ฟังไปฟังมาสีหน้าก็หน่วงอีกครั้ง “หมายความว่า…ไท่จื่อเป็นคนบังมีดให้เจ้า?”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าตอบ ไม่ได้สนใจว่าเขาจะมีอารมณ์ความรู้สึก “หม่อมฉันแปลกใจมาโดยตลอด ฮองเฮามีมีดได้เยี่ยงไรกัน หลังจากนั้นได้ยินมาว่าวันที่สามฮองเฮากลับมาเก็บหลังฐานที่ตำหนักเฟิงจ๋า หลานถิงบอกว่าวันที่สามเสด็จแม่ถูกลงโทษโกนผม ไม่ได้ออกมา แต่ว่าวันนี้ชื่อสยากลับบอกหม่อมฉันว่า เสด็จแม่ไม่ได้ถูกลงโทษโกนผม” พอพูดถึงตรงนี้ เสียงก็เงียบลง
ครู่เดียวเขาก็เข้าใจความหมายของนาง แม้ว่ายังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ แต่ว่าเสด็จแม่ไม่ใช่คนเลวร้าย เยี่ยงไรถึงโกหก หรือว่าวันนั้นเสด็จแม่ส่งคนสนิทไปตำหนักเฟิงจ๋า คิดหาวิธีแอบเจอฮองเฮา? มีดนั้นนางเป็นคนให้ฮองเฮา?
เขารู้สึกได้ว่า นางกำลังบอกความจริงที่ฮองเฮาสวรรคต นางอยากให้ตนรู้ ในใจของเสด็จแม่อาจจะไม่ได้บริสุทธ์เหมือนกับที่เราเห็นกันอยู่
ออกจากวังหลวงตั้งแต่เยาว์วัย ระยะเวลาที่ได้อยู่กับสนมเฮ่อเหลียนนั้นก็นับว่าไม่นาน แต่สำหรับตนแล้วภาพความทรงจำเกี่ยวกับเสด็จแม่นั้น อย่าบอกไม่กล้ากับเจี่ยงฮองเฮาเลย ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับมเหสีรองเหวยนางก็อดทนแล้วอดทนเล่า จนกระทั้งถูกคนอื่นเหยียบหัวนางก็ไม่กล้าต่อต้าน
หรือจริงๆ แล้วเสด็จแม่รู้อยู่แล้วว่าเกาจวิ้นจะไม่กลับเข้ามา จึงสี่งให้เกาจวิ้นจับลูกชายของสวีเทียนขุยไว้เป็นตัวประกัน บังคับให้สวีเทียนขุยยืนยันเหวยเช่าฮุยทั้งยังเขียนสาส์นกราบทูลข้อราชการของขุนนางมเหสีรองเหวยในครั้งนั้น ทำให้เขามองเสด็จแม่เปลี่ยนไป
เพียงแต่ว่าเขาไม่ประหลาดใจเยี่ยงนี้ เพียงแค่เสด็จแม่ถูกบีบบังคับจนจนมุมถึงได้ต่อต้านขึ้นมา
แต่ทว่า….เจี่ยงฮองเฮาหยิ่งยโสเยี่ยงนั้น จะถูกคนยัดมีดใส่ได้หรือ จนสุดท้ายจบชีวิตตนเองได้ ไม่ว่าคนนั้นจะใช้วิธีการขมขู่หรือชักจูงก็ทำให้คนเสี่ยวสันหลังได้
หากว่าคนนั้นเป็นตนคนโหดเหี้ยมอยู่แล้วก็ไม่อะไรแต่ทว่าตอนนี้คนที่น่าสงสัยที่สุดคือเสด็จแม่ที่ไม่ไม่เคยตอบโต้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าเขาเรียบนิ่ง คล้ายกับว่าไม่แปลกใจ จึงเอ่ยต่อ “วันนี้ในวังจับข้านางหลวงที่เป็นคนส่งมีดให้กับฮองเฮาได้แล้ว เดินที่แล้วไม่มีอะไรแต่พอหลังจากไปถามหลานถิง ก็จับข้านางหลวงคนนั้นได้แล้ว พอดีกับที่หม่อมฉันมาตำหนักชุ่ยหมิงได้เจอเสด็จแม่ ท่านพูดคุยอยู่สักพักคล้ายกลับไม่ค่อยยินดีเท่าไรนัก หม่อมฉันเกรงว่า…” หลานถิงกับสนมเอกเฮ่อเหลียนจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ดูเหมือนจะไม่มีอะไร หากมองจากมุมของนางแล้วกลับรู้ว่าแผลเป็นช่างบาดลึกเสียเหลือเกิน เหมือนกับว่ามาสืบข่าวนางโดยเฉพาะ เพื่อบอกนางว่านักโทษตัวจริงถูกจับแล้ว เลิกสืบหาความจริงเสีย
ซย่าโหวซื่อถิงเข้าใจโดยทันที คนที่ส่งมีดถูกจับแล้วนั่นเป็นฉากหน้า คดีจะได้สิ้นสุดเพื่อบังปิดคนบงการที่แท้จริง
ข้านางหลวงคนนี้เป็นเพียงการอำพางเท่านั้น หลังม่านนั้นแปดในสิบคือผู้บงการ ถึงตอนนี้แน่ว่าจะต้องเป็นมารดาแท้ๆ ของเขา
ฉินอ๋องเข้าใจทุกอย่างที่อวิ๋นหว่านชิ่นพูดมาทั้งหมดที่ว่าเสด็จแม่แค้นนาง คงเป็นเพราะเรื่องนี้
เขาส่งสายตาอบอุ่น “เจ้าไม่ควรไปถามหลานถิงตั้งแต่แรกว่าวันที่สามเสด็จแม่ได้ออกมาหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นทราบดี คำที่เขาพูดออกมามิได้จะตำหนิตน แต่เกรงว่าหลังจากนี้ตนกับสนมเอกเฮ่อเหลียนจะไปด้วยกันลำบาก เอ่ย “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ที่ฮองเฮาบอกว่าคนที่ลบสังหารเจ้ามีคนอื่นด้วย ข้าก็คือว่าในวังนี้ยังมีคนที่คาดไม่ถูกอยู่ สงสัยอยู่หลายวัน มองอะไรก็น่าสงสัยไปเสียหมด”
เขายิ้มอ่อน “นางบอกว่านางไม่ใช่คนใส่ยาพิษ เจ้าก็เชื่อแล้วหรือ? เจี่ยงฮองเฮาผู้นี้ทุกเรื่องที่เขาลงมือทำ เพื่อทำให้สตรีของเสด็จพ่อและองค์รัชทยาทผ่านไปได้ยากลำบาก ก่อนสิ้นได้ทิ้งคำพูดนี้ไว้ให้เจ้าไม่สบายใจ ให้ข้าสงสัย คิดมากทำไมกัน”
เขาพูดเยี่ยงนี้มีความคิดเช่นเดียวกับเมี่ยวเอ๋อร์ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่ได้พูดอะไรออกมามาก
ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ ฉินอ๋องเอื่ยมมือจับใบหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยงไร เรื่องมีดนี้ ข้ารับรู้แล้ว เจ้าไม่ต้องเอ่ยเรื่องนี้กับเสด็จแม่แล้ว ต่อให้หลังจากนีเสด็จแม่ถามเจ้า เจ้าก็คุยตามปกติก็พอ” หากว่าเสด็จแม่เป็นคนที่น่าสงสัยคนนั้นจริงๆ เมื่อวานทำร้ายมเหสีรองเหวยและเจี่ยงฮองเฮา พรุ่งนี้ค่อยทำร้ายนาง เกรงว่าจะอดทนไว้ไม่อยู่
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ยิ่งเรื่องของเสด็จแม่นั้นยิ่งไม่พูด แม้ว่าสนมเอกเฮ่อเหลียนจะมีสองหน้าจริง ต่อให้ไม่ทำร้ายตน ไยถึงไปยุ่งกับนาง ทั้งยังไม่ใช่ว่าจะชอบยุ่งเรื่องของชอบบ้าน เพียงแค่ตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการสวรรคตของเจี่ยงฮองเฮา และเหมือนว่าโดนเรงพลักโดยปริยาย ถูกเกี่ยวข้องไปทีละขั้นๆ และก็ไม่มีวิธีใด ทราบที่ไหนกันว่าสนมเฮ่อเหลียนจะใช้วิธีนี้?
นางพยักหน้า “อืม”
นานๆ ทีที่ซย่าโหวซื่อถิงจะเห็นนางเชื่อฟังตน ยิ้ม “อะไรกัน ยังมีคนที่ทำร้ายเจ้าได้อีกหรือ”
“หม่อมฉันเกรงว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ของท่านกับเสด็จแม่ ช่างเถอะ หม่อมฉันไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้แล้ว จะได้ไม่มีใครติฉินนินทาว่าหม่อมฉันเป็นสะใภ้ที่ช่างนินทากาเล” นางจับแขนของเขายกออก ปากเชอรี่ยู่ยี่
ฉินอ๋องเห็นริมฝีปากสีแดงสดของนาง อดไม่ได้ที่จะเชยชิมอีกรอบ ริมฝีปากคล้ายผลเชอรี่ถูกชิมอีกครั้งราวกับลิ้มรสชาติหอมหวานให้ถึงที่สุด
คิดเพียงแค่ว่าหลังจากที่แต่งงานกันแล้วจะเจอนางมากขึ้นและจะคุ้นเคยกันมากขึ้นอีกนิด คิดไม่ถึงว่าหลังจากแต่งงานกันแล้วจะรุนแรงมากกว่าเก่า มองนางเท่าไรก็ไม่พอ ยิ่งเห็นท่าทียิ้มหัวเราะโกรธเคืองไม่พอใจ ท่าทีกระเง้ากระงอดก็ทำให้เลือดในร่างกายเขาสูบฉีด
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาดึงสติกลับมาได้ จับมือของนางอีกครั้ง “ไปกันเถอะ สายแล้ว ตอนนี้เสด็จพ่อเสวยพระกระยาหารเสร็จพอดี”
เสียเวลาไปค่อนวัน แต่ก็ไม่ลืมเรื่องที่ต้องทำ อวิ๋นหว่านชิ่นปลายเท้ายังยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ
ฉินอ๋องมองนางด้วยความสงสัย
สายตาของนางใสดุจน้ำ เปร่งประกายระยิบระยับ แขนทั้งสองคลองคอของเขาไว้ “ทำไมกัน มีชายารองเพิ่มขึ้นมาถวายน้ำชา คอยห่มผ้าให้ไม่ดีหรือเพคะ”
น้ำเสียงของนางหวานดุจสายไหม ปลายน้ำเสียงที่ทิ้งไว้ทำให้เขาติดใจ ติดอยู่ในใจดึงก็ไม่ออก
สูดลมหายใจ ในหัวมึนงง
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นลูกกระเดือกสั่นไหว เอ่ยด้วยเขาน้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยด้วยความเสียใจ “อย่ามาล้อข้าเล่น ไม่เยี่ยงนั้นข้าอาจจะอดใจรอเจ้าพ้นโทษในวันพรุ่งนี้ไม่ไหว…”
ชายผู้นี้ ในหัวไม่มีเรื่องอื่นแล้วหรือไร
ใบหน้านางร้อนผ่าว ผลักอกเขาออกเพื่อจะได้ไม่โดนประกายไฟบนตัวเขา “เสด็จแม่พูดถูก ช่วงนี้ท่านไม่สามารถขออะไรได้”
“เจ้าพูดจริงหรือ” สีหน้าของเขาเริ่มไม่สู้ดีนัก ราวกับคนที่ต้องการพระสนมคือนางไม่ใช่ตน
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า “พระประสงค์ของฝ่าบาทเป็นเช่นนั้น ท่านไปขอร้องตอนนี้ไม่ใช่ว่าทำลายพระราชโองการของฝ่าบาทหรอกหรือ ตอนนี้ท่านเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทน เรื่องแบบนี้ท่านรู้ดีว่าผิด อีกอย่างเรื่องการสววรคตของเจี่ยงฮองเฮา ฝ่าบาทเองก็ยังทำใจไม่ได้ คืนนั้นตากลมไปไหว้เพียงลำพัง กลับมาพระชวรจนลุกไม่ขึ้น หม่อมฉันได้ยินที่จิ้งกูกูบอกว่าสถานการณ์แย่กว่าเมื่อก่อนอีก ยามที่พระสนมม่อปรนนิบัติ บางครั้งฝ่าบาททรงฝันแล้วเอ่ยชื่อของฮองเฮา ตอนนี้กำลังเป็นที่ลมปากแหลมคม[1] ยามที่ฝ่าบาทเสียใจที่สุดท่านยังเข้าไปเติมไฟ เอ่ยเรื่องอภิเษกขึ้นมา ฝ่าบาทไม่เพียงแต่จะไม่พอใจ แต่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ ตอนนี้ตำแหน่งของท่านสูงศักดิ์ ง่ายต่อเป้าที่ประชาชนทั่วไปโจมตี คนอื่นกำลังจับตามองท่านอยู่ หากท่านถูกลงโทษ ไม่ใช้เรื่องเล็กนะเพคะ หม่อมฉันและคนทั้งจวนอาจจะโดยลูกหลงไปด้วย”
[1] ลมปากแหลมคม เปรียบว่า การวิพากณ์วิจารณ์ของผู้คนอย่างโหดร้าย