แดนนิรมิตเทพ บทที่ 472
ผู้อาวุโสคนนี้แข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้แล้ว แทบจะสามารถเทียบได้กับพ่อบ้านของตระกูลมู่หรง อย่างนั้นแล้วเจ้านายเบื้องหลังของเขาก็ต้องแข็งแกร่งกว่าเขามากสิ!

สีหน้าของมู่หรงเค่อที่ผ่อนคลายลงแล้ว ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นกังวลใจทันที สายตาจับจ้องประตู ภายในใจรู้สึกมีลางสังหรณ์

ลุงสุ่ยและคุณชิวเองก็มองหน้าประตูอย่างระมัดระวังตัว ในสายตามีความตกตะลึง

อานเข่อเยว่ และพวกเจิ้งหยวนฮ่าวเองต่างก็มองไปที่ประตู มองประตูเงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ทั่วทั้งห้องโถง มีเฉินโม่เพียงคนเดียวที่ยังนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ และหลับตาบำรุงจิตอยู่เหมือนเดิม เหมือนดั่งว่าทุกอย่างในโลกมนุษย์แห่งนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับเขา

ชายอายุประมาณสามสิบปีคนหนึ่ง เดินเข้ามาช้าๆ เขาสวมใส่เสื้อสู้สีขาว ร่างกายสูงตรงสมบูรณ์ หน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดา

เขาเดินเข้ามาทีละก้าว ช้ามาก แต่ก็นิ่งมากเช่นกัน ทุกก้าวเหมือนเหยียบลงบนหัวใจของทุกคนจนสั่นสะเทือน

ไอพลังความเย็น แผ่เข้ามาพร้อมกับชายคนนั้น ทั่วทั้งห้องโถงเหมือนมีกลิ่นคาวเลือดเต็มห้องทันที

เมื่อเขาเดินไปถึงตรงหน้าของผู้อาวุโสคนนั้น ทุกคนถึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่าบนใบหน้าของเขามีรอยแผล ยาวตั้งแต่ตาซ้ายจนถึงคาง ถึงแม้ว่าจะเป็นรอยแผลเป็นไปนานแล้ว แต่ก็ยังสามารถดูออกได้ว่ารอยฟันในครั้งนั้นสาหัสมากเพียงใด

ผู้อาวุโสคนนั้นโค้งตัวทำความเคารพอย่างนอบน้อม “คุณท่านครับ ข้าน้อยอ่อนหัด ทำให้ท่านต้องขายหน้า ขอคุณท่านลงโทษด้วยครับ!”

ชายคนนั้นยื่นมือพยุงผู้อาวุโสไว้ สีหน้านิ่งเฉย “ลำบากคุณแล้ว!”

จากนั้น สายตาของเขา มองข้ามลุงสุ่ยและคุณชิว จับจ้องหยุดที่ตัวมู่หรงเค่อ

ในอากาศเหมือนมีกระแสไฟฟ้าผ่าน มู่หรงเค่อผู้ทรงอิทธิพลในเขตเจียงหนานมีความรู้สึกตกใจกลัว แล้วรีบหลบสายตา เหมือนว่าไม่กล้าสบตากับเขา

มู่หรงเค่อผวาในใจ “นี่มันสายตาของคนอย่างนั้นหรอ? ฉันรู้สึกเหมือนเผชิญหน้าอยู่กับปีศาจร้ายเลย!”

“มู่หรงเค่อ ยังจำฉันได้ไหม?” ชายคนนั้นเอ่ยปากนิ่งๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำ ฟังไม่ออกว่ารู้สึกอะไรอยู่

มู่หรงเค่อพยายามนึกคิด แต่ก็ยังจำไม่ได้ว่าคนคนนี้คือใคร?

“นายเป็นใคร?” มู่หรงเค่อถามเสียงเข้ม

“ลืมกันเร็วขนาดนี้เชียว แล้วนายยังจำรอยแผลบนใบหน้านี้ของฉันได้มั้ย? ถ้าหากว่าดาบในวันนั้นของนายเอียงกว่านี้อีกหน่อย วันนี้ฉันก็คงไม่ได้ยืนอยู่ที่ตรงนี้แล้วละ!” น้ำเสียงของชายหนุ่มเหมือนมีความเศร้า แต่ก็เหมือนกำลังดีใจ

มู่หรงเค่อถามอย่างไม่มั่นใจว่า “นายคือลูกชายของเหรินป้าเทียน เหรินเทียนหยู่?”

เหรินเทียนหยู่ยิ้ม “ดูแล้วนายคงยังไม่ลืม คิดไม่ถึงว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ละสิ!”

มู่หรงเค่อสีหน้าประหลาดใจ “คิดไม่ถึงจริงๆ นายรอดชีวิตมาได้ยังไงกัน?”

“มู่หรงเค่อ คนเรามีทางออกเสมอ!การกระทำทุกอย่างของนาย แม้แต่พระเจ้ายังทนดูไม่ได้ ดังนั้นพระเจ้าจึงไว้ชีวิตฉัน เพื่อให้ฉันมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับวิญญาณสิบกว่าชีวิตของสมาคมซานเหอ!” เหรินเทียนหยู่อ้าแขนทั้งสองข้าง มองขึ้นท้องฟ้า สีหน้าเคร่งศาสนา

มู่หรงเค่อยิ้มเยาะ “เศษซากจากสมาคมซานเหอ หลายสิบปีก่อนปล่อยให้นายหนีรอดไปได้ นายไม่ซ่อนตัวพยายามรักษาชีวิตไว้ แต่กลับมารนหาที่ตายถึงที่ด้วยตัวเอง ครั้งนี้นายไม่ได้โชคดีอย่างนั้นอีกแล้วละ!”

เหรินเทียนหยู่ยิ้มอย่างประหลาด “โชคดี? โชคของฉันดีมาตลอด เพียงแต่โชคชะตาของตระกูลมู่หรง คงจะได้จบลงตอนนี้แล้วละ!”

เหรินเทียนหยู่ถลึงตาโต บนใบหน้าปรากฏเจตนาฆ่า เงยหน้าขึ้น เสียงดังก้องกังวาน

“มู่หรงเค่อ หลายสิบปีก่อน แก๊งชิงของนายทำลายสมาคมซานเหอของฉัน ทำลายล้างตระกูลเหรินของฉัน วันนี้ ฉันจงใจเลือกลงมือในวันงานเลี้ยงฉลองวันเกิดอายุสิบแปดปีของลูกสาวนาย ใช้เลือดตระกูลมู่หรงของแก มาสักการะครอบครัวของฉันที่อยู่บนสวรรค์!”