ตอนที่ 305 คำพูดหวังดี
ตอนที่ 305 คำพูดหวังดี

“หา ยังต้องเซ็นสัญญาด้วยเหรอ?” เสี่ยวหม่าแอบรู้สึกเหนือความคาดหมาย

“ต้องเซ็นสัญญาอยู่แล้ว นี่เป็นประโยชน์ต่อพวกเราทั้งคู่เลยนะ” โจวหมิ่นพูดทีเล่นทีจริง “ถ้าฉันไม่ให้ค่าจ้างนายขึ้นมา ก็นำสัญญาของฉันไปฟ้องร้องได้”

“ผมเชื่อว่าพี่โจวไม่หลอกผมอยู่แล้ว อีกอย่างยังมีพี่จ้าวกับพี่เย่ด้วยนะ!” เสี่ยวหม่ารีบพูด

“เซ็นสัญญาเป็นสิ่งจำเป็น” โจวหมิ่นกล่าว

“ต้องเซ็นสัญญากันทั้งนั้นแหละ” เย่หมิงเป่ยเสริม

เสี่ยวหม่าได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าตอบ “งั้นก็เซ็นเถอะครับ”

ตอนบ่ายจึงเริ่มถ่ายแบบกันต่อ จนถึงตอนค่ำหลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็ยังต้องถ่าย ปาไปเกือบเที่ยงคืนกว่าจะเสร็จ เสี่ยวหม่าหิวจนไม่ไหวแล้ว เขาจึงเสนอว่าขอไปรับประทานอาหาร แต่ผลลัพธ์ที่ได้โจวหมิ่นกลับเอาน้ำเย็นมาราดดับฝันของเขา

“กินช่วงดึกอ้วนง่าย อีกอย่างนายแบบก็ต้องรักษาหุ่นด้วย ตอนนี้รูปลักษณ์ของนายกำลังดัง เพราะฉะนั้นกินไม่ได้”

เสี่ยวหม่าถึงกับตกตะลึง เป็นนายแบบถึงจะหิวก็รับประทานอะไรไม่ได้งั้นเหรอ?

โจวหมิ่น “หลังจากนี้ต้องควบคุมอาหารสามมื้อต่อวัน อะไรที่ควรกินและอะไรที่ไม่ควรกินมีกฎระบุไว้แล้ว”

“พี่โจว เรื่อง…เรื่องกินข้าวก็ต้องดูแลด้วยเหรอ?”

“อาชีพนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ ใช้หุ่นกับหน้าตา จริงสิ นายต้องออกกำลังกายด้วยนะ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องรักษารูปร่างนี้ไว้ อาหารการกินคือเรื่องใหญ่”

เสี่ยวหม่าแสดงสีหน้าระทมทุกข์ เขาหันไปมองเย่หมิงเป่ย เย่หมิงเป่ยก็ดูหมดหนทางช่วยเหลือเช่นกัน

“อาชีพนายแบบดูเหมือนจะง่ายดายและสดใส อันที่จริงก็มีหลายอย่างที่ต้องให้ความสนใจ นายต้องพิจารณาดูให้ดีนะ แน่นอน เงินเดือนก็สูงมากด้วย นายเป็นเด็กใหม่ บริษัทยังต้องลงทุนกับนาย ช่วงแรกฉันจะให้เงินเดือนนายห้าสิบหยวน หลังจากนี้ก็รอดูผลงานของนาย แล้วค่อย ๆ เพิ่มเงินเดือนให้ ฉันไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านี้ แต่อย่างน้อย ๆ ฉันก็รับประกันได้เลยว่าหนึ่งเดือนนายจะได้เงินเดือน 100-200 หยวนได้อย่างไม่มีปัญหา”

ตอนแรกที่เสี่ยวหม่าได้ยินก็อยากยอมแพ้ไม่ทำแล้ว เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหิวแต่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ แต่ตอนที่ได้ยินจำนวนเงิน 100-200 เขาก็เกิดความกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด 100-200 หยวนเชียวนะ 100-200 หยวน!

“พี่โจว พี่หมายถึงหนึ่งเดือน หรือว่าหนึ่งปีเหรอครับ?”

“ก็ต้องหนึ่งเดือนสิ หนึ่งปีก็ได้ 1,000-2,000 หยวนแล้ว!” โจวหมิ่นตอบ

เสี่ยวหม่ารีบพยักหน้า “ตกลง ๆ ผมไม่กิน ผมไม่กินข้าวแล้ว!”

มีเงินแล้วจะหิวก็หิวไปเถอะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่นึกถึงเงินก็ดูเหมือนจะไม่ได้หิวขนาดนั้นแล้ว

หลังจากส่งเสี่ยวหม่ากลับไป ระหว่างทางที่เย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นกลับบ้าน เย่หมิงเป่ยก็พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมคุณถึงสร้างความลำบากใจให้เขาแบบนี้ล่ะ?”

“สร้างความลำบากใจให้เขา?” โจวหมิ่นประหลาดใจ “คุณเองก็รู้ไม่ใช่เหรอว่านายแบบต้องรักษาหุ่น?”

“ผมรู้ แต่เขาเพิ่งมาถึง ทำแบบนี้เลยคงไม่ดีเท่าไหร่มั้ง?” เย่หมิงเป่ยแอบรู้สึกเสียใจ

โจวหมิ่นส่ายหน้า “ไม่ เพราะเพิ่งมาถึงไงถึงได้ทำให้เขาเข้าใจว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง นี่ก็เพื่อให้เขาได้คิดว่าตัวเองทำได้ไหม อะลุ่มอล่วยให้ตอนนี้ หลังจากนี้จะเข้มงวดก็ไม่ได้แล้ว”

“แต่หิวขนาดนี้ เขาจะไม่หิวแย่เลยเหรอ?” เย่หมิงเป่ยแอบเป็นกังวล

โจวหมิ่นกลอกตาใส่ “ก่อนหน้านี้มีตอนไหนบ้างที่พวกเราได้กินอิ่ม กลางคืนวันไหนบ้างที่ไม่มีใครนอนหิว เขาหิวแค่คืนเดียวจะไม่ไหวเชียวเหรอ? ถ้าอ่อนแอขนาดนั้นก็กลับบ้านไปเลย!”

เย่หมิงเป่ย “คุณพูดถูก แต่ปล่อยให้หิวแบบนี้ตลอดก็ไม่ใช่วิธีที่ดีนะ?”

“หิวก็เป็นเรื่องปกติของนายแบบ แต่คุณไม่ต้องกังวลหรอก ตอนนี้เขายังไม่มีคุณสมบัตินี้ นี่เป็นวันแรก ถ่ายค่ำไปหน่อย วันพรุ่งนี้ก็ถ่ายเสร็จเร็วแล้ว แบบนี้กลับไปนอนก็ไม่หิวแล้วด้วย” โจวหมิ่นกล่าว

เย่หมิงเป่ยรู้สึกเห็นอกเห็นใจเสี่ยวหม่ามาก หิวแบบนี้ยังไม่มีคุณสมบัติอีก ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกกลัวอาชีพนายแบบนี้มากขึ้นด้วย

“หมินหมิ่น ทำไมคุณถึงไม่ให้เขาใส่เสื้อที่ฉูฉู่ออกแบบล่ะ แบบนั้นคงดูดีขึ้นอีกหน่อย” เย่หมิงเป่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

โจวหมิ่นกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ฉูฉู่วาดเขา แต่ฉูฉู่ปรับให้เขาดูดีบนกระดาษ ถ้าให้เขาใส่เสื้อผ้านั้นแล้วไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ที่อยู่บนภาพวาดออกมาได้ ถึงเวลานั้นคนที่ถูกตบหน้าก็คือพวกเรา ถึงยังไง ถ้าพวกเราไม่ใช้ประโยชน์จากสถานะในตอนนี้ของเขา หลังจากนี้ก็ไม่มีแล้ว แบบนั้นคงสิ้นเปลืองเกินไป”

ตอนนี้บนร่างกายของเสี่ยวหม่ามีกลิ่นอายของความเป็นคนชนบทจากภายในสู่ภายนอก รูปลักษณ์แบบสด ๆ แบบไม่ต้องมีคนมาประดิษฐ์ให้ โจวหมิ่นเห็นโอกาสทางการค้า ออร่าของความติดดินแบบนี้ถ้าทำได้ดีก็จะขายเป็นเงินได้ แม้ตอนนี้จะไม่ใช่ยุคโต่วอินและไคว่โส่ว[1] แต่ก็เป็นยุคที่สามารถลอกเลียนแบบได้ ไม่ว่าจะมาก่อนหรือว่ามาทีหลัง ก็ยังเป็นคำพูดนั้น…ขอแค่การตลาดดีก็พอแล้ว!

ตอนนี้เสี่ยวหม่ามีความเป็นธรรมชาติ ความเป็นธรรมชาตินี้ย่อมไม่อาจคงอยู่ตลอดไปได้ ต่อให้จงใจเก็บไว้แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ หากอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องเปลี่ยนแปลง ดังนั้นโจวหมิ่นจึงใช้เวลานี้เปิดตัวแฟชั่นคอเลกชั่นชนบทออกไป ทำเงินได้ระลอกหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ทำแบบนี้ก็เพื่อดูว่าเสี่ยวหม่าจะทนความลำบากในการเป็นนายแบบได้หรือไม่ หากเขาทนได้ หล่อนก็จะลงทุนเพื่อปั้นเสี่ยวหม่า หากทนไม่ไหวหล่อนก็จะได้ไม่เสียเงินด้วย

“…ออร่าของเขาเหมาะกับเสื้อผ้าที่ฉูฉู่ออกแบบก่อนหน้านี้ พวกเราต้องขับเคลื่อนความเห็นของประชาชนทีละนิด พูดตรง ๆ ก็คือการสร้างกระแสนั่นแหละ เมื่อการเปรียบเทียบอย่างหนักปรากฏออกมา ไม่ว่าจะเสื้อผ้าที่เย่ฉูฉู่ออกแบบหรือตัวเสี่ยวหม่าเอง ก็จะดึงดูดความสนใจของทุกคน ขอแค่ดึงดูดความสนใจของคนหมู่มากทุกอย่างก็ทำได้ง่าย ๆ” โจวหมิ่นอธิบายแผนของหล่อนให้เย่หมิงเป่ยฟังอย่างละเอียด

เย่หมิงเป่ยฟังจบก็เงียบไป

“ทำไมเหรอคะ?” โจวหมิ่นเห็นเขาไม่ตอบ จึงเอ่ยปากถาม

“ผมไม่รู้ว่าควรพูดยังไง” เย่หมิงเป่ยยิ้มด้วยความขมขื่น “แต่พอได้ฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจน่ะ”

โจวหมิ่นยิ้ม “ฉันรู้ คุณคิดว่าฉันหาผลประโยชน์มากเกินไปใช่ไหมล่ะ?”

เย่หมิงเป่ยยิ้มแห้ง “ผมรู้ว่าที่คุณทำแบบนี้ก็เพราะ…”

โจวหมิ่นโบกมือเพื่อแทรกคำพูดของเขา “คุณไม่ต้องหาเหตุผลให้ฉันหรอก ฉันไม่ได้รู้สึกไม่ดีที่จะยอมรับ ฉันทำก็เพื่อเงินนั่นแหละ หมิงเป่ย คุณจำไว้นะ ในฐานะของนักธุรกิจ หาเงินคือเป้าหมายแรก นี่คือธรรมชาติของนักธุรกิจ ถ้าไม่ใจร้ายก็ไม่ได้เงิน ฉันจำได้ว่ามีละครเรื่องนี้ พระเอกในเรื่องเคยพูดแบบนี้ นักธุรกิจจำเป็นต้องมีนิสัยเหี้ยมมาก ฉันเองก็เห็นด้วยนะ ถ้านิสัยไม่เหี้ยมพอ ก็จะถูกกินจนหมดสภาพ!”

เย่หมิงเป่ยมองโจวหมิ่นด้วยท่าทางชะงักงัน เขาไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรไปชั่วขณะ

โจวหมิ่นยิ้ม หล่อนยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาโอบรอบคอของเขา ทั้งยังเงยหน้าพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมเหรอ รับไม่ได้แล้ว?”

เย่หมิงเป่ยยื่นมือออกไปโอบหล่อน “หมินหมิ่น อันที่จริงคุณไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ พวกเราไม่ทำแบบนี้ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยมเลยนะ”

โจวหมิ่นหัวเราะ หล่อนประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขา “ตาทึ่ม ฉันก็ต้องรู้อยู่แล้ว แต่ที่ฉันทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะอยากมีชีวิตที่ดีเยี่ยมสักหน่อย”

“แล้วเพราะอะไรล่ะ?” เย่หมิงเป่ยก้มหน้าแนบชิดกับใบหน้าของหล่อน และโอบกอดหล่อนแน่นขึ้น

“ฉันน่ะ…” โจวหมิ่นหยุดแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันอยากปีนขึ้นไปให้สูงอีกหน่อย ฉันอยากเห็นวิวทิวทัศน์ที่อยู่ด้านบนนั้น แล้วก็…อยากพาคุณบินไปด้วยกัน…”

เย่หมิงเป่ยไม่ค่อยเข้าใจความหมายของโจวหมิ่น แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความรักของหล่อน เขาจูบหล่อนแล้วพูดว่า “หมินหมิ่น ไม่ต้องหรอก พวกเราไม่ต้องปีนให้สูงขนาดนั้น และไม่ต้องบินให้สูงขนาดนั้นด้วย ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว”

“อื้อ มีคุณอยู่ไม่ว่าจะตอนไหนก็ดีมากทั้งนั้นแหละ” โจวหมิ่นสบตาเย่หมิงเป่ย และพูดสาบานกับเขาว่า “หมิงเป่ย ไม่ว่าจะได้เงินมาเท่าไรเงินก็ไม่สำคัญเท่ากับคุณ เช่นเดียวกัน ไม่ว่าฉันจะได้เงินมาเท่าไร แต่ถ้าไม่มีคุณมันก็ไม่มีความหมายอะไร!”

เย่หมิงเป่ยรู้สึกซึ้งใจ ต่อให้ตายตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว!

…………………………………………………………………………………

[1] โต่วอินและไคว่โส่ว (某音某手) โต่วอินคือแอพติกต่อกเน้นวิดีโอสมัยใหม่ มีความเป็นเอกลักษณ์ ส่วนไคว่โส่วเป็นแอพเช่นเดียวกันแต่เน้นผู้ใช้ในแถบชนบท เนื้อหาวิดีโอส่วนมากเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน

สารจากผู้แปล

เป็นนายแบบต้องอดทน สู้ๆ นะเสี่ยวหม่า

ยากเหมือนกันนะคะที่จะบาลานซ์ธุรกิจกับความสัมพันธ์ให้ไปด้วยกันได้ เห็นมาหลายคนแล้วที่การงานไปได้สวยแต่ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดคือพัง

ไหหม่า(海馬)