ภาคที่ 2 บทที่ 169 ลึกไปในป่าเขา (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 169 ลึกไปในป่าเขา (2)

การฝืนทำลายค่ายกลยิ่งทำให้ความเร็วในการเดินทางขึ้นเขาลดลงต่ำกว่าเดิม

เจียงหานเฟิงเป็นคนชี้ตำแหน่งค่ายกล เหยียนหลิงประเมินความแกร่ง หากเป็นค่ายกลระดับ 5 หรือต่ำกว่านั้นก็จะใช้พลังป้องกันของเฟิงอี้กู่ในการปะทะกับค่ายกล

แต่หากพลเข้ากับค่ายกลที่แข็งแกร่งกว่านั้น พวกเขาก็จะเปิดค่ายกลเหล่านั้นจากระยะไกล ไม่เช่นนั้นก็จะเลือกใช้ทางอื่นแทน ด้วยพวกเขายอมเดินอ้อมไปไกลดีกว่าบุกเข้าไปแล้วบาดเจ็บ

แต่ไม่นานก็มีปัญหาใหม่เกิดขึ้น

หลังจากฝ่าค่ายกลมาหลากหลายครั้ง เฟิงอี้กู่ก็เผชิญหน้าเข้ากับอีกค่ายกลหนึ่ง

หากแต่ค่ายกลนี้กับไม่เปิดตนเอง

เฟิงอี้กู่ที่เตรียมตัวรับแรงโจมตีมาเป็นอย่างดีจึงยืนรออยู่เช่นนั้น หากแต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

เขาหันมามองทางทุกคน หน้าตาดูขัดเขินเล็กน้อย จากนั้นตะโกนถาม “เหตุใดมันจึงไม่ระเบิดเล่า ? แล้วข้าต้องทำอย่างไร ?”

เจียงหานเฟิง และคนอื่น ๆ เองก็มองหน้ากัน

เฮ่ออวิ๋นตงถาม “เจ้ามั่นใจหรือว่าตรงนั้นมีค่ายกลยู่แน่ ๆ?”

เจียงหานเฟิงพยักหน้า “ข้ามั่นใจ เป็นค่ายกลความแข็งแกร่งระดับ 5 สมควรจะเป็นค่ายกลประเภทลม หากทำงานจะปล่อยคมวายุออกมานับไม่ถ้วน”

“แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีอันใดเกิดขึ้น”

“เช่นนั้นก็ซับซ้อนมากขึ้นแล้ว” เหยียนหลิงกลืนน้ำลายก่อนตอบ

ถูกต้อง ซับซ้อนยิ่งขึ้น

ปัญหาหลักในตอนนี้คือค่ายกลไม่ยอมทำงานหากเฟิงอี้กู่อยู่ใกล้มัน แต่หากเป็นเจียงหานเฟิงและคนอื่น ๆ ที่เข้าไป เจ้าค่ายกลก็มีทีท่าจะทำงาน

หากประเมินความแกร่งของเจียงหานเฟิงและคนอื่น ๆ ดูแล้ว ถึงจะมีเกราะ แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจรอดจากการโจมตีจากค่ายกลระดับ 4 ได้ด้วยซ้ำ

หวังโต้วซานหรี่ตามอง “เจ้าแน่ใจนะว่าสิ่งที่ควบคุมค่ายกลทั้งหลายอยู่คือกลไกควบคุมกลาง ไม่ใช่ปรมาจารย์อาร์คาน่าเฒ่าเจ้าเล่ห์ ??”

“ไม่มีใครอยู่ได้เป็นหมื่นปีเช่นนั้นหรอก” หม่าเซวียนตอบ

“เช่นนั้นกลไกนี่ก็คงมีสติปัญญาแล้วกระมัง” หวังโต้วซานเอ่ยขึ้น

ถูกต้อง หากกลไกนั่นสามารถปรับตัวตามสถารการณ์เช่นนี้ได้ มีแต่ต้องคิดว่ามันมีสติปัญญาขึ้นมาแล้วเท่านั้น

“จะมีสติปัญญาหรือไม่ข้าไม่สน คำถามคือแล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อ ?” เฟิงอี้กู่เอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจ ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างค่ายกลนั้น

ซูเฉินพลันเอ่ยขึ้น “ให้ข้าลองดู”

“เจ้าหรือ ?” เฟิงอี้กู่เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ

“ถูกต้อง ให้ข้าลอง !” ซูเฉินตอบเสียงเด็ดขาด “เฟิงอี้กู่ เจ้าถอยไปก่อน เจียงหานเฟิง เหยียนหลิง และหม่าเซวียน พวกเจ้าเข้ามาตรวจสอบใกล้ ๆ ดูข้าจัดการกับค่ายกล บอกวิธีปลดมันให้ข้าฟังแล้วข้าจะลงมือทำเอง”

“เจ้าไม่เคยเข้าใกล้ค่ายกลมาก่อน มันอาจจะทำงานก็เป็นได้” เจียงหานเฟิงตอบ

“เช่นนั้นยิ่งไม่เป็นปัญหา” ซูเฉินตอบ

พูดแล้วเขากก็เปิดใช้เกราะรบเหล็กกล้า จากนั้นใช้ผู้พิทักษ์แห่งเม็กกับร่างตนเอง

ความสามารถในการป้องกันของเขาอาจมีไม่มากเท่าเฟิงอี้กู่ แต่เขาก็แข็งแกร่งกว่าเจียงหานเฟิง และคนอื่น ๆ ดังนั้นถึงแม้ค่ายกลระดับ 5 อาจจะทำให้เขาบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ถึงตาย

ชายหนุ่มมุ่งหน้าเข้าใกล้ค่ายกลไปเรื่อย ๆ “เอาล่ะ บอกมาว่าต้องทำอย่างไร”

เจียงหานเฟิงและคนอื่น ๆ เหลือบมองกัน จากนั้นเอ่ยขึ้น “ค่อย ๆ ปลดปล่อยพลังต้นกำเนิด จากนั้นจับสัมผัสการเคลื่อนไหว เสาะหาจุดกระตุ้น…… ถูกต้อง ช่องว่างตรงนั้นคือจุดกระตุ้นค่ายกล เป็นตัวบอกว่าคมวายุจะถูกซัดออกมาจากทิศทางนั้น หาก เคลื่อนไปไว้ตรงนั้น อย่างน้อยคมวายุเหล่านั้นก็จะไม่ซัดโดนหน้าท่าน จากนั้นหาบ่วงพลังต้นกำเนิด…… ใช่แล้ว เริ่มตัดมันจากตรงนี้…… ไม่……”

ตู้ม !

หินก้อนหนึ่งพลันระเบิดขึ้นตรงหน้าซูเฉิน คมวายุแหลมดั่งคมมีดพุ่งออกมาจากช่องว่างนั้น มันซัดผ่านซูเฉิน ทิ้งรอยเฉือนลึกไว้บนพื้น จากนั้นก็ซัดไปโดนต้นไม้เจ็ดแปดต้นล้มลงก่อนจะหายไป

เคราะห์ดีที่ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือเป็นอย่างดี กระโดดหลบการโจมตีได้ในพลัน มีเพียงซูเฉินที่ถูกคมวายุซัดกระเด็นไป ผู้พิทักษ์แห่งเม็กแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ดังนั้นแรงปะทะบางส่วนจึงกระแทกเข้าร่างซูเฉิน

“ศิษย์พี่ซู !” ทุกคนตะโกน

ซูเฉินถุยเลือดออกมาคำหนึ่งก่อนจะยกมือขึ้น ทำท่าให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่ “พวกเจ้าอย่าเข้ามา ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่ข้าคุมพลังไม่ดีพอ ลงมือต่อเถอะ ค่ายกลต่อไปเล่า ?”

เจียงหานเฟิงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปเบื้องหน้า “ต้นไม้สีเขียวซีดตรงโน้นเป็นค่ายกลประเภทไม้ ท่านควรเตรียมของต้านพิษเอาไว้ด้วย”

ซูเฉินเดินเข้าไปยังค่ายกลนั้น จากนั้นลงมือปลดค่ายกลตามคำบอกเล่าของเจียงหานเฟิงและคนอื่น ๆ

ครั้งนี้เขาไม่ทำพลาดอีก

ไม่นาน ค่ายกลก็ถูกปลดออกสำเร็จ

ชายหนุ่มมุ่งปลดค่ายกลต่อไปเรื่อย ๆ

ซูเฉินพบว่าการปลดการทำงานของค่ายกลนั้นก็คล้ายกับการเกี้ยวสตรี

อย่างแรกต้องหาหนทางกระชับความสัมพันธ์กับเป้าหมายและเข้าใจเป้าหมายก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ คลำหาจุดสวาทของเป้าหมาย เมื่อพบแล้ว หากไม่ลงมือหนักเกินไปจนเกิดเรื่องยุ่งยากก็จะมีโอกาสทำสำเร็จ จากนั้นจึงหาจังหวะทำลายเกราะป้องกันให้หมดไป

แนวความคิดนั้นคล้ายกันมาก เพียงแต่เป็นเป้าหมายที่แตกต่าง

ค่ายกลประเภทไฟ ประเภทสายฟ้า ประเภทลม ประเภทไม้ ประเภทดิน และค่ายกลประเภทอื่น ๆ ก็คล้ายกับเป็นสตรีที่มีนิสัยหลากหลาย ต้องใช้เวลาในการทำความรู้จักก่อนจึงจะสามารถลงมือในขั้นต่อไปได้

ดังนั้นไม่นานซูเฉินจึงได้ลิ้มรสชาติแห่งความสำเร็จ

ความเร็วในการปลดค่ายกลของเขาพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งเขายังไม่จำเป็นต้องได้รับคำชี้แนะจากเจียงหานเฟิงและคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ เพียงชี้ทางให้เล็กน้อย เขาก็รู้ว่าตนเองต้องลงมือทำอย่างไรต่อ

เจียงหานเฟิงและคนอื่น ๆ พึงพอใจกับความสามารถนี้นัก “ศิษย์พี่สามช่างเป็นยอดอัจฉริยะเสียจริง หากท่านยอมใช้เวลาศึกษาหนทางแห่งค่ายกล วันหนึ่งต้องกลายเป็นปรมาจารย์ค่ายกลเป็นแน่”

“การปลดย่อมง่ายกว่าการสร้าง ขอแค่ข้าปลดการทำงานมันได้ข้าก็พอใจแล้ว” ซูเฉินหัวเราะ

พูดจบเขาก็จัดการกับอีกหนึ่งค่ายกลสำเร็จเสร็จสิ้น

เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ทุกคนจึงหาสถานที่ตั้งเพิงพัก พากันพักผ่อนและทำอาหารกิน

เมื่อยามราตรีมาเยือน ทุกคนก็นอนหลับพักผ่อน แต่แม้จะยังมีคนคอยยืนเฝ้ายามอยู่ หากแต่คนอื่น ๆ กลับไม่อาจข่มตาหลับได้ลง

แต่ราตรีนั้นก็ผ่านพ้นไปโดยไร้เหตุการณ์ใด

เช้าวันต่อมา ทุกคนก็เดินทางต่อ ห้องทดลองอันเป็นจุดหมายในการเดินทางดูทั้งใกล้คล้ายจะเอื้อมถึงและไกลสุดขอบฟ้าไปในเวลาเดียวกัน

พลังงานสูญนี้ลึกลับซับซ้อนไม่น้อย การที่ผ่านไปแล้ว 36,000 ปี แต่มันกลับยังทำงานได้อย่างไร้ที่ติเช่นนี้ก็ทำให้ทุกคนตื่นเต้นนักว่าให้ห้องทดลองนั่นจะมีสิ่งใดอยู่บ้าง

พวกเขาเดินทางเช่นนี้ไปอีก 3 วัน c]tด้วยความช่วยเหลือของจี้ลั่วอวี่ ก็ทำให้ทุกคนเข้าใกล้ห้องทดลองนั่นได้ในที่สุด

ระหว่างนั้นพวกเขาถูกอสูรร้ายลอบโจมตีอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยความสามัคคีที่มีในกลุ่มทำให้พวกเขาฝ่าฟันมาได้โดยไร้ผู้ใดบาดเจ็บ

พวกเขาทำการขึ้นเขาต่อไปเรื่อย ไม่นานก็พบว่ายอดเขาอยู่อีกไม่ไกลนัก

สามารถมองเห็นห้องทดลองขนาดใหญ่ได้ชัดเจน

แม้พวกเขาจะเรียกมันว่าห้องทดลอง แต่ที่นี่คล้ายกับปราสาทขนาดใหญ่ที่สร้างบนยอดเขามากกว่า พลังต้นกำเนิดหนาแน่นโอบล้อมปราสาทโบราณแห่งนี้ไว้ แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามออกมา

เดินทางมาจนถึงจุดนี้แล้ว ก็ไม่อาจมีสิ่งใดมาหยุดพวกเขาได้อีกต่อไป ในใจทุกคนมีคิดว่าอีกไม่นานภารกิจก็คงจะสำเร็จเสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี

“ในที่สุดเราก็มาถึง” หวังโต้วซานถอนหายใจโล่งอก “ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าภายในห้องทดลองนั่นมีของดีอันใดอยู่”

“ทุกคน ระวังตัวด้วย” จี้ลั่วอวี่พูดขึ้น “ข้าสัมผัสได้ว่ารอบ ๆ ห้องทดลองมีพลังงานสูญที่มีแรงกดดันมหาศาลอยู่ เราอาจเดินทางเข้าไปเฉย ๆ ไม่ได้”

“แล้วหากเราเดินเข้าไปเฉย ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?” เฮ่ออวิ๋นตงลองถาม

“มันก็จะทำงาน !” จี้ลั่วอวี่ตอบ

ทำงาน ?

ทุกคนมองหน้ากันไปมา

“อะไรจะทำงานหรือ ?”

“หากเราจินตนาการว่าภูเขาลูกนี้เป็นกระดาศแผ่นหนึ่ง ตอนนี้มันก็กำลังเป็นกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนกลม แต่หากเจ้าทำลายความสมดุลของพลังงานสูญไป ก็เปรียบกับเป็นการคลี่กระดาษแผ่นนั้นออก เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ?” จี้ลั่วอวี่ถาม

ชีเว่ยเยี่ยนตอบ “มันก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้น”

“ถูกต้อง” จี้ลั่วอวี่พยักหน้า

“แล้วอย่างไร ?” คนอื่น ๆ ไม่เข้าใจ หากมันใหญ่ขึ้น มันก็ใหญ่ขึ้นเท่านั้น เหตุใดจี้ลั่วอวี่จึงต้องดูเคร่งเครียดเช่นนั้นด้วย ?

ซูเฉินเอ่ย “คงเกิดเรื่องยุ่งไม่น้อยใช่หรือไม่ ?”

จี้ลั่วอวี่หัวเราะ “หากภูเขาพลันทรุดตัวลงคงเป็นเรื่องยุ่งไม่น้อยใช่ไหมเล่า ?”

“ย่อมไม่น้อย” ซูเฉินถอนหายใจ “ที่สำคัญที่สุดคือซากโบราณอาจทนแรงกระเทือนมหาศาลเช่นนี้ได้”

ทุกคนจึงชะงักไปในพลัน ในที่สุดก็เข้าใจว่าจี้ลั่วอวี่กับซูเฉินหมายความว่าอย่างไร

พื้นที่ภายในซากโบราณนั้นมีความไม่เสถียรอยู่ตลอด และหากภูเขาขนาดใหญ่เช่นนี้ถล่มลงมาโดยพลัน พื้นที่พลังงานสูญก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้ยิ่งจำกัดเวลาที่พวกเขามีเหลือในซากโบราณลงไปอีก

“ดูท่าเราจะพุ่งเข้าไปตรง ๆ ไม่ได้” เฮ่ออวิ๋นตงเอ่ยขึ้น “ลั่วอวี่ เจ้าไปกับเว่ยหยาง หานเฟิง และคนอื่น ๆ พยายามหาทางทำลายชั้นแรงดันพลังงานสูญ”

“รับทราบ !” จี้ลั่วอวี่พยักหน้า

“เดี๋ยวก่อน แค่พวกเจ้าก็พอแล้ว เว่ยหยางมีเรื่องให้ต้องจัดการ” ซูเฉินพลันเอ่ยขึ้น

เขาหันไปพยักหน้าให้เว่ยหยางที่เข้าใจคำเป็นอย่างดี จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป

ทุกคนชะงักไปอีกครา ไม่รู้ว่าซูเฉินให้เว่ยหยางมุ่งหน้าไปทางนั้นเพื่อสิ่งใด

เฮ่ออวิ๋นตงหันมองซูเฉิน “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าตอนนี้เราต้องใส่ใจเรื่องทำลายชั้นแรงดันพลังงานสูญนี่เสียก่อน ?”

ซูเฉินหัวเราะ “ข้ารู้ ข้าขอตัวเขาไปไม่นานหรอก ป้องกันไว้ก่อนก็เท่านั้น”

เฮ่ออวิ๋นตงจ้องมองเขานิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดคำใดออกมา

แต่ก่อนเขาเชื่อใจซูเฉิน และตอนนี้เขาก็ยังคงเลือกที่จะเชื่อใจซูเฉินต่อไป

ครึ่งวันต่อมา เว่ยหยางก็กลับมา พยักหน้าให้ซูเฉิน จากนั้นก็เข้ามาช่วยทำลายชั้นแรงดันพลังงานสูญ

ค่ายกลแรงพลังงานสูญนี้ทั้งซับซ้อนและปลดการทำงานได้ยากยิ่ง หากไม่ได้จี้ลั่วอวี่แล้ว คนทั้งสี่ก็คงไม่อาจลงมือปลดค่ายกลได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องคอยระวังทุกขั้นตอน

“อย่างมากก็ใช้เวลาปลดอีกครึ่งวันเท่านั้น !” เจียงหานเฟิงที่ค่อนข้างร่าเริงอยู่ตลอดอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้

แต่ตอนนั้นเอง

ตู้ม !

เสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังขึ้น

ตรงจุดที่เกิดแรงระเบิด เกิดเป็นเปลวเพลิงลุกโชนทั่วผืนป่ารอบบริเวณ ส่งคลื่นพลังรุนแรงออกทั่วทิศ

ต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนถูกเปลวไฟแผดเผา

“เกิดอะไรขึ้น ?” ทุกคนตกอกตกใจ

“ไม่มีอะไรมาก แค่ค่ายกลเพลิงที่ข้าวางไว้เมื่อก่อนหน้าทำงานเฉย ๆ” เว่ยหยางตอบ หันไปมองด้านหลังตน

ค่ายกลเพลิงหรือ ?

เว่ยหยางทำอะไรกันแน่ ?

“ซูเฉินบอกให้เจ้าไปวางค่ายกลไว้หรือ ?” เฮ่ออวิ๋นตงถามขึ้น

“ถูกต้อง !” เว่ยหยางพยักหน้า “3 วันก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่บอกให้ข้าเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสรรพ เตรียมวางค่ายกลนี้ขึ้น ข้าก็คิดว่าศิษย์พี่ซูอาจจะคิดมากไปเอง แต่ดูท่าเขาจะคิดไว้ได้ถูกต้องทุกประการ”

“ใครเป็นคนกระตุ้นมันกัน ?” คนหนึ่งถามขึ้น

“เจ้ายังต้องถามอีกหรือ ?” หวังโต้วซานหัวเราะเสียงเย็น “ก็ต้องเป็นพวกเผ่าคนเถื่อนอยู่แล้ว”

ราวกับจะเป็นเครื่องยืนยันคำกล่าวเมื่อครู่ พริบตานั้นเผ่าคนเถื่อนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ป่าเบื้องล่าง

เผ่าคนเถื่อนที่ควรจะหลงวนเวียนอยู่ในเขาวงกตพลังงานสูญกลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ พวกเขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองอย่างดุร้าย อักขระบนร่างพลันเปล่งแสงขึ้นยามก้าวผ่านเปลวเพลิง จากนั้นก็เปล่งเสียงคำรามลั่น จิตสังหารพวยพุ่ง