดการใช้มีดบินนั้นลึกลับซับซ้อนอย่างมาก

 

กล่าวโดยง่ายคือกำลังภายในและร่างกายของผู้ฝึกยุทธนั้นล้วนไร้ประโยชน์เมื่อเอามาใช้ป้องกันขัดขวางวิถีมีดบินของทายาทมีดบิน

 

ทำได้เพียงพึ่งพา ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของตนเองเท่านั้น ว่าจะแกร่งพอหรือไม่

 

หาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ หยุดยั้งมันไว้ได้ ก็นับว่ารอดชีวิต

 

หาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ หยุดยั้งมันไว้ไม่ได้ ก็จงสิ้นชีพไปเสีย

 

ดังนั้น

 

โดยปกติแล้วยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งมีแต่จะต้องตกตายเมื่อเจอเข้ากับทายาทมีดบิน ส่วนระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด…

 

มีเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เริ่มบ่มเพาะ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ เท่านั้น ถึงจะหยุดวิถีมีดบินได้

 

แต่นั่นก็ไม่เสมอไป มันต้องขึ้นอยู่กับว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของทายาทมีดบินแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใดด้วย

 

แต่ก็ใช่ว่าเคล็ดวิชามีดบินจะไร้เทียมทาน

 

ทุกครั้งที่ทายาทมีดบินขว้างมีดออกไป เขาจะทุ่มใช้พลังจนหมดตัว และต้องใช้เวลาพักฟื้นพอสมควร ในเวลานั้นเองเป็นเวลาที่ทายาทมีดบินไม่สามารถสู้ได้แม้กระทั่งคนธรรมดา

 

ในการต่อสู้ตัวต่อตัว ทายาทมีดบินสามารถสังหารผู้ใดทิ้งก็ได้ที่มีระดับชั้นต่ำกว่าระดับชั้นที่หนึ่ง

 

แต่เมื่อเจอกับการปิดล้อมด้วยกลุ่มผู้ฝึกยุทธ ทายาทมีดบินทำได้แค่ยอมรับความพ่ายแพ้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

เขาซัดมีดบินออกไปได้เพียงครั้งเดียวในชั่วระยะเวลาหนึ่ง และหลังจากซัดออกไปแล้วก็เป็นอันหมดสภาพ ไร้หนทางต่อสู้

 

ทั้งชีวิตของชายชุดขาว ได้ใช้มิดบินปลิดชีพคนมาแล้วถึงเก้าคน ในหมู่คนเหล่านั้นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดคือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจากอาณาจักรหนานหมิงทางตอนใต้

 

ด้วยการลงมือทั้งเก้าครั้งนั้น ทำให้ชายชุดขาวขัดเกลา ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของตนเองให้แกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเขาเกือบจะสามารถแปรสภาพพลังศักดิ์สิทธิ์กลั่นออกมาเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว เหลืออีกก้าวเดียวเท่านั้น

 

ช่างน่าเศร้าที่ขั้นตอนนี้แลดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ความเป็นจริงนั้นเหมือนกับคูน้ำกว้าง

 

หากไม่มีสิ่งส่งเสริมจากภายนอกที่เพียงพอ ด้วยการกดดันจาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของยอดฝีมือผู้ทรงพลัง ทายาทมีดบินจะไม่สามารถก้าวข้ามขั้นตอนสุดท้ายนี้ไปได้

 

“เสียดายที่จ้าวกงกงในวังหลวงนั้นเหมือนจะควบแน่นพลังศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว แต่ข้าไม่สามารถหาหนทางเข้าไปในวังได้เลย”

 

ชายชุดขาวถอนหายใจ

 

“แต่ว่า”

 

“ถึงเข้าไปในวังหลวงไม่ได้ แต่ข้ายังเข้าไปในวัดเส้าหลินได้อยู่”

 

ชายในชุดสีขาวมีพลังใจกลับมาอีกครั้ง

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้ผู้แสวงบุญเข้าไปสักการะกราบไหว้พระพุทธรูป

 

ชายในชุดขาวสามารถแสร้งเป็นนักแสวงบุญและแอบเข้าไปในวัดเส้าหลินได้อย่างแนบเนียน

 

ตราบใดที่เข้าไปในวัดเส้าหลินได้ ชายชุดขาวก็สามารถใช้เคล็ดมีดบินของเขา สัมผัส ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ บริเวณใกล้เคียงทั้งหมด

 

หากระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ยังอยู่ในวัดเส้าหลินล่ะก็ ไม่มีทางจะหนีพ้นประสาทสัมผัสของชายชุดขาวไปได้

 

 

ที่วัดเส้าหลิน

 

หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ประจำวันเรียบร้อยแล้ว ดวงตาเขาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มองออกไปนอกวัดเส้าหลิน

 

นับตั้งแต่ที่จอมมารได้สิ้นชีพไป ก็มีจารชนจำนวนมากซ่อนตัวอยู่ตามมุมมืดต่างๆ นอกวัด และแม้แต่ผู้แสวงบุญทั้งหลายที่มาเยี่ยมชมวัดสักการะพระพุทธรูปในทุกวันนี้ ล้วนเป็นจอมยุทธแฝงตัวเข้ามากันทั้งนั้น

 

แม้ซูฉินจะทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจตราบที่มันไม่รบกวนเขา เจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักจะดูแลจัดการเรื่องเหล่านี้เอง

 

“ด้วยเคล็ดในการฝึกวิชาเก้าสุริยัน หากฝึกฝนไปจนถึงขีดสุด ว่ากันว่าตัวตนของผู้ฝึกจะเป็นดั่งดวงสุริยัน แผดเผาภูเขาให้มอดไหม้ ระอุจนทะเลยังต้องเดือดเป็นไอ”

 

“วันนี้ข้าคงต้องทดสอบดูสักหน่อย”

 

ใจของซูฉินขยับวูบ

 

คัมภีร์เก้าสุริยันเป็นวิชาสายพุทธ การที่ซูฉินฝึกฝนวิชาเก้าสุริยันก็ถือเป็นการพิสูจน์วิชาร่วมกับผู้คิดค้นคัมภีร์เก้าตะวันโดยอ้อม

 

หลังจากที่กลายมาเป็นระดับอรหันต์ สิ่งที่จำเป็นต้องกระทำคือการรวบรวมวิถีแห่งศาสตร์วิชาแต่ละแขนงที่แตกต่างกันเพื่อนำมาขัดเกลาและพิสูจน์วิถีแห่งตนเอง

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้นซูฉินจึงกลับไปที่พื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง นั่งลงเอาขาไขว้กัน เริ่มโคจรวิชาเก้าสุริยันอย่างรวดเร็ว

 

 

ที่ด้านนอกโถงศาลาการประชุมใหญ่

 

ชายในชุดขาวที่บัดนี้กลายเป็นผู้แสวงบุญ เดินไปที่มุมหนึ่งของวัดโดยไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้

 

หลังจากนั้นชายชุดขาวก็กวาดสายตามองไปรอบๆ สูดลมหายใจเข้าลึก

 

“ครู่เดียว”

 

“การใช้เคล็ดมีดบินเพื่อตรวจจับ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของผู้อื่นนั้น หากไม่ได้ใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ แม้แต่ระดับที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่มีทางรู้ตัว”

 

ชายชุดขาวนั่งลง คิดอยู่คนเดียวในใจ

 

สำหรับเรื่องที่เขาจะสามารถรับแรงกดดันของ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘จากระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ได้หรือไม่นั้น ชายชุดขาวยังคงมั่นใจในตนเอง

 

ในฐานะของทายาทมีดบินรุ่นนี้ เดิมทีเขาเองก็มีความสามารถในการใช้ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ สูงมาก ตราบใดที่เขายังไม่ตาย เขายังสามารถตรวจพบ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของระดับตำนานยุทธได้โดยไม่มีปัญหาใด

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายชุดขาวหลับตาลง ยกมือขวาแตะไปยังตราประทับรูปมีดบินที่กึ่งกลางคิ้ว

 

หวึ่ง!!

 

ในเวลาต่อมา

 

ชายชุดขาวรู้สึกถึงการรับรู้ของตนเองที่พุ่งทะยานขึ้นและรับรู้จุดแสงที่กระจายอยู่รอบตัวของเขาได้อย่างหยาบๆ

 

“นั่นคือ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของเหล่าผู้แสวงบุญและศิษย์วัดเส้าหลินอย่างนั้นหรือ?”

 

ชายชุดขาวไม่ได้ให้ความสนใจกับจุดแสงพวกนี้ และยังคงแผ่การรับรู้ของตนเองออกไปทุกทิศทาง

 

“นี่ก็ไม่ใช่”

 

“นั่นก็ไม่ใช่”

 

ชายในชุดขาวขมวดคิ้วเล็กน้อย เหงื่อเย็นหลั่งไหล

 

ถ้ายังคงค้นหาต่อไป เกรงว่าจะเกินขีดจำกัดของตัวเขาแล้ว

 

ตอนที่ชายชุดขาวกำลังจะยอมแพ้นั้น

 

ในที่สุดการรับรู้ของเขาก็เคลื่อนไปถึงพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังของวัดเส้าหลิน

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ชายชุดขาวก็พบเห็นฉากตระการตา

 

ในขอบเขตการรับรู้ของเขาพลันปรากฏดวงอาทิตย์ขนาดยักษ์เก้าดวงส่องสว่างเจิดจ้า

 

แสงสว่างขับไล่ความมืดไปจนสิ้น แผดเผาอากาศจนระอุ ยามที่ดวงอาทิตย์พาดผ่านทุกสิ่งทุกอย่างพลันแห้งแล้ง ชีวิตพลันดับสูญ

 

“นี่ นี่คือ นี่คือ…..”

 

ชายในชุดสีขาวรู้สึกแค่ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของเขากำลังพังทลาย เขาคุกเข่าลงกับพื้นด้วยเสียงอันดัง เลือดออกจากดวงตาทั้งสองข้าง สีหน้าของเขาแสดงความหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด