บทที่ 108.7 ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้า (7)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

น้ำเสียงของฉู่ซินรุ่ยฟังดูสะเทือนใจ ทั้งนี้เพราะหวั่นกลัวในน้ำเสียงนั้นจึงสั่นเครือ

นางยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนใจ

นางตามมาเพราะต้องการอะไร ฉู่อี้เจี่ยนนั้นรู้ดี จึงแสร้งเล่นละครไปกับนางอย่างจนใจ แต่ก็ยังหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่ฉู่ซินรุ่ยพูด ก็ดึงตัวเองขึ้นมาอย่างทุลักทุเล หันกลับไปโบกมือให้พวกเฉินซื่อด้านหลัง “ไปเอารถม้ามา!”

“ขอรับ!” เฉินซื่อรับคำสั่ง รีบไปนำรถม้ามา

ฉู่ซินรุ่ยพาสองขาสั่นเทาขึ้นไปบนรถม้า ก่อนจะเปิดประตูออก

อีกฝั่งหนึ่งด้านในรถ ปรากฏร่างที่ราวกับไร้วิญญาณของชายชราหลับตาพิงพนัก…

เป็นรุ่ยชินอ๋องที่สลบไสลไม่ได้สติ!

ฉู่ฉีเฟิงมองพี่น้องทั้งสองแสดงละครอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเรียบเย็นมาโดยตลอด เวลานี้แววตานั้นได้มีประกายเย้ยหยันเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ฉวยโอกาสยามที่ความสนใจของผู้คนพุ่งไปที่ฉู่ซินรุ่ย เขาจึงรีบถลาไปด้านข้าง ก้มลงไปมองฉู่อี้อันที่ถูกพิษ ก่อนจะกล่าวกับเฉินเกิงเหนียน “ท่านพ่อข้าเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นอันตรายอันใดหรือไม่?”

“ดีที่องค์รัชทายาทสกัดจุดตัวเองได้ทันท่วงที พิษจึงไม่ได้ซึมเข้าไปใกล้กับจุดชีพจร แต่อย่างไรพิษของมันก็ยังร้ายแรง บ่าวเพิ่งจะฝังเข็มให้เขา กระนั้นก็ทำได้เพียงควบคุมพิษไม่ให้แพร่กระจายชั่วครู่เท่านั้น แต่หากว่าต้องการจะถอนพิษ…เกรงว่ามีเพียงจะต้องไปตามเจ้าหนูเหยียนหลิงมาเท่านั้นแล้วขอรับ!” เฉินเกิงเหนียนกล่าว แม้น้ำเสียงจะเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ได้ตึงเครียดจนเกินไป

เมื่อได้ยินว่ายามนี้ฉู่อี้อันยังไม่เป็นอันใดมาก ฉู่ฉีเฟิงก็คลายใจลงได้บ้าง

มีฮ่องเต้อยู่ที่นี่ด้วย เขาไม่อาจจะแสดงความห่วงใยเกินหน้าเกินตาไปได้ เวลานี้ก็ละตัวจากฉู่อี้อันโดยไม่ได้เรียกให้คนมาเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด หยัดกายขึ้นก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไปสองก้าว

ทางฉู่อี้เจี่ยนที่เห็นฉู่ซินรุ่ยนำตัวฉู่ซิ่นออกมา ชั่วขณะนั้นในใจ…

ก็รู้สึกน่าขันเป็นที่สุด

เขารู้ดีว่าฉู่ซินรุ่ยวางแผนจะทำสิ่งใด ความคิดของนางนั้นไม่เลว แต่มันผิดพลาดที่ว่า ฉู่ฉีเฟิงได้ล่วงรู้ความลับบางอย่างเข้าให้แล้ว

ยามนี้พวกเขากลับนำละครฉากนี้มาแสดงต่อหน้าฉู่ฉีเฟิง?

คล้ายกับเป็นตัวร้ายที่น่าขำขันก็มิปาน

ฉู่อี้เจี่ยนเผยใบหน้าดุดันขึ้นมา ดูบิดเบี้ยวเป็นอย่างมาก

ทว่าฉู่ซินรุ่ยกลับไม่รับรู้ถึงจุดนี้เสียอย่างนั้น ถลากลับไปด้านข้างรถม้า ก่อนจะคุกเข่าลงมาทางเขาอีกครั้ง พูดเกลี้ยกล่อมอย่างไม่ยอมถอดใจ “พี่ห้า ท่านมองท่านพ่อสิ อย่างไรก็ขอให้คิดเผื่อเขาหน่อย เชื่อข้าเถิด ท่านหยุดเสียเถิดนะ มีอะไรเข้าใจผิดไป พวกเราก็ค่อยๆ มาชี้แจงแถลงไขกันดีหรือไม่?”

ใจของฉู่อี้เจี่ยนในเวลานี้กลับดำมืดอย่างถึงที่สุด

แม้จะรู้ชัดแจ้งว่าจุดจบถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ยืดเวลาเช่นนี้อีกต่อไป เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยมากอยู่ดี

“ข้ารู้ดีว่าข้ากำลังทำสิ่งใดอยู่ ในเมื่อท่านพ่อหลับไม่รู้อะไร เช่นนั้นก็ดี เขาจะได้ไม่ต้องตื่นมารับรู้ว่าชั่วชีวิตของเขานี้ ได้หลงผิดเชื่ออสูรกายในร่างมนุษย์เช่นนี้ รั้งแต่จะทำให้เขาเจ็บปวดเสียเปล่า” ฉู่อี้เจี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะที่พูดก็ขึ้นสลักของหน้าไม้นั้น

“ท่านยังจะโง่งมอยู่อย่างนี้รึ?” ฉู่ซินรุ่ยกล่าวเสียงดังอย่างลนลาน ขณะที่พูดก็หมุนตัวขึ้นมา ดึงดาบคู่กายของเฉินซื่อออกไปจากเอวเขา เคลื่อนไปจ่อบนคอของฉู่ซิ่น

“ท่านหญิง นี่ท่านกำลังจะทำอะไร?” ผู้คนทั้งหมดต่างก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อกับการกระทำของนาง

ฉู่ซินรุ่ยกัดฟันแน่น มือนั้นคล้ายกับจะรับน้ำหนักของดาบไม่ไหวอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะหวาดกลัวขนาดไหน มือของนางก็สั่นอยู่รางๆ เท่านั้น

“พี่ห้า หากท่านยังดึงดันไม่ยอมกลับใจ เช่นนั้น…เช่นนั้น…” มือของฉู่ซินรุ่ยสั่นไหว น้ำเสียงก็สั่นเครือเช่นกัน แม้แต่แววตาก็ดูวูบไหวอย่างสุดจะรับได้ มีแต่เพียงใบหน้าเท่านั้นที่พยายามเผยความเด็ดเดี่ยวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนออกมา พลางกล่าวด้วยเสียงดัง “เช่นนั้นข้าก็จะสังหารท่านพ่อ เพื่อไม่ให้วันหลังที่เขาตื่นขึ้นมา จะไม่ต้องมาผิดหวังเสียใจกับเรื่องที่ท่านทำผิดไปในวันนี้อีก แทนที่จะให้เป็นเช่นนี้ มิสู้ให้ครอบครัวของพวกเราตายอย่างบริสุทธิ์เสียทั้งหมดดีกว่า”

คำพูดนี้ของนาง ซาบซึ้งกินใจเป็นอย่างยิ่งทั้งแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและยึดมั่นในศักดิ์ศรี

องครักษ์ในวังจำนวนมากที่มองอยู่นั้นล้วนแต่พากันชะงักลมหายใจ

แม้แต่องครักษ์พวกนั้นของฉู่อี้เจี่ยนถึงกับเสียอาการ ลองหยั่งเชิงตะโกนออกมา “ท่านชาย!”

ฮ่องเต้มองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตรงหน้าด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง

เขาแทบจะไม่มีใจจะไปคิดอีกแล้วว่าแท้จริงฉู่ซินรุ่ยนั้นรู้เห็นเป็นใจกับฉู่อี้เจี่ยนหรือไม่ เพราะแค่จากเรื่องที่ฉู่อี้เจี่ยนทำกับเขาในวันนี้ เขาก็ไม่คิดจะปล่อยคนของจวนรุ่ยชินอ๋องไปได้แม้แต่คนเดียว

ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ต้องหาโอกาสกำจัดเจ้าเภทภัยพวกนี้!

ฮ่องเต้นั้นวางแผนขบคิดอยู่ในใจ

ฉู่อี้เจี่ยนในเวลานี้กลับรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

เขาไม่อาจเอ่ยปากออกไปให้ฉู่ซินรุ่ยยั้งมือ แต่หากเป็นแบบนี้ต่อไป…

เขาก็มองไม่เห็นโอกาสและความหวังอะไรแล้ว

คล้ายกับจะมองออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ฉู่ฉีเฟิงจึงก้าวไปด้านหน้า เผชิญหน้ากับฉู่ซินรุ่ยที่อยู่ไกลๆ ทั้งกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น “แท้จริงแล้วท่านหญิงฉางหนิงมาเพื่อปกป้องฝ่าบาท หรือมาช่วยพี่ชายท่านกันแน่?”

ฉู่ซินรุ่ยฟังจบก็ตกตะลึง ดวงตาที่แฝงไปด้วยความพร้อมนั้นเบนมองไปทางเขา

ฉู่ฉีเฟิงยกมือไพล่หลัง ใบหน้านั้นยังคงราบเรียบไร้ซึ่งความรู้สึก เพียงกล่าวพูดทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน “ถึงขนาดแบกคนมาที่นี่ เพื่อที่จะให้ฝ่าบาทเข้าใจท่านว่าแม้จะเป็นญาติมิตร แต่หากทำเรื่องที่ผิดอย่างไรก็ต้องจัดการอย่างนั้นรึ? อยากที่จะข่มขู่ท่านชายเจี่ยน? ข้อต่อรองนี้ของท่าน เกรงว่าจะยังไม่มากพอที่จะทำให้ท่านชายเปลี่ยนใจได้น่ะสิ!”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่น เปี่ยมไปด้วยพลัง

แม้ว่าฉู่ซินรุ่ยจะยังจับจุดของอีกฝ่ายไม่ได้ แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ คล้ายกับจะสังหรณ์ใจได้ว่าอาจจะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดบางอย่างเกิดขึ้น

ทางด้านฉู่อี้เจี่ยนกลับลอบถอดหายใจ ค่อยๆ เบนสายตาออกไป

ฉู่ฉีเฟิงสาวเท้ามาด้านหน้ามองคนในรถม้า ก่อนจะกล่าวต่อ “หรือพี่ชายท่านจะไม่เคยบอกท่านเลย ว่าสิบปีมานี้คนที่พวกท่านนับถือว่าเป็นพ่อ เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดที่เขาควบคุมในมือเท่านั้น? เขาไม่เคยพูดกับท่านหรือ ว่าในช่วงเวลาสิบปีมานี้ เรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับจวนรุ่ยชินอ๋อง ได้อยู่ในกำมือเขาตั้งนานแล้ว? เขาไม่ได้บอกท่านหรอกหรือ ว่าเรื่องที่เขาทุ่มเททั้งร่างกายแรงใจวางแผนจะทำในวันนี้ เดิมทีก็ไม่ได้เตรียมที่จะถอยหลังกลับอีกแล้ว?”

ฉู่ซิ่นตายไปตั้งนานแล้ว เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างฉู่อี้เจี่ยนและฉู่ซินรุ่ยสองพี่น้อง

และคนที่สามที่รู้เรื่องนี้…

ก็คือมารดาของฉู่ซินรุ่ย ฮูหยินแซ่หลิวที่ฉู่ซิ่นแต่งเข้ามาภายหลัง

ฉู่ซินรุ่ยคิดว่าพวกเขาปกปิดความลับของเรื่องนี้ได้อย่างไร้ที่ติมาโดยตลอด ดังนั้นเวลานี้คิดจะใช้ประโยชน์จากมันจึงไม่ได้มีความกังวลใจอันใด

ขณะนี้กลับมาถูกฉู่ฉีเฟิงเปิดเผยออกมาอย่างกะทันหัน ฉู่ซินรุ่ยจึงตกใจจนนิ่งงันไป

ในขณะเดียวกัน ปฏิกิริยาของผู้คนในเหตุการณ์กลับเห็นได้ชัดกว่าทำท่าคล้ายกับเจอผีก็มิปาน ใช้สายตาแปลกๆ ทั้งเต็มไปด้วยความสงสัยทอดมองระหว่างสองพี่น้องนั้นไปมา

ดวงตาฮ่องเต้กลับเบิกตากว้างในชั่วขณะ เกือบที่จะหลุดกล่าวประโยคหนึ่งออกไป ทว่าก็ยังกลัวลูกดอกแหลมที่ชี้ข้างลำคอของเขาจึงไม่กล้าขยับ

“เจ้า…เจ้าพูดจาเหลวไหล!” พยายามฝืนสงบอาการตื่นตกใจไว้ ฉู่ซินรุ่ยก็ตะเบ็งเสียงแย้ง

“ข้าจะพูดจาเหลวไหลไปทำไม? ข้าพูดไปแล้วจะมีประโยชน์อันใดต่อข้า?” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่งเช่นเคย ขณะที่พูดก็ตบมือสองครั้งเบาๆ “พาตัวเข้ามา!”

ตั้งแต่ที่ฉู่สวินหยางเปิดเผยเรื่องการควบคุมหุ่นเชิดของเขาครั้งนั้น ในใจของฉู่อี้เจี่ยนก็ได้วางแผนที่เลวร้ายอย่างถึงที่สุดเอาไว้แล้ว

———————————————————-