ภาคที่ 2 บทที่ 168 ลึกไปในป่าเขา (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 168 ลึกไปในป่าเขา (1)

เปลวเพลิงจากการต่อสู้ยังคงไม่มอดลง ควันหนากำจายไปทั่วป่า

ในป่าที่เงียบสงบเช่นนี้กลับมีอันตรายซ่อนอยู่ในทุกย่างก้าว

ไม่มีใครกล้าวางใจ ต่างคอยตรวจสอบรอบกายตน เผื่อจะมีสิ่งใดกระโจนเข้าใส่

เฮ่ออวิ๋นตงและอวิ๋นเป้าเหลือบมองกัน อวิ๋นเป้าก้าวเท้าออกมาจากกลุ่มแล้วเดินไกลออกไป ครู่หนึ่งจึงหันหลับมาส่ายหน้าให้เฮ่ออวิ๋นตง บอกว่าไม่มีอสูรร้ายซ่อนตัวอยู่แล้ว

เฮ่ออวิ๋นตงถอนใจโล่งอกก่อนเอ่ยขึ้น “คงท่านี้ไว้แล้วเดินทางไปทั้งอย่างนี้เถอะ เว่ยหยาง เจียงหานเฟิง หม่าเซวียน และเหยียนหลิง พวกเจ้าออกมาจากวงแล้วรับมือค่ายกลพลังต้นกำเนิด อวิ๋นเป้าประจำการไว้ ชิงลั่วและหานเยี่ยน พวกเจ้าสองคนคอยปกป้องพวกเขา หากมีเรื่องอันใดให้ใช้พลังเยือกแข็งควบคุมสถานการณ์ไว้ให้ได้นานที่สุด ถังหมิง ลากร่างอสูรร้ายพวกนั้นมา”

“เข้าใจแล้ว !” ทุกคนเริ่มทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

ทุกสายตาเหลือบมองกองศพอสูรร้ายที่กำลังถูกจัดการแล้ว เย่ฉีมิ่งก็ตบไหล่หวังโต้วซาน “เจ้าอ้วน ตอนนี้เจ้ามีของกินมากมายแล้ว”

ทุกคนหัวเราะออกมา คลายความตึงเครียดจากการถูกสัตว์สูรลอบโจมตีเมื่อครู่ลง

มีเพียงซูเฉินที่ยังคงจ้องมองโดยรอบอยู่เงียบ ๆ ผู้เดียว

ตอนนั้นเอง พวกเขาก็พบค่ายกลพลังต้นกำเนิดอีกหนึ่งค่ายกลอยู่ไม่ไกลนัก

คนทั้งสี่กำลังจะทำการปิดค่ายกล หากแต่ซูเฉินพลันเอ่ยขึ้น “รอประเดี๋ยว พวกเจ้าสามคนถอยไปก่อน เว่ยหยาง เจ้าเข้าไปจัดการค่ายกลพลังต้นกำเนิดนี้”

“ข้าคนเดียวหรือ ?” เว่ยหยางประหลาดใจเล็กน้อย

ซูเฉินพยักหน้า “ถูกต้อง เจ้าคนเดียว เจ้าปลดค่ายกลคนเดียวได้หรือไม่ ?”

“น่าจะทำได้ เพียงแต่จะนานกว่าเดิมเท่านั้น” เว่ยหยางตอบ เหลือบมองไปทางเฮ่ออวิ๋นตงและชีเว่ยเยี่ยน

เฮ่ออวิ๋นตงยืนขมวดคิ้วอยู่ แต่เขารู้ดีว่าซูเฉินไม่ชี้นิ้วสั่งใครโดยไร้เหตุผล คงจะมีบางอย่างเป็นแน่ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับ “ลงมือเลย”

เจียงหานเฟิงและคนอื่น ๆ จึงถอยไป ส่วนเว่ยหยางก้าวออกไปข้างหน้า

ทันทีที่เขาเคลื่อนกายเข้าไปยังเขตการทำงานของค่ายกลพลังต้นกำเนิด ซูเฉินก็ยกมือขึ้น ผู้พิทักษ์แห่งเม็กปรากฏขึ้นบนร่างเว่ยหยาง

ทันใดนั้นสายฟ้าเส้นหนึ่งก็ฟาดลงมาตรงหน้าเว่ยหยาง ซัดใส่เข้าอย่างจัง เว่ยหยางที่ถูกลูกบอลสายฟ้าคลุมร่างกระเด็นไปไกล

“เว่ยหยาง !” ทุกคนตะโกนขึ้น

ตอนที่กำลังจะร่วงลงพื้นนั่นเอง เย่ฉีมิ่งก็สะบัดมือคราหนึ่ง ร่างเว่ยหยางจึงหยุดอยู่กลางอากาศ จากนั้นชีเว่ยเยี่ยนก็เหินร่างขึ้นแล้วคว้าเว่ยหยางไว้ พลังสายฟ้าถูกดูดส่งเข้าร่างนาง นางร้องเสียงเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาวลงอย่างเห็นได้ชัด

หากแต่เว่ยหยางที่มีผู้พิทักษ์แห่งเม็กคอยปกป้องร่าง และได้ชีเว่ยเยี่ยนดูดซับพลังไปนั้นกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่นิด เพียงแต่ตกใจเกือบสิ้นสติเท่านั้น

เห็นดังนั้นชายหนุ่มก็จึงโยนยาฟื้นพลังขวดหนึ่งให้ชีเว่ยเยี่ยน

ชีเว่ยเยี่ยนรับมากระดกดื่มในพลัน สีเลือดบนใบหน้านางเริ่มฟื้นคืนกลับมาช้า ๆ

ตอนนี้ทุกคนจึงเข้าใจว่าทำไมซูเฉินจึงให้เว่ยหยางเข้าไปปลดค่ายกลพลังต้นกำเนิดเพียงคนเดียว เป็นเพราะเขาสามารถปกป้องได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หากทุกคนเข้ากันไปทั้งหมด อีกสามคนก็อาจตายไปแล้ว

เจียงหานเฟิง และคนอื่น ๆ เองก็ก็ตกใจสุดขีดเช่นกัน

นับเป็นครั้งที่ 2 ที่ค่ายกลพลังต้นกำเนิดเปิดการทำงานขึ้นเองโดยที่ไม่มีใครไปกระตุ้นมันเลย และหากซูเฉินไม่เอ่ยยั้งไว้ ก็คงทำให้เว่ยหยาง และคนอื่น ๆ ต้องตายแล้ว

เฮ่ออวิ๋นตงมองซูเฉิน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะเปิดขึ้นเอง ?”

ซูเฉินตอบ “ข้าเพียงรู้สึกว่าเมื่อเรื่องการโจมตีเมื่อครู่เกิดขึ้นได้ครั้งหนึ่ง ย่อมต้องมีครั้งต่อไปได้”

“เกิดอะไรขึ้นกัน ? เหตุใดค่ายกลพลังต้นกำเนิดเหล่านี้จึงเปิดขึ้นเองโดยที่ไม่มีใครแตะต้องมันได้ ?” หวังเสวียนอันที่หัวเสียง่ายตะโกนขึ้น

“พวกเราก็ไม่รู้” เว่ยหยาง และคนอื่น ๆ ส่ายหัว พวกเขาเองก็พบเจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก

ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพลันเอ่ย “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าค่ายกลพลังต้นกำเนิดถูกกลไกควบคุมกลางที่อยู่ในห้องทดลองควบคุมอยู่ใช่หรือไม่ ?”

เหยียนหลิงตอบ “พวกเราไม่ได้บอกว่าจะมีกลไกควบคุมกลางอยู่แน่หรือไม่ เพียงแต่กลไกควบคุมกลางสามารถใช้แยกความต่างระหว่างอสูรร้ายกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ได้เท่านั้น”

“และหากมันซับซ้อนกว่าที่เราคาดไว้เล่า ?”

“เจ้าหมายความว่า……”

“มันอาจไม่เพียงแยกความต่างระหว่างอสูรร้ายกับพวกเราได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเปิดค่ายกลต่าง ๆ เองได้ด้วย”

ทุกคนถึงกับร่างชาวาบ

เหยียนหลิงเงยหน้ามองห้องทดลอบที่อยู่บนเขาสูง “แบบนั้นคงจะเป็นคำอธิบายเดียวกระมัง ค่ายกลพลังต้นกำเนิดเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกัน หากเป็นเช่นนั้นย่อมต้องพยายามป้องกันคนนอกไม่ให้เข้าไปได้ ในเมื่อเราทำการปลดการป้องกันมัน มันจึงโจมตีเราโดยพลันแทน มีเหตุผลดีอยู่กระมัง ?”

ผีเยวี๋ยนหงกลืนน้ำลาย “จะมีเหตุผลหรือไม่แล้วอย่างไร ? ข้าไม่ชอบเหตุผลเช่นนั้นเลย”

หม่าเซวียนเอ่ยขึ้น “หากเป็นเช่นนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่กลไกควบคุมกลางธรรมดาสามารถทำได้เป็นแน่”

“ตอนนี้ข้าไม่สนว่ากลไกควบคุมกลางเป็นอย่างไรกันแน่ ข้าเพียงต้องการรู้ว่าเราจะไปให้ถึงจุดหมายอย่างไร ดูท่าจะยังต้องเดินทางกันอีกไกลนัก” ถังหมิงเอ่ยเสียงไม่ยินดีนัก

เจียงหานเฟิงทำท่าทางช่วยไม่ได้ “ข้าก็ไม่รู้ หากค่ายกลพลังต้นกำเนิดมันเปิดตัวเองทันทีที่เราเข้าใกล้มันละก็ เช่นนั้นเราก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้”

“ไม่” ซูเฉินเอ่นขึ้นในพลัน “อย่างน้อย ๆ เจ้าก็บอกตำแหน่งค่ายกลพลังต้นกำเนิดได้ ทั้งยังประเมินระดับความแกร่งของมันออกมาได้ด้วย ในเมื่อเราไม่อาจปิดการทำงานของมันโดยสงบได้ เช่นนั้นก็ต้องใช้กำลัง”

ค่ายกลพลังต้นกำเนิดสามารถใช้วิชาหรือกำลังรับมือได้ด้วยทั้งสองทาง

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดให้พวกเขาใช้วิชาปลดค่ายกลออก เช่นนั้นพวกเขาก็คงต้องเลียนแบบเผ่าคนเถื่อนด้วยการใช้กำลังทำลายค่ายกล

ไม่นาน เฟิงอี้กู่ที่หนังหนาอีกทั้งมีร่างกายกำยำก็วิ่งไปข้างหน้าแทนที่คนทั้งสี่ พร้อมทั้งเปิดใช้เกราะเต่าทมิฬ เกราะรบเหล็กแกร่ง ก่อนจะใช้เกราะเวทย์ปกคลุมร่างไว้ และภายใต้การกำกับของคนทั้งสี่ เขาก็เดินตรงเข้าไปยังค่ายกลพลังต้นกำเนิด ยังไม่ทันได้ลงมือก็เกิดระเบิดขึ้น เปลวเพลิงคล้ายลูกบอลยัดษ์ห่อหุ้มร่างเฟิงอี้กู่ไว้

เฟิงอี้กู่ต้านแรงระเบิดแล้วเดินฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปคล้ายกับเทพแห่งสงคราม นอกจากผิวที่ดูดำคล้ำไปเล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดอีก

“สำเร็จ !” ทุกคนส่งเสียงโห่ร้องยินดี

“ดูท่าวิธีเช่นนี้จะดีกว่าให้พวกเจ้าเข้าไปจัดการค่ายกลพลังต้นกำเนิดเสียอีก” ต้วนเจียงซานหัวเราะพลางตบไหล่เจียงหานเฟิง

อาจเพราะไม่อยากให้ผู้อื่นดูถูกตน เจียงหานเฟิงจึงตอบออกไปว่า “จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ได้ การเดินเข้าค่ายกลพลังต้นกำเนิดเช่นนี้ได้ผลก็จริง แต่ใช้พลังงานมาก อีกทั้งยังไม่อาจสร้างค่ายกลพลังต้นกำเนิดขึ้นใหม่ได้ หากพวกเผ่าคนเถื่อนมันไล่หลังเรามาก็นับว่าเรากรุยทางให้พวกมัน”

“ไม่ต้องห่วง ค่ายกลพลังต้นกำเนิดก่อนหน้านี้ก็ยังอยู่ เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอรับมือกับพวกมันแล้ว”

ได้ยินดังนั้นซูเฉินก็รี่ตาลง มีสีหน้าครุ่นคิด ชั่วขณะหนึ่งก็พูดขึ้น “เว่ยหยาง เจ้ามานี่สักหน่อย”

“อะไรหรือ ?” เว่ยหยางเดินเข้าไป

ซูเฉินจึงก้มลงกระซิบบางอย่างที่ข้างหู

สีหน้าเว่ยหยางค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นตกตะลึง “จำเป็นด้วยหรือ ?”

“ไม่ต้องคิดเรื่องจำเป็นหรือไม่จำเป็น ลงมือทำมันก็พอ”

“ตกลง !” เว่ยหยางพยักหน้าเคร่งขรึม ส่งกระจกส่องกระจ่างของตนให้เจียงหานเฟิง จากนั้นเดินไปด้านหลัง

คนอื่น ๆ ดูสับสนกับการกระทำของเขา ซูเฉินเพียงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วง ข้ามอบภารกิจพิเศษให้เขา ไม่นานเขาก็กลับมา”

“เจ้ามีแผนอะไร ?” เฮ่ออวิ๋นตงถาม

“ไม่มากมายอะไร เพียงแค่ป้องกันไว้ก่อนก็เท่านั้น” ซูเฉินตอบเสียงเรียบ