บนโลกใบนี้ในใจของแม่นั้น ไม่ว่าจะเป็นชายาเอกหรืออนุ ขอเพียงแค่แย่งลูกชายไปบางทีล้วนมีแต่เล่ห์เหลี่ยม
วันที่สองยามแสงอาทิย์สอดส่อง จูซุ่นขันทีแห่งตำหนักฉือหนิงเอ่ยคำสั่งของไท่เฮา ให้ขันทีสองคนพาชายาฉินออกจากอารามหลวง
อวิ๋นหว่านชิ่นเปลี่ยนชุดจากชุดแม่ชี เป็นชุดในวังง่ายๆ เดินตามขันทีทั้งสองไป พอถึงทางเข้าประตูเจิ้งหยาง ขันทีส่งป้ายประจำกายเปิดประตูออกจากประตูเมือง
ฝั่งตรงข้ามคูเมืองคุ้มกันเมือง มีรถม้าจอดอยู่
ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นเต็มที่เกาจ๋างสื่อก็รีบไปเรียกคนลากรถลากมาที่นี่ ม้วนแขนเสื้อรออยู่นาน พอเห็นร่างที่คุ้นเคย สีหน้าก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที่ ตะโกนสั่งบ่าวรับใช้ “ไป รีบไปรับเหนียงเหนียง”
เหล่าบ่าวรับใช้เห็นเหนียงเหนียงของตนเดินมาจากทางคูเมืองคุ้มกันเมือง กุลีกุจอรีบไปรับ โค้งตัวก้มด้วยความยินดี “เหนียงเหนียงลำบากแล้ว”
แม้ว่าเหนียงเหนียงจะอยู่ในจวนได้ไม่นาน นั่งตั่งยังไม่ทันร้อนก็ถูกลงโทษในอารามเสียช่วงเวลาเหล่านี้ ก็ไม่มีผลกระทบความรักและความเคารพของบ่าวรับใช้ได้ ช่วงเวลาที่อยู่ที่จวน ติดดินมากว่าเจ้านายจริงๆ เสียอีก และเข้ากับบ่าวรับใช้อยู่มาก มักจะมอบอะไรเล็กๆ น้อยๆ เช่นตอนที่คุณหนูอดอาหารประท้วง ชายาเอกก็ไม่ได้ต่อว่า กลับนำอาหารที่ประณีตสวยงามทั้งหมดมาให้บ่าวรับใช้ทั้งจวนได้ทานกัน ทำให้บ่าวรับใช้ซาบซึ้ง
ได้ยินว่าชายาเอกถูกลงโทษ บ่าวในจวนก็แค้นเคืองมาก หลายวันมานี้พูดว่าไม่เป็นธรรมอยู่ไม่น้อย
เกาจ๋างสื่อเปิดผ้าม่าน อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเท้าขึ้นรถ พอรถขยับ ใบหน้าอวบอิ่มรูปไข่ก็ปะทะเข้ามา
ชุยอินหลัวที่อยู่ในรถ ไม่ได้เจอกันนาน คล้ายว่าอวบอ้วนขึ้นมาเล็กน้อย พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่น ใบหน้าก็ขมวด โอบกอดเอวของนางไว้ “ท่านกลับมาแล้ว” สะอึกอื้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “แย่ๆ จริง แอบไปนอกเมืองคนเดียว ไม่บอกข้าสักคำ”
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินเสียงนางสะอื้นไห้จึงลูบศีรษะปลอบใจอยู่สองสามประโยค สั่งให้คนลากรถตรงกลับไปที่จวน
เกาจ๋างสื่อขึ้นบนรถ คันเดียวกับคุณหนูและเหนียงเหนียง คนบังคับรถตีบังเหียน ออกไปจากวัง มุ่งหน้าไปทางเหนือจนฝุ่นตลบ
ชุยอินหลัวเปิดม่านมองด้านหลังกำแพงวัง ใบหน้ารูปไข่ยังมีความหวาดกลัว เอ่ยเสียงเบา “ที่นี่ หลังจากนี้อย่ามาบ่อยเป็นอันขาด ทำอะไรนิดหน่อยก็โดนลงโทษกักขัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นลูบศีรษะชุยอินหลัวเบาๆ เด็กน้อยคนนี้กีดกันพระราชวังเยี่ยงนี้ หารู้ไม่ว่าตัวนางเองนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นถึงมเหสีรอง เกรงก็แต่ว่าจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังไปตลอดชีวิต
ระหวางทางกลับจวน ปากเล็กๆ ของชุยอินหลัวก็พูดไม่หยุด เดินทางมาได้ครึ่งทาง กำลังผ่านถนนเส้นหนึ่งจู่ๆ ก็อึดอัดใจ เปิดผ้าม่านขึ้นมองออกไปข้างนอก
“เป็นอะไรไป” อวิ๋นหว่านชิ่นมองตามท่าทางของนาง มองผ่านหน้าต่างออกไปข้างนอก นี่เป็นถนนเส้นหลักของเมืองเยี่ยจิง เพราะว่าที่นี่เป็นเมืองใกล้วังหลวง จวนเดี่ยวส่วนมากมีทั้งระดับกลางจนถึงสูง สกุลอวิ๋นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ตรงไปข้างหน้าเลี้ยวซ้ายเข้าซอย ก็เป็นบ้านตนแล้ว
ชุยอินหลัวเหลียวมอง ลังเลอยู่สักพัก ถึงจะตัดสินใจได้ กระทืบเท้าส่งเสียงเด็ก “หยุดรถ!”
คนบังคับรถได้ยินเสียงของคุณหนูจึงหยุดรถลงเข้าข้างทางอย่างช้าๆ และนุ่มนวล
“คุณหนูจะทำอันใดหรือขอรับ” เกาจ๋างสื่อเอ่ยเสียงดังคิ้วขมวด “เหนียงเหนียงเพิ่งจะได้ออกจากวัง ลำบากเป็นอย่างมาก ทั้งยังต้องกลับไปซัก…”
อวิ๋นหว่านชิ่นโบกมือ ส่งสัญญาณให้เกาจ๋างสื่ออย่าเพิ่งตำหนิ
ชุยอินหลัวจ้องมองนาง “ไหนๆ ก็ผ่านทางนี้แล้ว เยี่ยงนั้นพวกเราไปแวะที่จวนเจ้ากรมกันเถอะ”
ไปบ้านสกุลอวิ๋น? เด็กคนนี้กำลังคิดจะทำอะไร? อวิ๋นหว่านชิ่นมองนาง “อาหลัว มีเรื่องอะไรรีบพูดมาเถอะ”
ชุยอินหลัวคิดว่าไม่มีวิธีแล้ว จึงพูดความจริงออกมาหมด “คือว่า…ข้าไม่ได้เจอพี่ชายอวิ๋นมาหลายวันแล้ว รู้สึกไม่ชอบมาพากล ก่อนหน้านี้ทุกๆ สองวันหลังเลิกเรียนจะมาเจอข้าตลอด ต่อให้ไม่มาก็จะฝากมั่วเซียงมาบอกข้า ข้าไม่ค่อยสบายใจนัก ในเมื่อพี่สะใภ้กลับมาแล้ว เยี่ยงนั้นพวกเราแวะไปดูกันเถอะ”
พี่ชายอวิ๋น? นึกอยู่สักพัก อวิ๋นหว่านชิ่นถึงจะนึกออกคนที่พูดถึงคือน้องชายของนางเอง
เด็กสองคนนี้ไปรู้จักกันได้เยี่ยงไร? ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน? ความสัมพันธ์เยี่ยงนี้ ไม่ใช่เพียงผิวเผินแน่ นางหันมองเกาจ๋างสื่อ
เกาจ๋างสื่อก็เพิ่งจะรู้ไม่กี่วันก่อน เพียงแค่พระชายาไม่อยู่ที่จวน ด้านหนึ่งก็เป็นน้องชายของพระชายา อีกคนหนึ่งก็เป็นน้องสาวของท่านอ๋อง ไม่รู้ว่าควรจะพูดเข่นไร ทำได้เพียงไม่รู้ไม่ชี้ พยักหน้าเท่านั้น
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดอะไรมาก ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไป ไปจวนเจ้ากรม”
ได้ยินชุยอินหลัวพูดเยี่ยงนี้ ก็ยังรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถือเสียว่าแวะไปดูน้องชายเสียหน่อย
ไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว จวนเจ้ากรมน่าจะเปลี่ยนใหม่แล้ว คงจะหรูหรากว่าเก่า เป็นต้องไว้ทุกข์ฮองเฮา จึงไม่กล้าเปิดเผย เลยตกแต่งแบบเรียบง่าย
เกาจ๋างสื่อไปเค้าประตูเรียกบ่าว
รออยู่สักพัก ปนะตูใหญ่จวนเจ้ากรมเปิดออก
ม่อไคไหลพาบ่าวรับใช้และมอมอออกมาจากจวน นึกไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่กลับจวนก็ไม่บอกเลยสักนิด ตกใจอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าชักช้า เดินลงบันไดตั้งมือทำความเคารพต้อนรับ
อวิ๋นหว่านชิ่นจูงมือชุยอินหลัวเดินลงจากรถ เอ่ยเพียงแค่ให้เกาจ๋างสื่อตามจนทั้งสอง เดินมุ่งหน้าเข้าจวนเจ้ากรม
ม่อไคไหลเดินนำทาง เดินไปพูดไป “วันนี้คงเป็นวันที่ชายาฉินอ๋องออกจากวังใช่หรือไม่ขอรับ? เหตุใดถึงมาที่จวนเจ้ากรมได้ นายท่านยังไม่กลับจากที่ทำการเลย…”
อวิ๋นหวานชิ่นมองไปรอบๆ ปลายเท้าหยุดลง มองทุกสารทิศ เอ่ยขัด “จิ่นจ้งกับท่านย่าล่ะ?”
ม่อไคไหลเกิดความสงสัย เอ่ยตอบ “เหล่าฮูเหยินพอฉลองตรุษจีนเสร็จ ท่านข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับนายท่านเสร็จ พอชูอี[1]ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ออกจากเยี่ยจิงกลับไท่โจวแล้ว ส่วนนายท่านยังไม่เลิกเรียน…”
ท่านย่ากลับไท่โจวแล้ว? สีหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นนึกสงสัย
“ชูอี?” ร่างอ้วนกลมของชุยอิวหลัว แต่สมองกลับไม่เลอะเลือน ดึงมือของอวิ๋นหว่านชิ่นให้นางก้มตัวลงมาก กระซิบข้างหู “เหมือนว่าหลังชูอี ข้าก็ไม่ได้เจอพี่ชายอวิ๋นแล้ว”
นางไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแต่ยืนตัวขึ้น เดินเข้าห้องหลัก จับมือชุยอินหลัวไปด้วย นั่งบนเก้าอี้แล้วจึงเอ่ย “ท่านพ่อไม่อยู่ ท่านย่าก็ไปแล้ว ตอนนี้ใครดูแลอยู่ไปเรียกมาเถอะ”
ม่อไคไหลรีบเอ่ยรับ “ขอรับ”
ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ตงเจี่ยกำลังประคองเหลียนเหนียงที่สวมชุดผ้าฝ้าย ค่อยๆ เดินเข้ามา ย่อทำความเคารพ เอ่ย “ชายาฉินอ๋องจู่ๆ ก็กลับมาวันนี้ ไม่เอ่ยบอกกันก่อน ท่านพี่ยังไม่กลับมา เสียมารยาทแล้ว” ทั้งยังยกแขนขึ้น “เชิญเข้ามาเถิด… พวกเจ้ายังไม่เตรียมชาอีก”
ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ คนที่ดูแลจัดการหลังจวนตอนนี้ เป็นอนุรองตามคาด
หากเทียบกับตอนแรกที่ได้เจอเหลียนเหนียง ผิวพรรณขาวขึ้นมาก รูปร่างดูเอิบอิ่ม เหมือนว่าจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี อยู่ดีกินดี ไม่เหมือนมาจากม้าผอมอีกแล้ว ทุกอากับกริยาดั่งสตรีที่ถูกตบแต่งมาอย่างดี
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “ไม่ต้องมาพิธีรีตอง ข้ามานั่งสักประเดี๋ยวเดี๋ยวก็ไป”
เหลียนเหนียงไม่บีบบังคับอะไรมาก เพียงแค่ให้สาวใช้ประคองไว้ เดินไปไม่กี่ก้าว จึงเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าชายาฉินอ๋องมาที่นี่ด้วยเหตุใดหรือ”
[1] ชูอี 初一 หมายถึง วันแรกหลังจากตรุษจีน