ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 30 งานประลอง (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

อีกสองวันคนของหุบเขาเตี่ยนจิงก็มาถึง เกาะฝูอวี้เล็กๆ ก็เริ่มครึกครื้นขึ้นมา งานเลี้ยงที่ทุ่มเทเงินทองราวสายน้ำไหลย่อมไม่ต้องกล่าวถึง แม้ว่าปีนี้ขาดคนสำนักเซวียนหยวน หากพวกเขาแต่ไรมาก็พูดจาไม่น่าฟัง แต่ละสำนักไม่ได้รู้สึกดีอันใดด้วย ต่างดีใจที่ปีนี้ไม่มีพวกเขา บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์แต่ละสำนักมารวมตัวกันก็มีแต่เสียงพูดคุยหัวเราะครึกครื้นยิ่ง 

 

 

วันนี้ความสามารถหลิงหลงก็ได้นำมาใช้อีกแล้ว ศิษย์สำนักเส้าหยางล้วนเป็นพวกไม่ค่อยแสดงออกเสียส่วนใหญ่ นอกจากนางคนเดียวที่ออกไปหาเรื่องเล่นกับศิษย์แต่ละสำนักจนสนิทกันรวดเร็ว ซักถามเรื่องราวส่วนตัวใหม่ๆ มาได้ไม่รู้เท่าไร กลางวันยังเรียกนางว่าแม่นางฉู่ พอกลางคืนเรียกหลิงหลงกันแล้ว 

 

 

แต่ไรมาเสวียนจีก็ยอมรับความสามารถนี้ของนาง พอกินข้าวเสร็จ หลิงหลงยังเอาเรื่องบรรดาศิษย์ที่ร่วมการประลองที่ตนเองแอบสืบมาเรียบเรียงใหม่อ่านให้เสวียนจีฟังทีละคน ฟังจนนางแทบอยากตาย แม้แต่เรื่องว่ามีผมกี่เส้น ชอบกินเปรี้ยวหรือเผ็ดก็ถามมาหมด 

 

 

“เชอะ สุดท้ายมีแต่ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อที่ถามมาไม่ได้ พวกหน้ากากประหลาด เห็นสตรีก็หลบเลี่ยงราวเห็นงูพิษ ราวกับข้าจะจับพวกเขากินอย่างนั้นแหละ!” 

 

 

หลิงหลงโมโหฮึดฮัด หันกลับไปเห็นอวี่ซือเฟิ่งนั่งอยู่ก็บ่นใส่เขา “เจ้ายังยิ้ม! พูดถึงตำหนักหลีเจ๋ออยู่นะ! คนประหลาดเยอะจริง!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “กฎตำหนักไม่อาจใกล้ชิดสตรีตามอำเภอใจ นับประสาอันใดกับเรื่องวุ่นวายที่เจ้าถามพวกนั้นไม่มีประโยชน์ต่องานชุมนุมปักบุปผาเลย ข่าวที่มีประโยชน์แท้จริง คนไหนเขาจะบอกเจ้ากันเล่า” 

 

 

หลิงหลงโบกสมุดเล่มเล็กในมือ แค่นเสียงฮึกล่าวว่า “ทำไมไร้ประโยชน์! นี่ต้องดูความสามารถแต่ละคนแล้ว คนเขาเชี่ยวชาญอาวุธและกระบวนท่าอะไร ข้าถามมาหมดแล้ว อ้อ!” พูดกันถึงตรงนี้ ลูกตานางพลางกลอกไปมา ยิ้มร่ามองอวี่ซือเฟิ่ง กล่าวว่า “เจ้าก็นับเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อนี่! มา มา มา เผยข่าวหน่อยเป็นไร” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าบอกไม่ถูก แทบอยากจะร้องไห้ ได้แต่กล่าวว่า “รายละเอียดคนที่เข้าร่วม ไม่ว่าผู้ใดข้าก็ไม่กระจ่าง แต่ตำหนักหลีเจ๋อถนัดวิชาตัวเบา กระบวนท่าก็ค่อนข้างแปลก มักคาดเดายาก หากคิดชนะพวกเขา กระบวนท่ากระบี่ก็ต้องเสริมกำลัง ใช้ความแข็งแกร่งเข้าข่ม คิดว่าได้ผล” 

 

 

หลิงหลงมองเขาเป็นนาน ล้วนวาจาเหลวไหล แต่คนผู้นี้แต่ไรมาก็จัดการยาก จะถามต่อไปอีก หากเขาตัดสินใจไม่พูด ถามให้ตายเขาก็ย่อมไม่พูด ได้แต่ล้มเลิกความคิด 

 

 

ปีนี้สำนักเซวียนหยวนไม่ได้มา ศิษย์อายุเหมาะสมสำนักอื่นๆ แม้ว่ามาก แต่ความสามารถน้อยมาก สุดท้ายแต่ละสำนักได้แต่หารือกันลดจำนวนคนลง แต่ละสำนักคัดมาสิบคน จากปกติในหกสิบคนคัดเหลือสี่สิบ เช่นนี้การจัดตารางก็จะไม่แน่นเหมือนเมื่อก่อน ยังมีเวลาชมการประลอง ได้ชมดูความสามารถศิษย์แต่ละสำนัก 

 

 

เช้าพรุ่งนี้การประลองแรกของงานชุมนุมปักบุปผาก็จะเริ่มขึ้น ในพวกเขาสี่คน มีเพียงเสวียนจีเข้าร่วม เดิมมีชื่อจงหมิ่นเหยียน แต่ตอนนี้เขาไม่นับว่าเป็นศิษย์สำนักเส้าหยางแล้ว ดังนั้นจึงถูกคัดชื่อออก 

 

 

แม้กล่าวว่าคนเข้าร่วมคือเสวียนจี แต่คนที่เคร่งเครียดกลับเป็นหลิงหลง ทั้งคืนเอาแต่พร่ำบ่นไม่หยุด กลัวนางแพ้ กลัวนางบาดเจ็บ แทบอยากจะพาตนเองขึ้นสนามประลองกับนาง เสวียนจีฟังจนแทบสัปหงก พยักหน้าหงึกๆ มึนงงไปหมด 

 

 

กว่าจะรอให้นางพล่ามบ่นจนเหนื่อยกลับไปนอนได้ เสวียนจีจึงได้ถอนหายใจโล่งอก กำลังจะล้างหน้าขึ้นเตียงนอน พลันได้ยินมีคนมาเคาะประตู นางคิดว่าหลิงหลงจะมารายงานข่าวลับอะไรอีก สมองพลันบวมขึ้นสามเท่า ไม่อยากจะเดินไปเปิดประตูเลย แต่กลับเป็นฉู่เหล่ยมายืนหน้าห้อง 

 

 

“ท่านพ่อ?” เสวียนจีอึ้งไป รีบเบี่ยงตัวหลบให้ “ท่านพ่อ เชิญเข้ามา” 

 

 

ฉู่เหล่ยส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เข้าไปแล้ว มาบอกเจ้าสองสามคำ เจ้ารีบพักผ่อน แม้ว่างานนี้ให้ใช้สัตว์ภูต แต่สัตว์ภูตเจ้าน่าตกใจจริง หวังว่าเจ้าอย่าใช้เขา ไม่เช่นนั้นอาจการเกิดบาดเจ็บกันได้” 

 

 

เสวียนจีรับปากทันที “ได้ เดิมข้าก็ไม่คิดใช้มกร เขาคงไม่ช่วยข้า” เขาเอาแต่คอยถ่วงข้า 

 

 

ฉู่เหล่ยกล่าวอีกว่า “เสวียนจี เจ้าลูกคนนี้…ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเจ้ามีเรื่องประหลาดมากมายเช่นนี้ ไม่เพียงใช้กระบี่เปิงอวี้ ยังได้มกรเป็นสัตว์ภูต ตอนนี้สายตาเจ้าคงไม่หยุดที่งานชุมนุมปักบุปผา ข้ามาครั้งนี้ไม่ได้ต้องการมาเตือนให้เจ้าทุ่มเทให้เต็มที่ เจ้าต้องเข้าใจก่อนว่างานชุมนุมปักบุปผาไม่ใช่งานประลองเอาเป็นเอาตาย เพียงแค่ประลองฝีมือ ข้าหวังว่าเจ้าจะคุมพลังตน อย่าได้หุนหันพลันแล่นจนเกิดความผิดพลาดใหญ่” 

 

 

ที่แท้เขากลัวเสวียนจีคิดแต่จะเอาชนะ เจอคู่ต่อสู้ที่ไม่ยอมลงให้ก็จะลงมือหนักเช่นอูถงครั้งก่อนที่อยากชนะจนใช้ยันต์คาถาต้องห้าม ปรากฏกลายเป็นเป้าของทุกคนไป 

 

 

เสวียนจีเดิมคิดว่าท่านพ่อมาเพื่อสอนสั่ง คิดไม่ถึงเขาถึงกับมาเตือนตนเองอย่าลงมือหนักไป ตะลึงเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “คือว่า…ท่านพ่อวางใจ ข้าต้องเชื่อฟังท่านแน่นอน” 

 

 

ฉู่เหล่ยพยักหน้า ครู่หนึ่งก็ยิ้มเล็กน้อย กล่าวอ่อนโยนว่า “งานชุมนุมปักบุปผาครั้งก่อน เจ้ายังเป็นเด็กน้อย พ่อคิดไม่ถึงเลย คนที่มีความสามารถที่สุดจะเป็นเจ้า ยังจำตอนเด็กที่เจ้าทำให้คนต้องปวดหัวอยู่ร่ำไปไหม?” 

 

 

เสวียนจีหน้าแดง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เรื่องตอนเด็ก ท่านพ่อเอ่ยถึงอีกทำไมกันเล่า คำว่ามีความสามารถที่สุด ข้าไม่บังอาจรับไว้” 

 

 

ฉู่เหล่ยถอนหายใจยกมือไพล่หลัง ก้าวเดินไปสองก้าว กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เสวียนจี คืนก่อนที่ท่านแม่เจ้าคลอดเจ้ากับหลิงหลง ข้าฝันว่า เหมือนกับมีเทพเซียนโยนไข่มุกล้ำค่ามาให้ ข้ามองไข่มุกส่องประกายแวววาวงดงาม ลูกกลมๆ น่ารัก ในใจก็ดีใจมาก พอตื่นมา เจ้ากับหลิงหลงก็คลอด ดังนั้นแต่ไรมาข้าจึงคิดว่าเจ้าทั้งสองคนต้องประสบความสำเร็จในวันหน้าแน่นอน ต้องไม่ใช่คนธรรมดา ตอนเด็กเจ้าเอาแต่ขี้เกียจเกินคนปกติ ทำเอาปวดหัวมาก หลิงหลงกลับชอบเรียนรู้ กล่าวตามตรง พ่อกับท่านแม่เจ้าเคยคิดว่าหลิงหลงต้องมีความสามารถที่สุด ดังนั้นแต่เล็กจึงรักนางมากกว่าหน่อย หลงลืมเจ้าไป เจ้า…ในใจเคยโกรธท่านพ่อกับท่านแม่ไหม” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “หากกล่าวว่าไม่ ท่านพ่อต้องคิดว่าข้าเสแสร้ง แต่กล่าวตามจริง แต่ไรมาข้าไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลย เหอะๆ ราวกับไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ ท่านพ่อจะคิดว่าข้าไม่ใส่ใจหรือไม่” 

 

 

ฉู่เหล่ยถอนหายใจ กล่าวว่า “คนมากปัญญาส่วนใหญ่มักมีนิสัยประหลาด เหอหยางเคยเตือนข้า แต่ข้าเพิ่งเข้าใจในไม่กี่ปีมานี้เอง เสวียนจี เจ้า…เคยรู้สึกตนเองมีอะไรไม่เหมือนคนอื่นไหม” 

 

 

เสวียนจีตกใจยิ่ง ยังคิดว่าเขารู้ถึงชาติก่อนตนเอง พลันวุ่นวายใจ หากพวกเขารู้ จะไม่ออกห่างจากนางหรือ จะเห็นนางเป็นสัตว์ประหลาดไหม จากนี้ไปก็จะเหินห่าง ไม่สนนางอีก? 

 

 

ฉู่เหล่ยกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นเจ้าใช้กระบี่เปิงอวี้ได้ดังใจ สยบสัตว์เทพได้ คิดว่าต้องมีอะไรที่เหนือผู้คน แม้ว่าพ่อเห็นเจ้าเติบโตมาแต่เด็ก แต่ไม่เข้าใจเรื่องของเจ้าแม้แต่น้อย” 

 

 

เขาหันกลับไปเห็นสีหน้าเสวียนจีซีดเผือด เป็นนานนางจึงได้กล่าวน้ำเสียงสั่นว่า “ข้า…ข้าไม่ได้มีอะไรไม่เหมือน…กับทุกคน…” 

 

 

ฉู่เหล่ยยิ้มกล่าวว่า “เจ้าลูกคนนี้ มีอะไรปิดบังพ่อหรือ” 

 

 

เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ไม่มี! ไม่มีอะไรไม่เหมือนจริงๆ!” 

 

 

ฉู่เหล่ยตบไหล่ปลอบนางเบาๆ กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เอาเถอะ เจ้าพักผ่อนเร็วหน่อย พรุ่งนี้เช้ายังต้องไปจับสลาก อย่าสายล่ะ” เขาหันกายเดินออกไปไกล เสวียนจีเหม่อมองตามแผ่นหลังเขาไป พลันกุมศีรษะคิดหนัก ท่านพ่อถามเช่นนี้ นางจะนอนหลับได้อย่างไร?! แย่แล้ว! ท่านพ่อค้นพบอะไรหรือไม่ นางไม่ควรนำมกรมาด้วย หรือว่าไม่ควรใช้กระบี่เปิงอวี้? 

 

 

นางคิดวุ่นวายทั้งคืน จนกระทั่งนอกหน้าต่างมีแสงยามเช้าลอดเข้ามาจึงได้ผล็อยหลับไป ไม่นานก็ถูกหลิงหลงที่ตื่นเต้นมากเข้ามาลากขึ้นมาล้างหน้า นัยน์ตาแดงก่ำรีบไปจับสลาก  

 

 

ลานประลองมีคนออกันอยู่เต็ม ในที่สุดตงฟางชิงฉีก็ปลดคำสั่งห้ามคนที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นเกาะ ให้บรรดาศิษย์นำแขกที่มาเยือนรายงานชื่อและสำนักมาก่อนจะแบ่งกันพาขึ้นเกาะฝูอวี้ คิดไม่ถึงพองานประลองเริ่มขึ้น ลานประลองก็เต็มแน่นไปด้วยผู้คน 

 

 

กฎเดิม ตงฟางชิงฉีกล่าววาจาเปิดงานตามมารยาทด้วยเสียงก้องกังวาน ตามมาด้วยเสียงกลองหนังขุยสี่ทิศดังกระหึ่ม ศิษย์เข้าร่วมการประลองสี่สิบคนก็ออกมาจับสลากจากกล่องไม้ จากนั้นก็ไปลงแจ้งลำดับเลขที่เจ้าหุบเขาหรง 

 

 

เสวียนจีฝืนอาการอยากหาวหวอดของตนเอาไว้ จับสลากใบหนึ่งออกมาได้ก็พลิกดู ‘สี่’ นางส่งกระดาษให้ฉู่อิ่งหง นางดูไปมาไม่มีผิดพลาด จึงได้ส่งต่อให้เจ้าหุบเขาหรงลงบันทึกในสมุด ฉู่อิ่งหงมองตาแดงก่ำของเสวียนจีท่าทางเหนื่อยล้ามาก อดกล่าวเบาๆ ไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือ” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า ยังไม่ทันได้พูด พลันได้ยินด้านหลังมีคนหนึ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า ‘สาม’ 

 

 

เป็นครั้งแรกที่การประลองงานชุมนุมปักบุปผาใช้การจัดลำดับประลองตามเลข หนึ่งประลองกับสอง สามประลองกับสี่ ไล่กันไปตามลำดับ พอเสวียนจีได้ยินว่าคู่ต่อสู้ตนเองปรากฏชื่อแล้ว ก็หันกลับไปมอง เห็นชุดน้ำเงิน คนผู้นั้นร่างสูงผอม ถึงกับเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ตู้หมิ่นหัง  

 

 

“อา ศิษย์พี่ใหญ่!” เสวียนจีก็ไม่รู้ว่าควรดีใจหรืออึดอัด ทำไมการประลองแรกจึงเป็นคนกันเองได้ อย่างนั้นนางควรจะยอมแพ้เขาดีไหมนะ หรือว่าอย่าปล่อยอัคคีสมาธิจิต ยอมให้เขา ช่วยให้เขาชนะรอบแรกดี? 

 

 

ตู้หมิ่นหังหันกลับมายิ้มให้นางเล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คู่ต่อสู้ข้าถึงกับเป็นศิษย์น้องเล็ก คิดไม่ถึงจริงๆ” 

 

 

เสวียนจีพึมพำกล่าวว่า “ขอศิษย์พี่ใหญ่เมตตา…ศิษย์พี่ ศิษย์พี่อย่าได้ยอมเมตตาข้าจริงๆ นะ” 

 

 

วาจานี้ราวเด็กน้อย ทุกคนโดยรอบพากันหัวเราะ ตู้หมิ่นหังเองก็ยิ้มกล่าวว่า “การประลองไร้ญาติไร้มิตร ศิษย์น้องเล็กเองก็อย่าได้ยอมเมตตาล่ะ” พูดไปก็ลูบศีรษะนางเบาๆ เหมือนเมื่อก่อน ก่อนจะหันหลังเดินออกไป 

 

 

เสวียนจีอดไล่ตามไปไม่ได้ กล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ระยะนี้ท่านทำไมไม่สนข้า ข้าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจหรือ” 

 

 

ตู้หมิ่นหังก้มหน้ายิ้มเล็กน้อย กล่าวอ่อนโยนว่า “ที่ไหนกัน ศิษย์พี่ใหญ่เพิ่งออกจากกักตน เจ้าก็เพิ่งกลับเส้าหยาง ไม่มีโอกาสได้เจอกันเท่านั้น” กล่าวจบ เขาพลันก็หันหน้าไปมองหอไม้ใหญ่โดยรอบ ในกลุ่มคนนั้น อวี่ซือเฟิ่งโดดเด่นที่สุด ท่าทางองอาจสง่างามที่สุด ทำให้บรรดาสตรีต่างมองกันหน้าแดง เขายิ้มบางมองมายังเสวียนจีคนเดียว ตู้หมิ่นหังหลุบตาลงกล่าวว่า “เจ้าโตแล้ว ไม่ต้องการศิษย์พี่ใหญ่คอยดูแลเหมือนตอนเป็นเด็กแล้ว ย่อมมีคนที่ดีกว่ามาคอยเป็นห่วงเจ้าแทน” 

 

 

วาจากล่าวได้แยบคายมาก เสวียนจีไม่รู้ควรกล่าวตอบอย่างไร ได้แต่อึ้งมองเดินจากไป 

 

 

บนหอไม้โดยรอบ หลิงหลงร้องดังขึ้นว่า “เสวียนจี! อยู่นี่! พวกเรามาให้กำลังใจเจ้า! อย่าแพ้นะ!” เสวียนจีหันกลับไปโบกมือให้พวกเขา พลันได้ยินอาวุโสเหิงซงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงกล่าวเสียงกังวานขึ้นว่า “งานชุมนุมปักบุปผาเริ่มแล้ว หนึ่ง สอง ไปเวทีตะวันออก สาม สี่ ไปเวทีตะวันตก…” 

 

 

พอเสวียนจีได้ยินว่าเรียกตนเองก็รีบกระตือรือร้นเหินกระบี่ขึ้นไป พริบตาก็ขึ้นมาอยู่บนเสาศิลายักษ์ทางตะวันตก ตู้หมิ่นหังก็ยืนอยู่ตรงข้าม ข้างๆ ก็คืออาวุโสซ่งแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงที่เป็นกรรมการการประลองนี้ 

 

 

เสาศิลายักษ์สูงราวร้อยจั้ง กลุ่มเมฆลอยละเลียดอยู่เหนือศีรษะราวกับเอื้อมมือก็แตะถึง ผมกับเสื้อผ้าเสวียนจีโบกสะบัดม้วนไปมาส่งเสียงดังอยู่ขอบเวทีสูงดังดอกบัวที่กำลังโลดเต้น ราวกับจะถูกลมพัดปลิวได้ตลอดเวลา 

 

 

ความงดงามที่ดูน่าทะนุถนอมเช่นนี้ ราวกับเข็มทิ่มแทงตาตู้หมิ่นหัง ในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้ แอบก้มหน้าลง ในใจรู้สึกบอกไม่ถูก ภาพตอนเด็กของนางแต่ละภาพลอยเข้าสู่ห้วงความคิดเขาราวกับสายน้ำไหลออกทะเล เพียงชั่วพริบตาที่เขาละเลยนาง ผู้ใดจะรู้ว่าจากนั้นจะสูญเสียนางไปอย่างแท้จริง ไม่อาจเรียกกลับคืนมาอีกแล้ว เด็กหญิงที่เอาแต่กอดแขนเสื้อขี้อ้อน ร้องเรียกตนเองน้ำเสียงออดอ้อนว่าศิษย์พี่ใหญ่ เขาได้สูญเสียไปแล้ว 

 

 

นักพรตซ่งเสียงก้องกังวานกล่าวว่า “ฟังสัญญาณจากข้า การประลองเริ่มได้!” 

 

 

วาจากล่าวจบ ชิ้ง เสวียนจีชักกระบี่เปิงอวี้ ออกมา พลางลูบคมกระบี่มองเขาระยะไกล ทั้งสองไม่ว่าผู้ใดก็ไม่คิดลงมือก่อน