ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 28 ใกล้ปะทุ (10)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีเดินตามอวี่ซือเฟิ่งไปเงียบๆ ระยะหนึ่ง เห็นเขาแม้ว่าเดินมั่นคง แต่ไม่ได้เมามายเหมือนจงหมิ่นเหยียน ดังนั้นจึงกล่าวเบาๆ ว่า “ซือเฟิ่ง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” 

 

 

เขาหยุดลง เป็นนานก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ไม่ต้องส่งข้า” 

 

 

เสวียนจี “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง ไม่วางใจหันกลับไปมองเขาอีกแวบหนึ่งก่อนจะหันกายจากไป เดินไปพักหนึ่ง พลันรู้สึกมีอะไรไม่ถูกต้องนัก นางพลันหันกลับไป เห็นเขายังยืนอยู่ที่เดิมมองตนเองตาเชื่อม สายตาเช่นนั้นนางไม่เคยได้เห็นบนใบหน้าอวี่ซือเฟิ่ง อดอึ้งไปไม่ได้ 

 

 

เขายิ้ม โบกมือ หันกายจะเดินจากไป 

 

 

เสวียนจีอดไล่ตามไปไม่ได้ คิดเอื้อมมือไปคว้าแขนเขามากอด ไม่รู้ทำไมจึงไม่กล้า รอยหลังใบหูนั่นร้อนผ่าวเล็กน้อย นางเองก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ยกมือค้างเติ่งก่อนจะชักกลับ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไป พลิกมือมาคล้องแขนนางไว้ ดึงนางมาด้านหน้า ก้มหน้ายิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “หากเจ้าจะต้องส่งข้ากลับ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ” 

 

 

เสวียนจีตัวสั่นเทาเล็กน้อย พยักหน้าลังเล ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเหมือนเมื่อก่อนที่กอดแขนเขาอย่างไม่คิดอะไร ในใจนางราวกับอยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคน ไม่ใช่ชายหนุ่มเย็นชาสูงส่งคนเดิม ราวกับ…อันตรายอยู่สักหน่อย 

 

 

“เรื่องวุ่นวายใจจบแล้ว ทำไมเจ้าจึงไม่เบิกบานใจ” เขาพลันถาม 

 

 

เสวียนจีเงียบอยู่เป็นนาน กล่าวเบาๆ ว่า “ข้า ข้าไม่ได้ไม่เบิกบานใจ ข้ากลัวเจ้าดื่มมากไป ไม่สบาย…” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าคอทองแดงกว่าหมิ่นเหยียนมาก ดื่มอีกสองไหก็ไม่เมา” 

 

 

เขาก็ฝืนทนเก่งจริง…เสวียนจีมองเขาอย่างไม่รู้ทำเช่นไร ผลักเขาทีหนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งสะดุดเกือบล้มดังคาด นางหัวเราะขำเข้าไปหิ้วปีกเขาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “ยังขี้โม้อีก? เห็นๆ ว่าเมาแล้ว” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะดัง พลันสองมือสอดเข้าใต้วงแขนนาง อุ้มนางขึ้นหมุนไปรอบหนึ่ง กล่าวว่า “ผู้ใดเมา เจ้าว่าอีกทีสิ” เสวียนจีหัวเราะคิกคักกอดคอเขาไว้ รู้สึกเพียงแค่กลิ่นสุราลอยปะทะออกมา อดผินหน้าหนีไม่ได้ กล่าวว่า “เหม็นมาก” 

 

 

เขาลองเป่าลมหายใจดู ดังคาด กลิ่นสุราอบอวล จึงได้วางนางลง แต่นางเกี่ยวคอเขาไว้ไม่ปล่อย เขานึกสนุก แบกนางขึ้นหลัง เดินโยกส่ายไปมา 

 

 

เสวียนจีแนบตัวไปยังลำคออีกด้านของเขา ยิ้มกล่าวว่า “อย่าเดินผิดทาง ข้าว่าเจ้าใกล้ไม่ไหวแล้วนะ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งไม่สนนาง เอาแต่เดินตรงไปด้านหน้า พักหนึ่งก็กลับถึงห้องพักตนเอง เสวียนจีโดดลงจากหลังเขา กล่าวว่า “เจ้าถึงแล้ว ข้าไปละ” 

 

 

ครั้งนี้อวี่ซือเฟิ่งเมามากจริงๆ สมองเริ่มไม่แจ่มชัด ภาพที่เห็นตรงหน้าพร่าเลือน พอได้ยินเสียงนางบอกว่าจะไปก็รีบรับคำ “ข้าไปส่งเจ้า” 

 

 

กล่าวจบก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง หากทำเช่นนี้ เจ้าส่งข้า ข้าส่งเจ้า ส่งถึงฟ้าสางก็ไม่จบ อดหลุดขำออกมาไม่ได้ เขาผลักประตูเดินเข้าไปพิงกรอบประตู หันกลับมามองนาง สีหน้าจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม หากกล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่สู้ พวกเราสองคนร่ำสุราคุยกันต่อใต้เสียงเทียนค่ำคืนนี้” 

 

 

เดิมเขาคิดล้อเล่น แม้นางพยักหน้าเห็นด้วย ตนเองก็ไม่รับปาก ผู้ใดจะรู้ว่าเสวียนจีถอยไปสองก้าวส่ายหน้ากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ ไม่ต้องแล้ว เจ้าพักผ่อนให้เร็วหน่อยเถอะ” ท่าทางเช่นนี้เหมือนหวาดกลัวอยู่มาก 

 

 

เขาอึ้งไป เอื้อมมือไปดึงนางไว้ ถามว่า “ทำไมหรือ” นางรีบปัดหลบพัลวัน ราวกับรู้สึกไม่ดีกับการแตะต้องตัวของเขา 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหดมือกลับ เม้มปากแน่น เป็นนานก่อนจะหัวเราะขึ้นเบาๆ กล่าวว่า “ข้าเองที่เกินไปสักหน่อย ขอโทษ” กล่าวจบก็หันกลับเข้าห้องทันที 

 

 

เสวียนจียืนอึ้งอยู่นอกห้องเป็นนาน อย่างไรก็ไม่วางใจ แต่ก็ไม่กล้าบุกเข้าไป ได้แต่แอบแนบตัวมองลอดช่องประตู มองดูอยู่เป็นนาน ด้านในมืดมิด มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น นางเขยิบเข้าไปแนบหูฟัง ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร ได้แต่เกาท้ายทอยร้อนใจ ไม่รู้ทำเช่นไรดี 

 

 

กำลังคิดฮึดใจกล้าผลักประตู ก็พลันได้ยินเสียง แอ๊ด ดังขึ้น ประตูเปิด อวี่ซือเฟิ่งคลุมทับด้วยเสื้อตัวนอกก้มหน้ามองนางด้วยสีหน้านิ่งเฉย เสวียนจีตกใจหันหลังคิดหนี กลับถูกเขาคว้าหลังคอเอาไว้ ลอยหวือเข้าไปในห้อง ประตูปิดดัง ปัง 

 

 

เสวียนจีถูกเขาลากตัวลอยมาหลายก้าว สุดท้ายล้มนั่งลงบนเก้าอี้ มือไม้สับสนลุกลี้ลุกลนยืนขึ้น ก็ถูกเขากดบ่าเอาไว้ ตวาดเบาๆ ว่า “นั่งดีๆ!” นางตกใจ นั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย มองเขาด้วยแววตาน่าสงสารตาปริบๆ เขาจุดตะเกียง เทน้ำชา เอาขนมมา สุดท้ายนั่งลงตรงหน้านาง จ้องมองนางด้วยสีหน้านิ่งเฉย  

 

 

เป็นนาน เขาจึงได้ส่งน้ำชาไปตรงหน้านาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้ากำลังตำหนิข้า ใช่ไหม” 

 

 

เสวียนจีก้มหน้ากัดปากแน่นไม่กล่าวอันใด ทันใดนั้นบรรยากาศก็เริ่มอึดอัดอย่างที่สุด นางกลอกตาไปมา แอบมองนิ้วมือเรียวยาวของเขาไล่ไปจนถึงผมยาวที่ทิ้งตัวอยู่ด้านหน้าเขา จากนั้นก็มองไปยังแผงอกใต้สาบเสื้อที่แหวกเล็กน้อยของเขา ก่อนจะรีบเก็บสายตาคืนมา ไม่กล้ามองอีก 

 

 

พลันรู้สึกนิ้วมือเขาลูบใบหูตนเอง นางสะดุ้งโหยง หลับตาปี๋ หลบก็ไม่กล้าหลบ นิ้วมือเย็นชืดสัมผัสผ่านรอยหลังใบหูนางราวกับเปลวไฟแผดเผา นางสูดลมหายใจเข้าก่อนจะคว้ามือเขาไว้ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “อย่า อย่าแตะ” 

 

 

มือเขาประคองแก้มนางไว้ รู้สึกเพียงแค่สัมผัสร้อนผ่าว ความงามเหนือดอกท้องาม ในใจอดสั่นไหวไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าไม่ได้ไม่พอใจข้า แต่กลัวข้า? กลัวข้าจะ…” 

 

 

นางตกใจผลักมือเขาออก ผุดลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าไปละ!” 

 

 

ยังไม่ทันได้หันหลัง ก็ถูกเขาโอบเอวจากด้านหลัง นางร้องตกใจ เขารีบปิดปากนางทันที กระซิบข้างหูแผ่วเบาว่า “ชู่…อย่าร้อง อย่ากลัว” 

 

 

เขาเมาแล้ว ประคองหลังคอนางไว้ นิ้วหัวแม่มือค่อยๆ ลูบผ่านติ่งหูนางแผ่วเบา  

 

 

เขาน่าจะบ้าไปแล้ว กลางคืนดึกดื่นไร้ผู้คน ชายหญิงตามลำพัง เขาไม่ควรทำเช่นนี้ บางทีอาจดื่มมากไปแล้ว บางทีนางเผยให้เห็นความเขินอายที่ยากจะได้เห็น ทำให้เขาหวั่นไหว เขาไม่อาจปล่อยมือ กอดนางเบาๆ ถอยไปสองก้าว วางนางลงบนเตียง ค่อยๆ แก้สายรัดเอวนางออก 

 

 

ข้างหูได้ยินนางพึมพำว่า “ซือเฟิ่ง…พวกเรา พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดใช่ไหม” 

 

 

เขาอู้อี้รับขึ้นเสียงหนึ่ง “พวกเราจะไม่แยกจากกันตลอดไป” 

 

 

กล่าวจบ ในสมองพลันแจ่มชัดได้สติคืนมา ร่างเขาแข็งทื่อ รีบยันตัวลุกขึ้น รวบรวมสติสัมปชัญญะทั้งหมดโดดลงจากเตียง พึมพำกล่าวว่า “ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรทำเช่นนี้” 

 

 

เสวียนจีค่อยๆ ได้สติคืนมา รีบลุกนั่ง รัดผ้าที่เอวให้ดีก่อนจะก้มหน้านิ่งเงียบเล่นชายแขนเสื้อ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก นั่งลงข้างเตียง ลูบผมนางกล่าวอ่อนโยนว่า “ขอโทษ” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ขอโทษอะไร” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งตะลึงอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ข้าควรให้เกียรติเจ้า รอให้ถึงวันแต่งงาน” 

 

 

เสวียนจีเงียบอยู่นานจึงได้กล่าวว่า “จริงหรือ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หรือว่าตอนนี้เจ้าก็อยากให้สิทธิ์วันแต่งงานกับข้า? ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ…มาๆ พวกเรามาต่อกัน” 

 

 

เสวียนจีหน้าแดงก่ำ ผลักมือเขาออก ร้อนใจกล่าวว่า “ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้น! เจ้าปีศาจบ้ากาม!” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่อวี่ซือเฟิ่งโดนด่าว่าปีศาจบ้ากาม ถึงกับออกจากปากสตรีที่ตนรักที่สุด อดหัวเราะดังไม่ได้ตบแก้มนางเบาๆ สองที ถามว่า “เช่นนั้นคืนนี้เจ้าอยู่ต่อไหม นอนคุยกัน” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้าโดดลงจากเตียง กล่าวว่า “ข้า…ข้าไปละ”  

 

 

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าก่อนหน้านี้ตามตอแยขออยู่ห้องเขาเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างมาก อวี่ซือเฟิ่งเกล้ามวยผมให้นางใหม่ กำลังจะเปิดประตูส่งนางออกไป พลันได้ยินด้านนอกมีเสียงเอะอะดังราวกับมีคนมากมายวิ่งกันอยู่  

 

 

ทั้งสองเปิดประตูออกมามองอย่างแปลกใจ เห็นแสงตะเกียงสว่างไสวด้านนอก ศิษย์เกาะฝูอวี้หลายคนถือคบไฟในมือ กำลังเร่งไปทางประตูใหญ่ อวี่ซือเฟิ่งอดถามไม่ได้ “ขอถามหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น” 

 

 

ศิษย์เกาะฝูอวี้คนหนึ่งตอบว่า “เจ้าตำหนักหลีเจ๋อและรองเจ้าตำหนักมา ยังนำบุปผาสำหรับไว้เด็ดในงานชุมนุมปักบุปผาปีนี้มาด้วย” 

 

 

พอทั้งสองได้ยินคำว่าตำหนักหลีเจ๋อก็สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที เสวียนจีเงยหน้ามองอวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ทำอย่างไรดี ต้องไปพบไหม” อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า กล่าวว่า “แล้วไปเถอะ รอพรุ่งนี้อล่วกัน เพียงแต่…ทำไมมากันดึกดื่นเช่นนี้” 

 

 

แต่ไรมาอาจารย์ก็พิถีพิถันธรรมเนียมจารีต แต่ไรมาไม่เคยมาเยือนในยามวิกาล และยังว่านำบุปผาสำหรับไว้เด็ดในงานชุมนุมปักบุปผาปีนี้มาด้วย ก็หมายความว่า ปีนี้ไม่มีภารกิจเด็ดบุปผา เป็นเพราะพวกอาจารย์เขาเองที่จับมารปีศาจร้ายกาจได้ก่อน? เขาอยู่ตำหนักหลีเจ๋อมาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ 

 

 

เขานิ่งเงียบอยู่นานก็คิดไม่ออก ดังนั้นจึงก้มหน้ามองเสวียนจีที่กำลังอึ้งมองตนเอง เขาอดยิ้มดันตัวนางเบาๆ ไม่ได้ “รีบกลับไปสิ พรุ่งนี้รอข้าไปหาเจ้า” 

 

 

ตอนเสวียนจีจะเข้ามาก็ลังเลและหวาดกลัว ยามนี้พอจะออกไปก็ไม่อาจตัดใจ ไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ค่อยๆ หันหลังเดินออกไป หันกลับไปมองอีกที อวี่ซือเฟิ่งยังยืนมองนางอยู่ที่เดิม ในใจนางพลันรู้สึกอบอุ่น โบกมือให้เขากล่าวว่า “ปีศาจบ้ากามน้อย แม้จะต่อก็ไม่มีอะไร!” 

 

 

กล่าวจบเห็นอวี่ซือเฟิ่งตกตะลึง นางอดหัวเราะคิกคักไม่ได้ ก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว