ตอนที่ 1498 เกษียรเทวะแม่น้ำอเวจี

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ทว่าหานลี่ไม่หวังว่าปัจจัยที่คาดไม่ถึงจะกระทบต่อแผนการของตนเอง ทันใดนั้นจิตสังหารพลันผุดขึ้นมา จิตสัมผัสกวักเรียกแหวนอสูรวิญญาณ

 

 

หลังจากเสียงวิญญาณครวญดังขึ้น ลำแสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งออกไปจากท้องฟ้า กระโจนไปด้านข้างประตูวิหาร ส่วนหานลี่พลันร่างกายพลิ้วไหว ร่างล่องหนปรากฎขึ้น แล้วกระโจนไปที่อีกด้านหนึ่ง

 

 

“เอ๋”

 

 

“ผู้ใด?”

 

 

เสียงร้องอุทานสองเสียงดังออกมาจากด้านของประตูวิหาร

 

 

พายุทมิฬก่อตัวขึ้นไปกลาง โครงกระดูกยักษ์สองหัวตนหนึ่งปรากฎขึ้น

 

 

อีกด้านหนึ่งมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งแผ่ออกมา ผีดิบดวงตาสีแดงโลหิตขนสีขาวตัวหนึ่งปรากฎกายออกมา แผ่นหลังของผีดิบมีปีกสีเขียวคู่หนึ่ง กลิ่นคาวโชยออกมา

 

 

ลำแสงสีดำสว่างวาบ วานรยักษ์ตัวหนึ่งปรากฎกายขึ้น จมูกใหญ่ๆ แค่นเสียงหึออกมาโดยไม่ได้กล่าวอะไร พ่นลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งออกมา ม้วนไปทางโครงกระดูกยักษ์สองหัว

 

 

ปากของโครงกระดูกเปล่งเสียงหัวเราะประหลาดๆ ออกมา แขนสองข้างแค่เลือนราง เงากรงเล็บจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้น เสียง “กึกๆ” ดังขึ้น

 

 

เห็นได้ชัดว่าภูตระดับสูงตนนี้เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของร่างกายตัวเองมาก คาดไม่ถึงว่าจะอยากใช้กำปั้นเปล่าๆ ฉีกลำแสงดูดวิญญาณ แต่ก็ไม่เหมือนกับภูตหญิงชุดขาวในตอนแรกที่ถอยร่นออกไปไกลด้วยความตกตะลึง

 

 

ผลคือเมื่อทั้งสองสัมผัสกัน เงากรงเล็บโครงกระดูกที่หนาแน่นสลายหายไปในทันที ม่านลำแสงกวาดไป กลับห่อหุ้มกรงเล็บโครงกระดูกคู่หนึ่งเอาไว้

 

 

ลำแสงสว่างวาบ โครงกระดูกสองหัวร้องคร่ำครวญออกมา แต่เดิมกรงเล็บโครงกระดูกที่ควรจะแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าคู่หนึ่ง กลับกลายเป็นไอสีดำในชั่วพริบตา

 

 

ภายใต้ความตกตะลึงของโครงกระดูก ร่างกายที่กำลังลนลานขยับกายพุ่งถอยหลังไป แต่กลับสายไปเสียแล้ว

 

 

ลำแสงสีเหลืองสว่างวาบ ม้วนเอาโครงกระดูกทั้งร่างเข้าไปข้างใน

 

 

ร่างโครงกระดูกขาวและกรงเล็บคู่นั้นหมุนติ้วๆ ม่านลำแสงกลายเป็นไอสีดำหนาๆ เช่นกัน ถูกอสูรวิญญาณครวญดูดเข้าไปในปาก

 

 

อสูรตัวนี้ร้องคำรามออกมาอย่างมีความสุข หันหน้าไปมองหานลี่

 

 

ก็มองเห็นหานลี่ลอยอยู่เหนือศีรษะของผีดิบขนสีขาวอย่างพอดิบพอดี มือหนึ่งชี้นิ้วไปยังภูเขาเทวะดูดปราณสูงสิบจั้งเศษ กดภูตเอาไว้ใต้ร่าง

 

 

ส่วนเงาลวงตาของเกราะสงครามสีทองของทั้งสองกำลังดึงทวนสีทองและดาบยาวสองเล่มออกมาจากแผ่นหลังของผีดิบ ผิวของทวนมีประจุไฟฟ้าสีทองกระพริบระยิบระยับ ทะลุผ่านหัวใจของผีดิบ ทำให้บริเวณรอบของปากแผลไหม้เกรียม ส่วนดาบยาวสองเล่มนั้นเมื่อชักออกจากแผ่นหลังของผีดิบ ลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ปีกสีเขียวที่มีกลิ่นเหม็นคาวคู่นั้นกลายเป็นผลึกน้ำแข็งแวววาว ท่าทางถูกแช่แข็ง

 

 

หานลี่ไม่ได้ปล่อยให้เงาหุ่นเชิดสองตนได้ลงมืออีก ก็สังหารภูตตนนี้ แล้วกวักมือเรียกอสูรวิญญาณครวญที่อยู่ไกลออกไป

 

 

อสูรวิญญาณครวญพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เข้าใจเจตนาของหานลี่ ฉับพลันนั้นร่างกายก็เคลื่อนไหวกระโดดขึ้นลงสองสามครั้งมาหาหานลี่

 

 

ในจมูกปล่อยม่านลำแสงออกมาอีกครั้ง ทำให้ผีดิบตัวนี้กลายเป็นไอทมิฬทั้งยังเป็นๆ แล้วดูดเข้าไปในปาก

 

 

อสูรตัวนี้กัดปาก ใช้สองแขนออกแรงทุบอกด้วยความตื่นเต้นดีใจ

 

 

ภูตสามตนนี้ล้วนเป็นวิญญาณโหดเ**้ยมที่ฝึกตบะมาหลายปีในแม่น้ำอเวจี แน่นอนว่าย่อมเป็นการชดเชยที่ยิ่งใหญ่สำหรับวิญญาณครวญ

 

 

หานลี่ยิ้มน้อยๆ ความคิดเคลื่อนไหว ฉับพลันนั้นพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หลังจากพิจารณาอสูรวิญญาณครวญขึ้นลงสองสามครั้ง ทันใดนั้นก็ออกคำสั่งกับอสูรวิญญาณครวญสองสามคำ

 

 

หลังจากที่อสูรวิญญาณครวญฟังพร้อมกับเบิกตากว้าง ก็พยักหน้ารัวๆ หลังจากนั้นก็ตีลังกากลับหลังครึ่งหนึ่ง ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นอสูรประหลาดสี่ขาที่มีสายฟ้าไหลเวียนผ่าน มีเขางอกอยู่บนหัวเขาหนึ่ง

 

 

เห็นได้ชัดว่าคืออสูรอเวจีอัสนีที่ก่อนหน้านี้เกือบจะกลืนหานลี่ลงไปตัวนั้น แต่แค่ร่างกายเล็กลงเท่าหนึ่ง!

 

 

หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา กวักมือเรียกอสูรวิญญาณครวญที่กลายเป็นอสูรอเวจีอัสนี อสูรตัวนี้หดเล็กลงจนมีขนาดสองสามชุ่นทันที พลางพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อ

 

 

หยิบยันต์ชำระพิสุทธิ์ออกมาตบลงไปบนร่าง หลังจากนั้นร่างกายของหานลี่พลันล่องหนไปอีกครั้ง พลางบินเข้าไปในประตูวิหาร

 

 

วิหารสร้างขึ้นจากวิหารหลักและวิหารข้าง หานลี่จึงตรงเข้าไปยังวิหารใหญ่

 

 

ในวิหารช่างสะอาดสะอ้านเป็นพิเศษ นอกจากเสาหินหนาๆ สิบกว่าต้นแล้ว ก็มีแต่ความว่างเปล่า

 

 

หานลี่ไม่ได้สนใจสิ่งนี้เลยสักนิด สายตาล้วนถูกหลุมขนาดใหญ่แผ่ลำแสงสีขาวออกมาตรงกลางวิหารดึงดูดเอาไว้

 

 

เข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง และหยุดอยู่ตรงขอบ ยืดตัวออกไปมองด้านล่างแวบหนึ่ง แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี

 

 

คิดไม่ถึงว่าหลุมหลุมนี้จะลาดเอียงลงไปด้านล่าง ผนังทั้งสี่เป็นทรงกลมและยิ่งไปกว่านั้นยังเรียบลื่นเป็นพิเศษ ไม่มีขั้นบันไดอะไรสักอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นมองไปปราดเดียว ก็เห็นลำแสงสีขาวอ่อนๆ ด้านล่าง แต่กลับมองไม่เห็นก้นหลุม

 

 

หานลี่ขบคิด ร่างกายพลันเคลื่อนไหว โถมตัวเข้าไปในหลุม ร่างกายค่อยๆ ร่อนลงไปด้านล่าง

 

 

หลุมนี้ลึกมาก ลงมาทีพันจั้งเศษในอึดใจเดียว แต่ก็ยังไม่ถึงก้นบ่อ แต่มีพายุเย็นยะเยือกพัดโชยมาจากด้านล่าง เห็นได้ชัดว่าด้านในมีแดนวายุอะไรสักอย่าง

 

 

หลังจากร่อนลงมาอีกสองสามร้อยจั้ง หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ในหูมีเสียงฟ้าผ่าและเสียงคำรามของอสูรดังแว่วมาเป็นระลอกๆ บางครั้งก็มีเสียงสั่นสะเทือนปะปนมาด้วย ทำให้กำแพงหินรอบด้านสั่นคลอนไปมาไม่หยุด 

 

 

หานลี่ใจหายวาบลดระดับความเร็วลง เริ่มแผ่จิตสัมผัสลงไปด้านล่าง

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ด้านล่างก็มีลำแสงสีขาวเปล่งแสงเจิดจ้า มาถึงทางออกแล้ว

 

 

หลังจากที่กวาดจิตสัมผัสไป และไม่พบสิ่งใดซ่อนอยู่ด้านล่าง

 

 

ก็ทำให้หาลี่สบายใจ และร่อนลงไปบนพื้นอย่างเงียบเชียบ กวาดสายตามองรอบๆ อย่างรวดเร็ว

 

 

ที่นี่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นวิหารยักษ์แห่งหนึ่ง พื้นที่กว้างขวางกว่าวิหารด้านบนหลายเท่า แต่ระดับความวิจิตรงดงามเมื่อเทียบกับด้านบนแล้วช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

 

 

บนพื้นไม่เพียงมีหยกขาวที่วิจิตรงดงามเป็นอย่างมากเรียงรายอยู่ รอบด้านและส่วนยอดมีผลึกศิลาขนาดเท่าปากชามเป้นเม็ดๆ ฝังอยู่ ผลึกศิลาเหล่านี้เปล่งแสงสีขาวอ่อนโยน สะท้อนไปทั่วทั้งวิหารจนดูวิจิตรตระการตรา ไอวิญญาณรอบๆ หนาแน่นกว่าด้านบน ต้นหญ้าและหมู่มวลบุปผาหลากสีสันงอกออกมาจากแปลงดอกไม้เล็กๆ ทั้งสองฝั่งของวิหาร ทุกต้นล้วนมีสีสันสดใส แผ่ไอวิญญาณอ่อนๆ ออกมา ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่มากี่หมื่นปีแล้ว

 

 

หานลี่มองแล้วกลับขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็ละสายตาออกมาอย่างไม่สนใจ

 

 

จากพลังการมองเห็นของเขา แน่นอนว่ามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่ในแปลงดอกไม้เหล่านี้ล้ำค่ามาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นไม้ประดับ ที่มีมูลค่าจริงๆ กลับมีอยู่เพียงไม่กี่ต้น

 

 

ทว่าสายตาของหานลี่มองทัศนียภาพในวิหารไปได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าอีกครั้งหนึ่งในครานี้ล้วนถูกหมอกโลหิตหนาๆ และประจุไฟฟ้าที่กระพริบวาบอย่างบ้าคลั่งห่อหุ้มเอาไว้

 

 

กลางอากาศต่ำๆ ในวิหาร หมอกโลหิตและสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบตัดสลับกันไปมา หมุนวนแล้วระเบิดออกไม่หยุด ทำให้ทั้งสองเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่ไม่ถูกกันอย่างไรอย่างนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าพลังของประจุไฟฟ้าเหนือกว่าหมอกโลหิต หากไม่ใช่เพราะพายุทมิฬในหมอกโลหิตและเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาช่วยประสานกัน เกรงว่าหมอกโลหิตคงพ่ายแพ้ไม่อาจต้านทานได้ตั้งนานแล้ว

 

 

แต่เช่นนั้นประจุไฟฟ้าสีเงินพลันสร้างลูกบอลอัสนีขนาดเท่ากำปั้นเป็นลูกๆ ออกมาท่ามกลางเสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย สาดซัดไปรอบด้าน แล้วทยอยกันระเบิดออกทำให้หมอกโลหิตสลายหายไป ท่าทางเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

 

 

ในหมอกโลหิตช่างเงียบเชียบ ไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยสักนิด แต่น่าจะเป็นสิ่งที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยและพวกร่วมมือกัน ส่วนสายฟ้าที่ทะลักเข้ามาตรงข้าม กลับมีอสูรประหลาดเขาเดี่ยวสองตัวปรากฎขึ้นลางๆ และคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่หยุด คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่ามีอสูรอเวจีอัสนีสองตัวกำลังควบคุมพลังอัสนีโจมตีมาไม่หยุดอีกครั้ง

 

 

มิน่าล่ะ เหล่าราชันย์ปีศาจร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้

 

 

หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ หลังจากมองการต่อสู้อยู่ชั่วครู่ สายตาพลันกวาดไปด้านล่าง รูม่านตาพลันหดเล็กลง

 

 

ด้านล่างฉากการต่อสู้มีบ่อน้ำสีเขียวมรกตขนาดสองสามจั้งปรากฎขึ้น ในบ่อน้ำมีหมอกสีขาวหมุนวน เต็มไปด้วยไอวิญญาณ มีลำแสงสีโลหิตชั้นหนึ่งอยู่ลางๆ

 

 

“นี่คือเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจี?” หานลี่ขบคิดในใจอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่บ่อน้ำนี้นานนานนัก พลันมองหารายละเอียดอื่นๆ อยู่รอบด้าน

 

 

ผลคือดวงตาทั้งสองข้างของเขาพลันเป็นประกายในทันที ตรงมุมด้านข้างที่รกร้างของวิหารอีกด้านหนึ่งของสนามการต่อสู้ มองเห็นหยวนเหยาและเหยียนลี่ยืนแข็งทื่อไม่ขยับอยู่ตรงนั้น

 

 

ใบหน้าของสตรีทั้งสองแข็งทื่อ เหมือนว่าไม่แยแสการต่อสู้ที่ดุเดือดซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปเลยแม้แต่น้อย

 

 

หานลี่เคยเห็นสภาพที่สตรีทั้งสองถูกลงอาคมมาแล้ว แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าสติสัมปชัญญะของพวกนางยังคงอยู่ แค่ร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้ หากเป็นอาคมชนิดนี้ เขาก็มั่นใจว่าจะคลายผนึกอาคมลงได้อยู่สองสามส่วน

 

 

มองดูสนามการต่อสู้อันอึกทึกที่ขวางทางอยู่แวบหนึ่ง หานลี่ฝืนระงับความดีอกดีใจเอาไว้ แล้วพิจารณาจุดอื่นๆ ของวิหารอย่างระมัดระวัง

 

 

หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ด้านนอกม่านลำแสงสีดำรวมทั้งทางเข้าวิหารมรภูตตนอื่นๆ ปรากฏตัวอยู่ ที่นี่จะต้องมีภูตระดับสูงตนอื่นๆ แอบเข้ามาแน่ เขาไม่อยากถูกนกกระจอกเหลืองรออยู่เบื้องหลัง![1]

 

 

หากยังไม่พบภูตที่แอบเข้ามา ก็จะไม่มีทางลงมือง่ายๆ

 

 

แผ่จิตสัมผัสออกไปอย่างเงียบเชียบ แต่เมื่อกวาดไปทุกแห่งแล้ว นอกจากสนามการต่อสู้ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

 

 

หานลี่พลันขมวดคิ้วแน่น หลังจากที่ความคิดเคลื่อนไหว สายตาก็เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบแล้วหายวับไป

 

 

ในสถานที่ที่อันตรายมากเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าใช้เนตรวิญญาณเต็มอัตรา ทำได้เพียงใช้พลังปราณที่น้อยที่สุดควบคุมจิตสัมผัสกวาดไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ผลคือในที่สุดก็พบแล้ว

 

 

อีกมุมหนึ่งของวิหารตรงจุดที่ห่างจากสนามการต่อสู้มากที่สุด มีไอสีเขียวอ่อนสายหนึ่งปรากฎออกมา ถึงแม้ว่าอยู่ภายใต้ความสามารถของเนตรวิญญาณก็ยังเบาบางมา ราวกับว่ากึ่งโปร่งใสอย่างไรอย่างนั้น

 

 

นี่คือภูตที่แอบเข้ามาหรือ?

 

 

หานลี่พลันใจหายวาบ ขบคิดไปเล็กน้อย ลำแสงสีฟ้าในแววตาระเบิดออก พุ่งออกไปอย่างไม่กลัวเกรงว่าจะเป็นอันตราย หมายจะเห็นร่างเดิมของปีศาจตนนี้ให้ชัดเจน

 

 

ผลคือนอกจากลำแสงสีดำในไอสีเขียวแล้ว ก็มองเห็นไข่มุกกลมที่ดูเหมือนผลึกวารีเม็ดหนึ่งลอยอยู่ตรงกลางและหมุนโคจรอยู่อย่างเชื่องช้า

 

 

ในเวลาเดียวกันที่หานลี่มองเห็นสิ่งนี้ ไข่มุกกลมก็หยุดหมุนวน ผิวของมันมีลำแสงสีเขียวแผ่ออกมา แต่ก็กระพริบวาบแล้วหายวับไป

 

 

หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ชั่วพริบตานั้นลำแสงสีฟ้าในแววตาพลันหายวับไป

 

 

เขาสัมผัสได้ลึกๆ ว่าในเวลาเดียวกันที่พบไข่มุกกลม ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้จะมีพลังชีวิตที่สัมผัสได้ถึงการจับจ้องของเขาในทันที

 

 

ทว่าเขาก็มั่นใจว่าปฏิกิริยาตอบสนองของตนเองนั้นว่องไวพอที่ตัดเนตรวิญญาณออกก่อน โดยไม่ให้อีกฝ่ายจับการกระทำของตนเองได้

 

 

ต่อให้ฉีกฝ่ายมีจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งขนาดไหน แต่คราวนี้จะกล้าแผ่จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งออกมาตรวจสอบตำแหน่งของเขาได้อย่างไร หากแผ่จิตสัมผัสออกมาอ่อนๆ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมองทะลุยันต์ชำระพิสุทธิ์ได้ หากแกร่งเกินไป เกรงว่าเหล่าราชันย์ปีศาจและอสูรอเวจีอัสนีที่กำลังโรมรันกันในวิหารจะรู้สึกตัวได้

 

 

เขาเชื่อว่าภูตตนนี้ไม่มีทางทำเรื่องที่ไม่ชาญฉลาดแน่

 

 

ดังคาดหลังจากผ่านไปชั่วครู่ จิตสัมผัสที่บางเบาจนแทบจะมองไม่เห็น ก็กวาดผ่านจุดที่เขายืนอยู่ไป แต่ไม่ได้สัมผัสได้แล้วกวาดมาทางเขาเลยสักนิด

 

 

หานลี่รู้สึกผ่อนคลายลง แล้วถึงได้วางใจลงจริงๆ แต่ไม่รอให้เขาได้เริ่มครุ่นคิดว่าจะช่วยสตรีทั้งสองไปเงียบๆ ได้อย่างไร ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นจากหมอกโลหิตในวิหาร การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้น

 

 

หมอกสีโลหิตเริ่มหมุนวน ฉับพลันนั้นลำแสงสีม่วงแดงพลันเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา เงาร่างกำยำร่างหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตสูงยี่สิบจั้งเศษหน้าตาโหดเ**้ยมก็ปรากฏออกมาจากหมอกสีโลหิต ร่างกายยังคงขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

ส่วนตรงไหล่ข้างหนึ่งของหุ่นเชิด มีผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตยืนเอามือไพล่หลังอยู่คนหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] นกกระจอกเหลืองรออยู่เบื้องหลัง หมายถึง มัวแต่จ้องเหยื่อข้างหน้า ไม่รู้ว่ามีภัยมาที่ข้างหลัง