บทที่ 108.6 ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้า (6)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ชั่วขณะที่เคลื่อนกายผ่านกัน แทบที่จะไม่มีใครได้ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติ จู่ๆ สถานการณ์ตรงหน้าก็พลิกผันอีกครั้งโดยไม่คาดฝัน

มุมปากฉู่อี้เจี่ยนกระตุกยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น บีบฉู่ฉีเฟิงให้ถอยโดยถลาไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ

ฮ่องเต้นั้นดีใจจนลืมตัว เมื่อครู่เห็นว่าเขาถูกควบคุมตัวไว้ได้แล้วจึงพุ่งตัวเข้ามาแทบไม่สนใจอะไร ยามนี้มาคิดจะถอยกลับก็ช้าไปเสียแล้ว

องครักษ์คนที่อยู่ใกล้ด้านหลังเขามากที่สุดเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบถลาเข้ามา

ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มเย็น ก่อนจะปล่อยลูกธนูออกมาทันที

องครักษ์ผู้นั้นหลบไม่ทัน ครู่ต่อมาก็ร้องเสียงหลง ยกมือกุมที่อกก่อนจะล้มตึงลงไป

ฉู่อี้เจี่ยนดึงตัวฮ่องเต้เข้ามา ใบหน้านั้นทั้งเยือกเย็นและเด็ดเดี่ยว

“รีบอารักขาฝ่าบาท! ปล่อยฝ่าบาทมาเดี๋ยวนี้!” พวกองครักษ์ตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก

ฉู่อี้เจี่ยนกลับกักตัวเขาเอาไว้

หน้าไม้เล็กๆ ที่มัดติดกับแขนของเขายังคงมีลูกดอกอาบยาพิษลูกสุดท้ายอยู่ในนั้น ปลายแหลมของมันชี้ไปที่เส้นเลือดใหญ่ข้างลำคอของฮ่องเต้

ไม่จำเป็นต้องให้เขาเอ่ยมากความ พวกองครักษ์ต่างก็ตั้งท่ารับมือไม่เสี่ยงเข้าไปใกล้อย่างรู้งาน

ลูกดอกอาบยาพิษบนแขนของเขาขยับไปใกล้ลำคอฮ่องเต้มากขึ้นไปอีก ทำให้ฮ่องเต้ไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกมาเพราะกลัวว่าถ้าหากขยับปากแม้แต่นิดเดียว ก็จะถูกลูกดอกนั้นแทงเข้าที่ผิว

ฉู่ฉีเฟิงที่อยู่ด้านหลังรีบถือดาบไล่ตามมา ใบหน้ายังคงเผยท่าทีเย็นเยียบอย่างถึงที่สุดเช่นนั้น

ฉู่อี้เจี่ยนมองเขา เวลานี้กลับรู้สึกซับซ้อนในใจเป็นอย่างมาก…

หากจะกล่าวว่าฉู่ฉีเฟิงช่วยเขา สร้างโอกาสให้เขาคว้าตัวฉู่เป้ยเป็นการตอบแทนบุญคุณที่เขาเคยช่วยเหลือไว้ จุดนี้เขาเข้าใจได้ แต่หากจะพินิจให้ลึกลงไป…

การที่ฉู่ฉีเฟิงให้โอกาสเช่นนี้กับเขา กลับเห็นได้ชัดว่าต้องการที่จะยืมมือเขามากำจัดฉู่เป้ย

หากฉู่ฉีเฟิงลงมือก็จะถูกผู้คนประนามได้

แต่หากเปลี่ยนเป็นฉู่อี้เจี่ยน เดิมทีก็เป็นคนที่อย่างไรก็สมควรต้องตายอยู่แล้ว เขาจึงยอมรับน้ำใจนี้ของอีกฝ่ายไว้…

ให้เขาลงมือฆ่าฉู่เป้ยด้วยตนเอง ช่างเป็นน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เสียจริง

ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ กระนั้นก็ไร้คำที่จะพูด

“ไม่ต้องเอาคำพูดสัจธรรมอะไรนั่นมาพูดให้ตัวเองดูดีอีกแล้ว ปล่อยให้ท่านอยู่มานานขนาดนี้ก็นับว่าสวรรค์หูตาฝ้าฟางมามากพอแล้ว อย่างไรวันนี้ข้าก็จะพาท่านลงไปขอขมาบรรพบุรุษสกุลฉู่ที่ปรโลกให้ได้!” ฉู่อี้เจี่ยนถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าว

ร่างของฮ่องเต้นั้นแข็งทื่อ ภายในเสื้อล้วนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อตั้งนานแล้ว จนมาถึงเวลานี้ก็ทำได้แต่เพียงก้มหน้ารับชะตากรรมเท่านั้น

เขากัดฟันแน่นอย่างไม่ยินดี แม้จะตายก็ไม่ยอมปิดตาลง

กระนั้นในช่วงเวลาที่อับจนหนทาง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวตะโกนเสียงแหลมออกมาจากฝูงชนด้านนอก

“พี่ห้า!” ฉู่ซินรุ่ยกระโดดลงมาจากรถม้าที่จอดอยู่ทางมุมนั้น

นางมีท่าทีตื่นตระหนก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตอนที่กระโดดสู่พื้นก็เกือบจะหัวทิ่มอยู่รอมร่อ ดีที่เฉินซื่อที่อยู่ด้านข้างพยุงเอาไว้ก่อน

ฉู่อี้เจี่ยนได้ยินเสียงนาง ก็ชะงักไปชั่วขณะ จนเมื่อได้เงยหน้าเห็นนาง หน้าก็เปลี่ยนสีอย่างทันที

ฉู่ซินรุ่ยซุ่มดูอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งแล้ว เพียงแต่หาโอกาสที่เหมาะสมจะสอดมือมาช่วยไม่ได้ เนื่องจากสถานการณ์ที่นี่วุ่นวายเกินไป ทุกคนก็ล้วนพุ่งความสนใจไปที่ฮ่องเต้และฉู่อี้เจี่ยนจึงไม่มีใครทันได้สังเกตนาง

ฉู่อี้เจี่ยนคิดจะเลือกวิธีอย่างสุดโต่ง เวลานี้นางจึงไม่อาจอยู่เฉยๆ ได้อีก

“พี่ห้า ท่านอย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ นะ!” ฉู่ซินรุ่ยตะโกนเสียงดังอย่างแตกตื่น แม้จะถูกสาวใช้พยุงไว้ทั้งซ้ายทั้งขวาแต่ก็ยังคงตัวสั่นโงนเงนอยู่ดี

นางกลับเลือกผลักมือสาวใช้ออก เดินโซซัดโซเซปรี่เข้าไปหาฉู่อี้เจี่ยนแทน

ใบหน้าของฉู่อี้เจี่ยนดูเย็นชาและแข็งทื่อ ไม่ปริปากพูดอันใด กระนั้นก็ใช้แววตาที่ขมุกขมัวอย่างหนึ่งจ้องเขม็งไปที่นาง

ฉู่ซินรุ่ยคล้ายกับจะถูกฉากการต่อสู้ที่นี่ทำให้เกิดความหวาดกลัว แม้ว่าเส้นทางที่เดินมาจะไม่ไกลมาก แต่นางทำราวกลับหมดเรี่ยวหมดแรงเสียอย่างนั้น ฝีเท้าเหยียบพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดเมื่อระยะห่างกับฉู่อี้เจี่ยนประมาณสามจั้งก็หยุดเดินลง ก่อนจะคุกเข่าลงไปอย่างดื้อๆ

ในตอนที่ทุกคนมองเห็นนางได้ชัด ก็พบว่าใบหน้าของนางล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา

“พี่ห้า นี่ท่านกำลังจะทำอะไร? รีบปล่อยฮ่องเต้เถิด อย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เป็นอันขาด!” ฉู่ซินรุ่ยกล่าว มองพี่ชายที่ถูกองครักษ์รายล้อมด้วยความหวาดหวั่น

“ใครเรียกให้เจ้ามา?” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้หัวใจ ทั้งไม่มีความรู้สึกสงสารแม้แต่น้อย

แววตาที่เขาก้มมองดูฉู่ซินลุ่ยคล้ายกับมองดูมดเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น กล่าวอย่างโมโห “ไสหัวกลับไปซะ เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!”

“พี่ห้า!” ฉู่ซินรุ่ยตกตะลึง คล้ายกับถูกท่าทีเช่นนี้ของเขาทำให้ตกใจ

นางตะลึงงันไปชั่วครู่ คล้อยหลัง จู่ๆ ก็ตัวสั่นสะท้าน คลานขึ้นไปด้านหน้าทั้งส่ายหน้ากล่าว “ข้าไม่ไป ข้าไม่อาจทนมองท่านทำเรื่องโง่ๆ ได้ ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นอะไรไป ไม่รู้ว่ามีผู้ใดเป่าหูท่านให้เข้าใจผิดฮ่องเต้หรือไม่? ท่านรีบปล่อยฮ่องเต้เถิดนะ มีเรื่องอะไรค่อยพูดกันดีๆ ท่านทำเช่นนี้ กะจะไม่มีใจให้ท่านพ่อและพี่น้องของพวกเรามีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”

“การที่ได้เกิดในสกุลฉู่ก็คือชีวิตของพวกเจ้าแล้ว!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว ยังคงไม่รู้สึกใดใดแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าถอนหายใจอย่างโศกเศร้า ก่อนจะประกายสายตาเย็นเยียบขึ้นมาอีกครั้ง “นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับเจ้าคนระยำนี้เท่านั้น เจ้าอย่ามายุ่ง หากเจ้ากลัวจะติดร่างแห…หรือเรื่องวันนี้อาจจะทำให้เจ้าติดร่างแหไปด้วย ข้าก็จะทำอย่างนี้ต่อไป หรือเจ้ายังมองไม่ออก? ในเมื่อวันนี้ข้าก้าวมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ไม่คิดตัดสินใจจะถอยหลังกลับ หากเจ้าไม่อยากจะตายไปด้วยกันที่นี่ก็ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ซะ!”

ฉู่ซินรุ่ยเผยใบหน้าตกใจทั้งยังมึนงง มองเขาอย่างประหลาดใจ ผ่านไปสักพักจึงค่อยกล่าวเสียงต่ำ “พี่ห้า นี่ท่านกำลังพูดอะไรอยู่? ฝ่าบาทเป็นลุงของพวกเรา เป็นญาติพี่น้องของพวกเรา นี่เท่ากับเนรคุณนะ ท่านรีบยั้งมือเถิด!”

“ญาติพี่น้อง!” ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มเย็น “ข้าไม่มีญาติพี่น้องที่โหดเหี้ยมเยี่ยงสุนัขและไร้ความเมตตาเช่นนี้ ญาติพี่น้องของข้า ตั้งแต่สิบเก้าปีก่อนก็ตายไปหมดแล้ว ล้วนแต่ถูกคนผู้นี้สังหาร อย่างไรวันนี้ข้าก็จะฆ่าเขา เพื่อล้างแค้นให้กับญาติพี่น้องที่ตายไปของข้า!”

ขณะที่ฉู่อี้เจี่ยนพูด ก็เตรียมที่จะขยับสลักบนแขน

“พี่ห้า!” ฉู่ซินรุ่ยหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ตะโกนเสียงดังอย่างทำอะไรไม่ถูก “แล้วข้าและท่านพ่อไม่ใช่ญาติพี่น้องของท่านหรอกหรือ? ข้าไม่รู้ว่าในใจท่านคิดอย่างไร หรือท่านกำลังพูดคำโง่ๆ อะไรอยู่? แต่ย่อมต้องมีคนเจตนาร้ายกล่าวอะไรให้ท่านเข้าใจฝ่าบาทผิดแน่นอน หากฝ่าบาททำเรื่องผิดต่อสกุลฉู่ของพวกเราตั้งแต่ต้นจริงๆ เหตุใดท่านพ่อจึงได้ติดตามเขา เคารพเขาโดยไม่คิดเสียใจอะไรมาหลายปีขนาดนี้ล่ะ? หรือแม้ว่าใจท่านจะเคียดแค้นอย่างไร ทำไมท่านไม่คิดถึงท่านพ่อบ้าง? ตอนนี้ท่านพ่อสลบยังไม่ฟื้น ไม่อาจมองเห็นเรื่องที่ท่านทำ หากมีวันหนึ่ง เขาฟื้นขึ้นมา…ท่านกลับทำเรื่องเช่นนี้ไปแล้ว ท่านก็ตั้งใจจะทำให้เขารู้สึกลำบากใจใช่หรือไม่? ถึงเวลานั้นเขาจะยังมีหน้าอยู่บนโลกนี้ได้อีกอย่างนั้นรึ?”

————————————————-