ตอนที่ 1497 ยันต์เกราะเอก

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

วิหคที่อยู่กลางอากาศกลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่ง กระพือปีกทั้งสอง พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง ความเร็วรวดเร็วดุจสายฟ้า

 

 

แต่ในร่างกายของหานลี่ที่แปลงกายเป็นวิหคนั้นพลันมีคาถาขับเคลื่อนโคจรไปมาอย่างบ้าคลั่ง ใช้จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งห่อหุ้มผนึกที่แข็งแกร่งของสี่ราชันย์ปีศาจเอาไว้

 

 

ทว่าผนึกราชันย์ปีศาจเหล่านี้ช่างแข็งแกร่งนัก ถึงแม้ว่าเขาจะสำแดงคาถาขับเคลื่อนออกมาสองสามครั้ง และในเวลาเดียวกันก็ยังอาศัยพลังการแปลงกายของวิหค แต่ก็ผนึกมันได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เดาว่ามากสุดหนึ่งวันหนึ่งคืนผนึกนี้ก็จะทลายผนึกออกมาได้อีกครั้ง

 

 

หานลี่ทำเช่นนี้แน่นอนว่าเพราะจะอยากให้ลิ่วจู๋และเหล่าราชันย์ปีศาจคิดว่าเขาเพลี้ยงพล้ำไปแล้ว เพื่อจะได้ดำเนินแผนต่อไปได้สะดวก

 

 

สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือพยายามช่วยหยวนเหยาและพวกทั้งสองคนออกมาจากแม่เฒ่าภูต จากนั้นก็ตามหาสถานที่ที่มีไอทมิฬหนาแน่น ให้สตรีทั้งสองกำจัดผนึกของเขาทิ้ง เช่นนั้นเขาถึงจะนับว่ากำจัดปัญหาในใจไปได้

 

 

ภายใต้สถานการณ์ปกติแน่นอนว่าหานลี่ยอมไม่อาจทำเรื่องนี้ได้ ทว่ามีอสูรอเวจีอัสนีคอยคุ้มครอง แน่นอนว่าย่อมไม่เหมือนกัน

 

 

คำนวณเวลาที่เขายื้อให้เหล่าราชันย์ปีศาจ ก็ไม่นับว่านานนัก พวกเขาน่าจะเข้าไปยังสิ่งที่เรียกว่า ‘บ่อเทวะ’ ไม่นานนัก ต่อให้รู้ว่าอสูรตัวนี้กลับไปแล้ว จากการให้ความสำคัญต่อเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจีของพวกเขา ก็ไม่มีทางล้มเลิกสิ่งที่ก่อนหน้าแล้วถอยกลับอย่างร้อนรนแน่

 

 

ส่วนอสูรอเวจีอัสนีที่ถูกกักเอาไว้ในยันต์เก้าวังสวรรค์ ก็กลับไปยังรังของมันโดยความโกรธเกรี้ยว น่าจะไปหาเหล่าราชันย์ปีศาจพอดี

 

 

ถึงคราที่กำลังเกิดภัยพิบัตินั้น ขอแค่เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับลิ่วจู๋ มู่ชิงและพวกตัวต่อตัว ก็มีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะช่วยหยวนเหยาและพวกทั้งสองออกมาได้

 

 

หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็วในใจ ร่างที่แปลงเป็นวิหคพุ่งตรงกลับไปยังทางที่มาด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า

 

 

มองเห็นเขาเข้าไปในเทือกเขาสีเทาอีกครั้ง ฉับพลันนั้นเสียงอึกทึกก็ดังออกมาจากร่างของวิหค

 

 

ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่วิหคพลันกลายร่างเป็นมนุษย์

 

 

หานลี่สะบัดแขนเสื้อ แผ่นป้ายหยกสีขาวแผ่นหนุ่งพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็ร่อนลงในมือ

 

 

บนแผ่นป้ายหยกสลักรูปเก้าวิหารขนาดใหญ่เอาไว้ แต่ครานี้กลับแตกออกเป็นริ้วๆ จากตรงใจกลาง

 

 

หานลี่หน้าเปลี่ยนสี มองไทปางด้านหลังตามความรู้สึกแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็เก็บแผ่นป้ายหยกเข้าไป

 

 

อีกมือหนึ่งปัดไปบนกำไลเก็บของ ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ยันต์สีม่วงที่มีอักขระลึกลับแผ่นหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลางปรากฎขึ้นในมือ

 

 

นั่นก็คือยันต์ชำระพิสุทธิ์!

 

 

หานลี่ไม่ได้ลังเลนัก มือหนึ่งปัดไปเบื้องหน้า ทันใดนั้นก็คลายนิ้วออก

 

 

ยันต์สีม่วงระเบิดออก อักขระสีเงินสองสามตัวปรากฎออกมา บินวนล้อมรอบหานลี่

 

 

หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นเบาๆ อักขระนี้ก็กลายเป็นหมอกสีเงิน ชั่วพริบตาก็กลืนกินร่างของเขาเข้าไปข้างใน

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่หมอกสีเงินก็สลายหายไป ที่เดิมไร้ซึ่งผู้คน

 

 

ร่างของหานลี่กลายเป็นภาพมายา และกำลังร่อนลงด้านล่าง สุดท้ายก็ซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังกลางอากาศไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

 

 

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร ขอบฟ้าก็มีเสียงฟ้าร้องดังแว่วมา

 

 

หลังจากนั้นไม่นานท้องฟ้าก็มีอัสนีสว่างวาบ อสูรอเวจีอัสนีที่มีประจุไฟฟ้าห่อหุ้มร่าง บินแฉลบผ่านไปในบริเวณนั้น ไม่รู้สึกถึงหานลี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาด้านล่างเลยสักนิด

 

 

หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ประจุไฟฟ้าสีเงินก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยที่ปลายฟ้า

 

 

หานลี่แววตาเปล่งประกาย ยังคงรักษาสภาวะการหายตัวเอาไว้ รออยู่ใต้ต้นไม้ไม่ขยับเขยื้อน

 

 

หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ หานลี่ก็ดูเหมือนจะรู้สึกว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว ถึงได้ยักไหล่ ลำแสงสีเงินสว่างวาบ ร่างกายค่อยๆ ปรากฎออกมา

 

 

อักขระสีเงินบินออกมาจากในร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง รวมตัวกันกลายเป็นยันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งกลางอากาศ พลางปลิวไสวร่อนลงมาอย่างแผ่วเบา

 

 

หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักออกไป ยันต์สีม่วงกลายเป็นลำแสงสีม่วงสายหนึ่งจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ .

 

 

จากนั้นบนร่างของเขาพลันมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งไปยังขอบฟ้าอีกครั้ง ดูจากทิศทางแล้วคือเส้นทางเดียวกันกับที่อสูรอเวจีอัสนีบินไป!

 

 

ไม่นานนัก หานลี่ก็กลับมายังม่านลำแสงสีดำที่เดิม

 

 

เมื่อลำแสงหลีกหนีของเขาหม่นแสงลง ลอยอยู่กลางอากาศพลางกวาดตามองไปด้านล่าง พลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

 

 

เห็นเพียงด้านล่างมีกลิ่นไหม้เกรียมลอยขึ้นมา ซากภูตมากมายจนนับไม่ได้กองอยู่เต็มพื้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีดำสนิท ท่าทางเหมือนถูกอัสนีกวาดผ่านไป รอบด้านมีพายุทมิฬหมุนวน ระลอกคลื่นของเขตอาคมอันแข็งแกร่งยังคงหลงเหลืออยู่ ดูเหมือนว่าเพิ่งจะวางได้ครึ่งหนึ่งก็ถูกคนฝืนทลายออกไปอย่างไรอย่างนั้น

 

 

หานลี่มีสีตกตะลึงฉายแวบผ่าน ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมาสองสามส่วน

 

 

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้ว่า มีกลุ่มหุ่นเชิดเกราะโลหิตอยู่ด้านหลัง ส่วนหลังจากที่อสูรวิญญาณครวญกลืนกินภูตหญิงชุดขาวไปแล้ว ภูตเหล่านี้ที่ไม่รู้ว่าอสูรอเวจีอัสนีกลับมาอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ขณะที่ไม่ทันได้หลบหลีก แน่นอนว่าย่อมถูกอสูรที่กำลังโกรธเกรี้ยว ใช้อัสนีจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดใส่จนกลายเป็นผุยผง

 

 

หากหุ่นเชิดเกราะโลหิตรู้ว่าเครื่องมือสังหารที่ทิ้งเอาไว้ด้านนอกถูกกวาดไปจนเกลี้ยง แน่นอนว่าย่อมต้องโกรธจนเนื้อเต้น หากภูตหญิงชุดขาวยังอยู่แล้วใช้ยันต์หมื่นลี้รายงานมาก่อน ภูตเหล่านี้ก็คงหลบอสูรอเวจีอัสนี แล้วกลับไปวางเขตอาคมกันต่อ เขาทำให้ภูตระดับสูงคนหนึ่งจับตาดูร่องรอยของหานลี่และอสูรอเวจีอัสนีเอาไว้ แต่เดิมก็เพราะเจตนานี้

 

 

แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากลับถูกหานลี่ทำลายลง

 

 

หานลี่หมุนวนอยู่กลางอากาศต่ำๆ รอบหนึ่ง ไม่พบภูตที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าทั้งหมดถูกอสูรอเวจีอัสนีสังหาร หรือว่าภูตที่ยังรอดชีวิตอยู่หนีเตลิดไปแล้วกันแน่

 

 

หานลี่ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้นัก เมื่อหางคิ้วกระตุกก็หยุดร่างกายลงอีกครั้ง สายตาตกไปอยู่ตรงทางเดินที่มีเปล่งแสงสีฟ้าระยิบระยับ

 

 

หานลี่ลูบใต้คางพลางครุ่นคิด

 

 

แต่หลังจากที่แววตาเปล่งประกาย ก็สะบัดแขนเสื้อ ยันต์สีเงินเป็นตั้งๆ บินออกมาจากร่าง อักขระกระพริบวาบ ยันต์เก้าวังสวรรค์ชุดหนึ่งปรากฎขึ้น

 

 

เพราะว่าหลอมได้ไม่ง่าย หานลี่จึงหลอมยันต์ชนิดนี้เอาไว้แค่สองชุด ชุดแรกใช้ไปแล้ว แน่นอนว่านี่จึงเป็นยันต์เก้าวังสวรรค์ชุดสุดท้ายแล้ว

 

 

สองมือของหานลี่พลันร่ายอาคมไทปางยันต์เหล่านี้

 

 

ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎออกมา

 

 

ภายใต้การกระตุ้นของหานลี่ ยันต์สีเงินทยอยกันพุ่งไปยังทางเข้า แต่บรรยากาศรอบๆ กลับสลายหายไป

 

 

ดูเหมือนว่าจะถูกหานลี่สำแดงเคล็ดวิชาอะไรสักอย่าง อำพรางยันต์ชุดนี้เอาไว้

 

 

หานลี่เก็บมือที่ร่ายอาคม แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบพลางพิจารณาจุดที่ซ่อนอยู่ในยันต์เหล่านี้ แล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

 

 

จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พลิกฝ่ามืออีกครั้ง ยันต์สีเงินอีกสองแผ่นปรากฎออกมา

 

 

แต่แค่ยันต์เหล่านี้กลับแตกต่างกันกับยันต์เก้าวังสวรรค์ก่อนหน้า ด้านบนไม่มีอักขระอะไรกระพริบวาบๆ อยู่ กลับแยกออกเป็นเงาร่างคนจางๆ สายหนึ่งสลักอยู่ วังทั้งห้าล้วนลางเลือน เรือนกายสวมชุดเกราะสีทอง

 

 

เงาร่างคนบนยันต์สีเงินแผ่นหนึ่งถือปืนยาวสีทองด้ามหนึ่งเอาไว้ อีกแผ่นหนึ่งกลับถือมีดเอาไว้ด้วยมือทั้งสองมือ

 

 

สิ่งที่แปลกก็คือเงาร่างคนสองสายพลิ้วไหวอยู่บนแผ่นยันต์ บางครั้งก็โบกสะบัดมีดอาวุธในมือ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

 

 

หลังจากที่ยันต์แผ่นนี้เปล่งประกาย หานลี่ก็ประกบพวกมันเข้าในมือทั้งสองอ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินพลันเปล่งประกายสว่างวาบ เงาลวงตาสีทองทั้งสองสายพลันพุ่งออกไปในทันที หลังจากนั้นพลันหมุนวนอยู่รอบๆ แล้วทยอยกันพุ่งไปหาพื้นดินราวกับสายรุ้ง

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะจมหายเข้าไปในพื้นดิน เงาร่างของหานลี่จึงสะท้อนกับพื้นดิน

 

 

ถึงแม้ว่าหานลี่จะลอยตัวอยู่กลางอากาศไม่สูงนัก แต่เงาที่สะท้อนกับพื้นดินกลับลางเลือนจนหาที่เปรียบมิได้ แต่เช่นนั้นเงาลวงตาสีทองของยันต์สองสายก็จมหายเข้าไป หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที

 

 

นี่คือยันต์อีกชนิดหนึ่งจากหน้ากระดาษที่ฉีกขาดที่หานลี่เขียนขึ้น ‘ยันต์เกราะเอก’

 

 

ยันต์ชนิดนี้เขาเองก็เคยหลอมสำเร็จแค่สามใบ เมื่อครู่ใช้ไปแล้วสองใบ เห็นได้ชัดว่าเป็นการให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากฃ

 

 

นั่นก็ไม่แปลกสิ่งที่อยู่ในม่านลำแสงสีดำ ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับหลอมร่างขึ้นไป ทุกตนไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต่อกรด้วยได้ เตรียมตัวเอาไว้มากหน่อยก็ดีกว่าเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้น

 

 

หานลี่ที่สำแดงยันต์เกราะเอกออกมายังไม่ได้โบกมือ ก็อ้าปากออกพ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา หมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศ กลายเป็นวิหคเพลิงกลืนวิญญาณที่ตัวใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

จากนั้นหานลี่พลันชูมือขึ้น ไข่มุกอัสนีสีเขียวสิบกว่าเม็ดพุ่งออกมา ถูกวิหคเพลิงสีเงินอ้าปากกลืนลงไปในท้องทั้งหมด

 

 

ทันใดนั้นวิหคเพลิงตัวนี้ก็หมุนวน และทะลวงเข้าไปยังต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง หายวับไปอย่างไร้เงา

 

 

หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หลังจากได้สติแล้วมือหนึ่งก็ขยับ หว่างนิ้วมียันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งปรากฎขึ้น พลิ้วไหวเล็กน้อย ร่างกายหายวับไปท่ามกลางกลุ่มหมอก

 

 

หานลี่มองทางเข้าสีฟ้าที่ดูเหมือนแหล่งที่เต็มไปด้วยอันตราย พลางเข้าไปอย่างเงียบเชียบ

 

 

เมื่อม่านลำแสงสีดำปรากฎขึ้น หานลี่พลันกวาดสายตาไป แล้วอดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้

 

 

รอบด้านเป็นสีดำสนิท ช่างมืดมนนัก

 

 

มีเพียงจุดที่ไกลบ้างใกล้บ้างที่มีก้อนหินสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบเรืองๆ ทำให้หานลี่เกือบจะคิดว่าตนเองกลับไปยังเหวพสุธาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ทว่าจากเนตรวิญญาณของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจสิ่งเหล่านี้

 

 

ภายใต้สายตาที่หรี่เล็กลงของหานลี่ จึงมองเห็นทุกอย่างในบริเวณรอบได้อย่างชัดเจน

 

 

รอบๆ ดูเหมือนว่าจะรกร้างมาก บนพื้นดินนอกจากก้อนหินน้อยใหญ่แตกต่างกันไปแล้ว ก็ไม่มีทัศนียภาพใดๆ อีก

 

 

แม้กระทั่งมองไกลๆ ออกไป ต้นไม้สูงใหญ่สักตนก็ยังไม่ปรากฎอยู่ในสายตา บางครั้งก็มีต้นหญ้าขึ้นอยู่เล็กน้อย แต่ก็เป็นแค่กอเตี้ยๆ เท่านั้น

 

 

หานลี่สูดลมหายใจเข้าสองสามเฮือก สัมผัสได้ถึงไอวิญญาณที่หนาแน่นในบริเวณรอบ แล้วพลันรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ลึกๆ ไม่ได้

 

 

ทว่าเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่ทางเข้านานัก ร่างกายบินตรงออกไปข้างหน้า

 

 

แม้จะไม่รู้ว่าบ่อเทวะที่เรียกนี้คือสิ่งใด แต่โดยปกติแล้วไปตรวจสอบตรงใจกลางของเขตอาคมก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิด

 

 

แม้ว่าจะเป็นร่างล่องหน แต่จากความเร็วของหานลี่ก็ยังคงไม่เชื่องช้า ระยะทางสิบกว่าลี้ก็มาถึงได้ในชั่วพริบตา

 

 

ผลคือดวงตาทั้งสองของหานลี่เปล่งประกาย ท่ามกลางความมืดมิดสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนวิหารปรากฎขึ้น

 

 

สิ่งปลูกสร้างนี้ไม่นับว่าสูงใหญ่นัก มีขนาดแค่ยี่สิบสามสิบจั้งเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นดูแล้วยังใช้ก้อนหินธรรมดาๆ หยาบๆ สร้างขึ้น แต่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขามาถูกที่แล้ว

 

 

ทันใดนั้นหานลี่พลันร่ายอาคม บินไปยังวิหารนั้นอย่างรวดเร็ว

 

 

ทางเข้าของวิหารเป็นประตูวิหารสี่เหลี่ยมสูงสิบจั้งเศษ ประตุหินสีดำบานหนึ่งเปิดออกมาสู่ภายนอก

 

 

หานลี่กวาดสายตาไปในบริเวณของประตูใหญ่ตามความรู้สึก ฉับพลันนั้นแววตาพลันฉายแววประหลาดใจ ร่างกายหยุดลง

 

 

ทั้งสองฝั่งของประตูหินบานนั้นมีไอทมิฬที่แข็งแกร่งอยู่ ดูเหมือนว่าจะมีภูตระดับสูงสองตนซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น

 

 

หานลี่พลันรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่เมื่อคิดอีกที ภูตที่อยู่ตรงทางเข้าถูกสังหารไปนับพันตน ก็เข้าใจขึ้นมาในทันที