ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 29 งานประลอง (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

วันรุ่งขึ้น เสวียนจีตื่นแต่เช้าตรู่ หลังอาหารเช้าอวี่ซือเฟิ่งก็มาหานางตามคาด ทั้งสองหารือกันพักหนึ่ง คิดว่าตำหนักหลีเจ๋อคงไม่ทำอะไรอวี่ซือเฟิ่งเกินเลยบนเกาะฝูอวี้นี้ แม้จะลงโทษก็ต้องหาที่ไร้ผู้คน หรือรอให้จบงานชุมนุมปักบุปผา ขอเพียงอวี่ซือเฟิ่งไม่อยู่คนเดียว ต่อหน้าทุกคน ตำหนักหลีเจ๋อจะร้ายกาจเพียงใดก็ทำอะไรไม่ได้ 

 

 

“พวกเราไปหาพวกหลิงหลงกันก่อนเถอะ เล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง วันหน้ามีอะไรพวกเราสี่คนร่วมมือกันก็คงครึกครื้นและปลอดภัยดี”  

 

 

เสวียนจีกล่าวไปก็ผลักประตูเดินออกไป พลันมีของปาโดนศีรษะนางเบาๆ เงยหน้ามองไป ดังคาด เป็นมกร เขานั่งอยู่บนต้นไม้แทะผลท้ออีกแล้ว แล้วก็ปาเม็ดท้อที่กินเหลือใส่นาง 

 

 

“เมื่อคืนเจ้ากลับมาดึกมาก” มกรโดดลงมา พูดจาไปบิดขี้เกียจไป หรี่ตามองอวี่ซือเฟิ่ง “ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่กลับมาแล้วเสียอีก” 

 

 

เสวียนจีกินปูนร้อนท้อง ใบหน้าแดงก่ำทันที แม้เจ้าเกาะตงฟางจัดห้องรับรองให้มกรด้วย แต่เขามีพันธะสัญญาสัตว์ภูตกับเสวียนจี เพื่อรักษาพันธะสัญญา เขาไม่อาจห่างไกลจากนางนัก ดังนั้นทุกคืนเสวียนจีนอนห้องด้านใน เขาก็อยู่บนต้นไม้ด้านนอกทั้งคืน ไม่ก็แอบไปนอนที่ข้างเท้านาง เมื่อคืนวานนางส่งอวี่ซือเฟิ่งที่เมากลับห้อง มกรรออยู่ข้างนอกไม่ไหว ย่อมต้องออกตามหานางไปทั่ว ไม่แน่ว่าเขาได้เห็นภาพอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า… 

 

 

มกรมองทั้งสองไม่กล่าวอันใด ได้แต่ถอนหายใจเหมือนคนผ่านอะไรมามาก กล่าวว่า “หนุ่มสาวน่ะ กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ร้อนแรง แต่ก็ต้องรู้จักระงับใจบ้าง” เขาจิ้มหน้าอกอวี่ซือเฟิ่ง กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ระวัง สาวงามร้ายยิ่งกว่านางยักษ์ สังหารคนไร้โลหิตนะ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะแห้งๆ ลูบคางไม่กล่าวอันใด เสวียนจีถลึงตาใส่ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย สัตว์อย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร อย่ามาทำเป็นอายุมากรู้ความมากกว่า”  

 

 

มกร “เชอะ” ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวอย่างเกียจคร้าน “เมื่อคืนวานมีคนขึ้นเกาะหรือ” 

 

 

เสวียนจีพยักหน้า “ที่แท้เจ้าเองก็รู้” 

 

 

มกรกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อืม ข้าได้กลิ่นผิดปกติ ต้องระวัง” 

 

 

เขาเห็นหนุ่สาวสองคนสีหน้าหนักใจไม่กล่าวอันใด ก็ได้แต่โหวกเหวกต่อว่า “ทำหน้าเหมือนตนตายแต่เช้าตรู่ทำไมกัน ผู้ใดกล้าทำลายเส้นทางข้างหน้าของพวกเจ้า มาหนึ่งก็ฆ่าหนึ่ง มาหมื่นก็ฆ่าหมื่น! ความกล้าอย่างนี้ไม่มีหรือ” 

 

 

เสวียนจีหัวเราะพรืดขึ้นเสียงหนี่ง “เห็นเจ้าก็มีความกล้าแล้ว ไปกันเถอะ อย่าไปสายจนเขาสองคนไม่อยู่กัน” 

 

 

“เอ๋? พวกเจ้าไม่ใช่จะไปกินข้าวหรือ” มกรไหล่ตกผิดหวังมาก ดูท้องฟ้าแล้ว อีกนานกว่าจะเที่ยง ยังไม่ได้เวลาอาหารจริงๆ 

 

 

เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “พวกเราจะไปหาหลิงหลงกับศิษย์พี่หก เจ้าไปด้วยกันสิ อืม ที่หลิงหลงน่ามีของกิน นางชอบพกขนมติดตัวที่สุด” 

 

 

มกรตาลุกวาว ก่อนจะตะลึงไป “หลิงหลง…ก็คือแม่นางน้อยที่ถูกกระชากจิตญาณออกไปนั่นหรือ พวกเจ้าไปตอนนี้ไม่น่าจะดีนะ ไม่แน่อาจจะยังไม่ตื่น” 

 

 

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร” 

 

 

มกรยิ้มชั่วร้าย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “บนเกาะมีอะไรเล็ดรอดสายตาข้าได้ เขาสองคนเริงรมย์กันทั้งคืน พวกเจ้าไปขัด กลายเป็นตัวอะไรกัน ไปห้องโถงเล็กหาไรกินกันดีกว่า” 

 

 

เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งอึ้งไปก่อนจะเข้าใจความหมายเขา ทั้งสองท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิดถึงหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนที่ช่างใจกล้าแล้วก็อดอ้ำอึ้งไม่ได้ อวี่ซือเฟิ่งยังคงคิดถึงแต่คำว่า ‘เริงรมย์’ จนไม่อาจดึงสติกลับคืนมาได้ ไม่รู้ควรชมจงหมิ่นเหยียนว่าเก่งกล้าหรือว่าเห็นใจเขาดี 

 

 

“เขาสองคนประลองกระบี่โช้งเช้งกันทั้งคืน ทำเอาข้านอนไม่หลับเลย เสียงดังขนาดนั้น มีแต่พวกเจ้าสองคนที่มีพิรุธในใจจึงไม่ได้ยิน” 

 

 

ถึงกับใช้อาวุธด้วย?! อวี่ซือเฟิ่งนึกอย่างไรก็นึกภาพเหลวไหลเช่นนั้นไม่ออก แปลกมาก พี่หลิ่วเคยกล่าวว่ายามนั้นต้องใช้อาวุธด้วยหรือ 

 

 

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไมเป็นกระบี่ พวกเขาสองคนทะเลาะกันหรือ” 

 

 

มกร “อือฮึ” ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ราวนั้น เจ้าหนุ่มนั่นดื่มมากไป ดึงแม่นางน้อยไว้ไม่ยอมปล่อยมือ แม่นางน้อยโมโห ชักกระบี่ออกมาใส่ ทั้งสองแรกๆ เล่นกัน ต่อมาก็เอาจริง สู้กันจบก็บอกว่ากระบี่ร้ายกาจไม่เลว วันหน้ามีหวังแก้แค้นได้แล้ว พอขากลับอยู่ดีๆ ก็ขึ้นเขาไปไหว้หลุมศพ…ผีเท่านั้นที่รู้พวกเขาดึกดื่นไปทำอะไรกัน” 

 

 

ที่แท้คำว่า เริงรมย์ทั้งคืน จากปากเขาหมายความเช่นนี้เอง อวี่ซือเฟิ่งผ่อนลมหายใจลง ส่ายหน้าอย่างเสียไม่ได้ หันกายเดินจากไป “อย่างนั้นให้พวกเขานอนพักก่อนเถอะ พวกเราไปหาพี่หลิ่วกับถิงหนู” ทำไปทำมา คู่นั้นก็เด็กน้อยก้นแดง เขาควรรู้นานแล้วว่าจงหมิ่นเหยียนแต่ไรมาก็มีแต่กล้าคิดไม่กล้าทำ ไม่ควรให้ค่าเขาสูงไปนัก 

 

 

เสวียนจียิ้มร่าไล่ตามไป กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ทำไม เจ้าผิดหวังมาก?” 

 

 

“เปล่า ย่อมไม่ใช่” อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้าท่าทางเป็นการเป็นงาน 

 

 

“ฮิๆ ปีศาจบ้ากาม” 

 

 

ในใจอวี่ซือเฟิ่งแอบถอนหายใจ ดูท่าแล้ว ปีศาจบ้ากาม คำนี้วันหน้าคงต้องเป็นคำเรียกติดตัวเขาไปแล้ว 

 

 

ทั้งสามเดินชมดอกไม้ผ่านป่าผืนเล็กมา ลานประลองยุทธ์ก็อยู่เบื้องหน้า 

 

 

เพื่อจัดงานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้ให้ดี เกาะฝูอวี้ทุ่มเทเงินทองไปกับการตกแต่งลานประลองยุทธ์มากที่สุด สนามประลองไม่ได้ใหญ่โตเท่าสำนักเส้าหยาง แต่เกาะฝูอวี้ก็ใช้ความได้เปรียบเรื่องพื้นที่ของตนเอง ลานฝึกประลองเดิมเป็นลานฝึกยุทธ์ที่มีเสาหินขนาดใหญ่หลายต้นตรงกลาง แรงคนไม่อาจผลักล้ม เมื่อก่อนไว้ให้บรรดาศิษย์ฝึกเหินกระบี่ ครั้งนี้ตงฟางชิงฉีนำเสาเหล่านี้มาตกแต่ง ด้านบนปูด้วยก้อนหินไว้เต็มพื้นที่ รอบๆ ทำราวกั้นเป็นเวที มองไกลๆ เสาสี่ต้นยักษ์สูงเกือบร้อยจั้งตั้งตระหง่านกลางลานประลอง ดูยิ่งใหญ่อลังการไม่น้อย 

 

 

เสวียนจีตื่นตะลึงจ้องมองเสายักษ์ตั้งตระหง่าน พึมพำกล่าวว่า “โอ…พวกเราจะได้ประลองกันบนนี้หรือ เกิดตกลงไปจะทำอย่างไร” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยกมือบังตามองไป กล่าวชื่นชมว่า “เป็นวิธีการที่ดี เช่นนี้คนประลองก็จะไม่ถูกเสียงคนรอบๆ รบกวน” เขามองไปสองข้าง รอบเสาสี่ต้นยังมีหอไม้ขนาดใหญ่โดยรอบเชื่อมต่อกันสี่ด้าน คิดว่าคงเตรียมไว้ให้ผู้ชมนั่งชม เจ้าเกาะตงฟางเป็นคนละเอียดจริง คิดออกแบบได้ร้ายกาจแยบยลเช่นนี้ 

 

 

ทั้งสองเดินไปถอนหายใจไป มกรทนรำคาญไม่ไหว แค่นเสียงฮึขึ้จมูก “แค่นี้จะเท่าไรกัน! ก็แค่ก้อนดินหินไม้กองขึ้นมาก็เท่านั้น ฮึ ของบนสวรรค์ไม่รู้ดีกว่า…” 

 

 

“ใช่ๆ สวรรค์ดีไปหมด แต่เจ้าผู้ยิ่งใหญ่ตอนนี้อยู่โลกมนุษย์ ดังนั้นพูดจาเหลวไหลให้น้อยๆ หน่อย”  

 

 

เสวียนจีค้อนเขาขวับ 

 

 

ทั้งสามพลันมองไปยังกลุ่มคนเสียงดังตรงหน้า มีชุดชาว ยังมีชุดเขียว เป็นคนเกาะฝูอวี้กับตำหนักหลีเจ๋อ กลุ่มคนกำลังตั้งกรงขนาดใหญ่กว้างยาวราวสามจั้งกว่า ในกรงคลุมผ้าดำปิดทับ ทุกคนกำลังผลักให้เคลื่อนไปด้านหน้า 

 

 

“ทำอย่างไรดี ต้องหลบก่อนไหม” เสวียนจีเห็นคนนำมาเป็นรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อท่าทางประหลาดไม่ชายไม่หญิงผู้นั้น อดกระซิบถามไม่ได้ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด เป็นนานพลันก้าวเข้าไปเบื้องหน้า ประสานมือกล่าวว่า “ศิษย์อวี่ซือเฟิ่ง คารวะรองเจ้าตำหนัก” ทุกคนหยุดเดิน คนตำหนักหลีเจ๋อล้วนมองเขาด้วยสายตาประหลาด เหมือนแปลกใจว่าเหตุใดจึงไม่หลีกหนีไปให้ไกล แต่กลับเข้ามาทำให้สถานการณ์ประดักประเดิดเช่นนี้ 

 

 

รองเจ้าตำหนักโบกพัดไปมาไม่สนใจ กล่าวว่า “ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ว่าไปเจ้าก็ไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อแล้ว คำว่าศิษย์ก็ไม่ควรเอ่ยแล้ว” 

 

 

วาจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้เขาทำหน้าไม่ถูก ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย หากอวี่ซือเฟิ่งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เป็นอาจารย์วันหนึ่ง เป็นดังบิดาชั่วชีวิต แม้อวี่ซือเฟิ่งไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อ แต่บุญคุณตำหนักหลีเจ๋อเลี้ยงดูก็มิอาจลืมเลือนตลอดชีวิต” 

 

 

รองเจ้าตำหนักหัวเราะเหอะๆ โบกพัดไปมา สั่งการเบาๆ ว่า “ไปต่อ” เขาหันกลับเดินไปสองสามก้าว พลันคิดอะไรได้ หันกลับมายิ้มกล่าวว่า “เป็นอาจารย์วันหนึ่ง เป็นดังบิดาชั่วชีวิต วาจานี้กล่าวได้ไม่เลว บิดาเจ้าคือใคร เจ้ารู้ไหม เหอะๆ…” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพลันตะลึงไป หันกลับไปมองกลุ่มคนเดินไกลออกไป ลมพัดมาแผ่วเบา ผ้าดำเลิกมุมหนึ่งขึ้น เผยให้เห็นมือขาวราวหิมะด้านใน มือนั่นคว้าซี่กรงไว้แน่น สั่นเทาไม่หยุด