ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 31 งานประลอง (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้ายังจำตอนเด็กที่ศิษย์พี่ใหญ่ฝึกกระบี่กับเจ้าได้ไหม” ตู้หมิ่นหังพลันเอ่ยขึ้น เขายังไม่ได้ชักอาวุธออกมา และยังไม่ได้ตั้งกระบวนท่า เอาแต่ยืนนิ่งเงียบตรงข้ามนาง สีหน้าแย้มยิ้มราวกับเขาไม่ได้มาประลอง แต่มาคุยเล่นกับนาง 

 

 

เสวียนจีอดนึกถึงเรื่องราวเฝื่อนขมในวัยเด็กเหล่านั้นไม่ได้ ตอนนั้นท่านพ่อโมโหกับท่าทีไม่เอาไหนของนางอย่างมาก ท่านพ่อกับท่านแม่คอยสนใจแต่การดูแลสอนสั่งหลิงหลง ไม่มีใครสนใจนาง มีแต่ศิษย์พี่ใหญ่ที่ยอมมาลองกระบวนท่ากับนาง ไม่ว่ากระบี่นางหล่นสักกี่ครั้ง ไม่ว่านางขี้เกียจสักเท่าไร ตู้หมิ่นหังก็ยังคงมีรอยยิ้มบาง ไม่โมโห มีแต่วาจาปลอบใจอ่อนโยน 

 

 

กล่าวตามตรง ความอ่อนโยนเช่นนี้ของเขาไม่เหมือนกับศิษย์รุ่นพี่คนอื่น สุดท้ายตอนนางไปยอดเขาเสี่ยวหยาง ไม่เป็นอะไรสักอย่าง ต้องเริ่มแต่ต้น มีเพียงเขาที่เป็นความงดงามวัยเด็กของนางเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีคนสนใจฉู่เสวียนจี แม้แต่ในสายตาท่านพ่อและท่านแม่ก็ล้วนมีเพียงหลิงหลง คนที่ทำให้นางรู้ถึงความสำคัญของการมีอยู่ของฉู่เสวียนจีก็คือเขาคนเดียว 

 

 

คิดถึงตรงนี้ ในใจเสวียนจีอดรู้สึกอบอุ่นไม่ได้ ลดกระบี่เปิงอวี้ลง กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ชั่วชีวิตข้าไม่อาจลืมศิษย์พี่ใหญ่ที่ดีกับข้ามาตลอด” 

 

 

ตู้หมิ่นหังกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าก็ไม่ได้นับว่าดีกับเจ้าเท่าไร ข้าก็แค่คนเห็นแก่ตัวมากคนหนึ่ง ละเลยเจ้าเพื่อการบำเพ็ญเพียรของตน ยามนี้เจ้าประสบความสำเร็จแล้ว ยืนอยู่คนละฝั่งเวทีเดียวกันกับข้า ในใจศิษย์พี่ใหญ่ทั้งชื่นชมและรู้สึกเสียใจกับที่ผ่านมา” 

 

 

เสวียนจีพึมพำกล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่…ข้า ข้าคิดถึงท่านมาตลอด เหตุใดระยะนี้ท่านจึงไม่สนใจข้าแล้ว” 

 

 

ตู้หมิ่นหังยิ้มเฝื่อนไม่ตอบ นักพรตเจียงข้างๆ เอ่ยเตือน “การประลองเริ่มแล้ว อย่าพูดจากันอีก!” 

 

 

ตู้หมิ่นหังชักกระบี่ออกมา ประสานมือกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก เริ่ม” วาจากล่าวจบ ก็เปลี่ยนกระบวนท่ากระบี่มุ่งตรงไปยังเบื้องหน้านาง นี่คือกระบวนท่าแรกของวิชากระบี่เหยาหวา เรียบง่ายไม่แปลกตา เสวียนจีรับมือง่ายดาย โต้ตอบกระบวนท่าที่สองไปตามสัญชาตญาณ คมกระบี่แทงเข้าที่หัวไหล่เขา ตู้หมิ่นหังหันหลังหลบ สะบัดชายเสื้อ คมกระบี่แทงไปที่ข้อมือนางเบาๆ กระบวนท่าที่สาม 

 

 

เทียบกับอีกสามเวทีที่ประลองกันดุเดือดเลือดพล่าน ทางเสวียนจีเหมือนว่ากำลังลองกระบวนท่าอ่อนโยนโดยแท้ เหมือนกำลังฝึกวิชากระบี่เหยาหวาจากต้นจนจบ จากจบมาเริ่มใหม่อีก เป็นครั้งแรกที่นักพรตเจียงได้ดูการประลองเช่นนี้ เท่ากับไม่ได้ประลอง พวกเขาไม่ได้ประลองกัน แค่ลองกระบวนท่า เขาลอบถอนใจ ไม่รู้เด็กสองคนนี้คิดอะไรในใจกันแน่ เห็นงานชุมนุมปักบุปผาเป็นอะไร 

 

 

พอวิชากระบี่เหยาหวาถึงกระบวนที่สาม ตู้หมิ่นหังพลันกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ระวัง!” กระบี่พลันแปรเปลี่ยน พุ่งแทงไปสองสามทีราวกับงูฉก พริบตาก็รุนแรงขึ้นมา แทงเข้าจุดสำคัญของเสวียนจี กระบวนกระบี่ไร้กลิ่นอายสังหาร เขากำลังลองพละกำลังแท้จริงของนาง! เสวียนจีแตะปลายเท้าสะอึกถอยไปหลายก้าว ไม่คิดปะทะโดยตรงกับเขา ผู้ใดจะรู้ว่ากระบี่เขากลับไม่ลดละ เจ้าไม่ออกกระบวนท่า ข้าก็ไม่หยุด 

 

 

นางถูกจู่โจมจนไร้หนทาง ได้แต่ยกกระบี่เปิงอวี้ขึ้นทำท่าจะฟัน แต่ก็แสร้งทำท่าเท่านั้น ก่อนจะถอยหนี ผู้ใดจะรู้ว่ากระบี่เขาไม่ถอย กลับจู่โจมต่อ เสวียนจีถอยช้าไปก้าว ได้ยินเสียง แควก แขนเสื้อถูกเขากรีดขาด เรียวแขนราวหิมะของนางในยามนั้นเผยออกมาเกือบทั้งแขน ทั้งสองต่างตะลึงงัน ได้ยินเสียงคนบนหอไม้โดยรอบพากันส่งเสียงดัง เสียงใสแจ๋วของหลิงหลงตะโกนดังสุดว่า “ขี้โกงๆ! ศิษย์พี่ใหญ่ทำไมฉีกเสื้อคนอื่นเขา?!” 

 

 

ตู้หมิ่นหังหน้าแดง ลดกระบี่ลงกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่เป็นไรใช่ไหม” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า เก็บแขนเสื้อที่ขาดมาพันปิดดังเดิม ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร สู้ต่อเถอะ” 

 

 

ท่าทีพวกเขาทำเอานักพรตเจียงทนไม่ไหวแล้ว จึงตะโกนดังว่า “พวกเจ้าสองคนทำอะไร! นี่งานชุมนุมปักบุปผา ไม่ใช่ลานฝึกยุทธ์บ้านเจ้า! ไม่ต้องแตกตื่นตกใจกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้!” 

 

 

ทั้งสองถูกว่าเช่นนี้ ก็เริ่มตั้งใจกันอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ต้นใหม่ หากกล่าวถึงกระบวนท่ากระบี่ สองเสวียนจีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ตู้หมิ่นหัง ก่อนหน้าเห็นชัดว่าเขาออมมือให้ หากแสดงความสามารถจริงๆ เสวียนจีก็คงได้แต่รับกระบวนท่าแล้ว อย่างไรนางก็ไม่อาจใช้ความสามารถที่ไว้รับมือศัตรูมาใช้กับตู้หมิ่นหัง เห็นเขาค่อยๆ บีบบังคับนาง นางถอยไปสุดขอบเวที ไม่มีทางถอยแล้ว เสวียนจีลังเลว่ายอมแพ้ดีไหม พลันเห็นแสงวูบมาตรงหน้า กระบี่ในมือเขาวาดผ่านลำคอนางอย่างไม่ไว้น้ำใจ 

 

 

หากนางไม่รับมืออีกก็ย่อมมีภัยถึงชีวิต หากจะหลบ…ก็ได้แต่กระโดดลงเวที แสงวูบตรงหน้าทำให้นางตัดสินใจได้ในทันที แตะปลายเท้าถอยหลัง คิดจะโดดลงจากเสาศิลา ผู้ใดจะรู้ว่ากระบี่เปิงอวี้ในมือถึงกับสั่นรุนแรงเปล่งเสียงดังวิ้งราวกับอยากออกโลดเต้น 

 

 

ใต้คางสัมผัสได้ถึงคมเย็นเยียบของกระบี่ เสวียนจียกมือขึ้นรับด้วยสัญชาตญาณ เสียง เช้ง ดังขึ้น กระบี่ในมือตู้หมิ่นหังถูกนางฟันหักสองท่อน ทั้งสองอึ้งไปทันที ตู้หมิ่นหังสีหน้าซีดเผือด ยกมือโยนกระบี่หักลงพื้น ถอยหลังสองก้าวประสานมือกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็กยอมอ่อนข้อให้แล้ว ข้าแพ้แล้ว” 

 

 

“อา…” เสวียนจีงุนงงสับสน อ้าปากค้างอย่างไม่ทันตั้งตัว 

 

 

นางชนะได้อย่างไร ชนะเช่นนี้หรือ น่าแปลก…เดิมนางคิดจะยอมแพ้! ทำไมไปฟันกระบี่เขาหักได้ 

 

 

นางเห็นตู้หมิ่นหังจะเหินกระบี่ลงจากเสาศิลา ก็รีบร้องตะโกนขึ้นว่า“ศิษย์พี่ใหญ่! ข้า…ข้าไม่ได้…” 

 

 

ตู้หมิ่นหังได้ยินเสียงตะโกนนางตอนกระโดดออกไปแล้ว จึงหันกลับไปยิ้มให้นางเล็กน้อย โบกมือกล่าวอ่อนโยนว่า “ตอนนี้เจ้าร้ายกาจเช่นนี้แล้ว ไม่มีคนรังแกเจ้าได้อีกแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ดีใจมาก” กล่าวจบก็ไม่หันกลับมามองอีก เหินกระบี่ลงไปทันที เสวียนจีไล่ตามไป เห็นเพียงชุดน้ำเงินเขาวูบไหวไกลๆ ก่อนจะลงสู่พื้น 

 

 

ผู้ใดบอกว่าไม่ให้นางยอมเมตตาอ่อนข้อ แล้วสุดท้ายเป็นเขาที่ยอมอ่อนข้อให้นางหรือ เสวียนจีอึ้ง ตามลงมาจากเสาศิลา หลิงหลงมารออยู่ด้านล่างนานแล้วด้วยอาการดีใจแทบคลั่ง ตรงเข้ากอดนางตะโกนแสดงความยินดี อวี่ซือเฟิ่งเดินมาด้านหลัง มองเสวียนจีพลางยิ้มประสานมือยินดีกับนาง 

 

 

“ข้า…ข้ารู้สึกตนเองชนะได้แปลกมาก” เสวียนจีพึมพำขึ้น “เห็นๆ ว่ากระบวนท่านั้นศิษย์พี่ใหญ่ชนะ ไม่รู้ทำอีท่าไหน ข้าจึงรับไว้ได้ กระบี่เขาถึงกับหัก หากดูจากกระบวนท่า เป็นข้าที่แพ้แน่นอน…” 

 

 

แต่ไรมาหลิงหลงช่วยญาติไม่ช่วยคนนอก ก็ยู่ปากร้องดังขึ้นว่า “เจ้าคิดมากมายทำไมกัน! อย่างไรก็เป็นเจ้าชนะแล้ว! ผู้ใดไม่ยอมรับ การประลองพรุ่งนี้เจ้าก็ใช้พลังเต็มที่สิ สยบพวกเขา!” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “ข้า…แต่ไรมาก็ใช้ความสามารถเต็มที่นะ” 

 

 

หลิงหลงไหนเลยจะสนใจว่านางพูดอะไร ผลักนางเข้าไปในกลุ่มสำนักเส้าหยาง ส่งเสียงหัวเราะยินดี ตู้หมิ่นหังก้มหน้ากล่าวกับฉู่เหล่ยสองสามวาจา ก่อนหันไปมองเสวียนจีและผละจากไปเงียบๆ เสวียนจีจ้องมองแผ่นหลังเขานิ่งอึ้ง ในใจพลันมีความรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกที่แม้แต่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม 

 

 

ฉู่เหล่ยเดินเข้ามากล่าวว่า “เสวียนจี เจ้าชนะการประลองแรก อย่าประมาทไป ต่อไปมีอีกหลายรอบ” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อ ศิษย์พี่ใหญ่ออมมือให้ข้า ข้าชนะไม่มีศักดิ์ศรี” 

 

 

หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าทำไมยังหัวทื่อขนาดนี้นะ?! หากเจ้าไร้สามารถ จะทำกระบี่เขาหักสองท่อนได้หรือ เจ้าไปเรียกใครที่ไหนมาก็ได้ ดูว่าทำกระบี่หักสองท่อนได้ไหม” 

 

 

ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าไม่ต้องคิดมาก หมิ่นหังบอกแล้ว เขาทุ่มเทความสามารถทั้งหมดแล้ว แต่ไม่อาจสยบเจ้าในห้าสิบกระบวนท่าได้ ความก้าวหน้าของเจ้าทำให้เขาตกใจมาก กระบวนท่าสุดท้ายถึงกับยังหักกระบี่เขาเป็นสองท่อนได้อีก ก่อนหน้าเห็นเจ้าเอาแต่ยอมอ่อนข้อให้ เจ้าทำเช่นนี้ เขาเป็นศิษย์พี่ จะกล้าชนะเจ้าได้อย่างไร” 

 

 

เสวียนจีไร้วาจาจะกล่าว สุดท้ายได้แต่พยักหน้า ยอมรับว่าตนเองชนะรอบแรก 

 

 

“เจ้าอย่ารีบไป อยู่รอดูศิษย์คนอื่นประลองก่อน อย่าได้ดูแคลนคู่ต่อสู้” ฉู่เหล่ยกำชับก่อนเดินออกไป เขาเป็นคนตัดสินการประลองรอบถัดไปของเวทีตะวันออก 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งมองเสวียนจีนั่งอยู่แถวท้ายสุดคนเดียว ด้านหน้ามีศิษย์อายุน้อยสำนักเส้าหยางมากมายกำลังคุยไปหัวเราะไป นางราวกับไม่ได้ตั้งใจฟัง ท่าทางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อดแอบไปนั่งข้างนางไม่ได้ กุมมือนางไว้ถามเบาๆ ว่า “กำลังคิดอะไรอยู่” 

 

 

เสวียนจีกล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ต้องเตรียมตัวมากมายเพื่องานชุมนุมปักบุปผาแน่ แต่ทำไมพอเจอกับข้า ก็ทำให้เขาต้องสูญเสียความพยายามมากมายที่เคยบากบั่นมาด้วย” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้ม กล่าวว่า “พูดได้มีเหตุผล แต่ที่ทำให้เขาต้องสูญเสียความพยายามไม่ใช่เพราะเจ้าชนะ แต่เป็นเพราะเจ้าไม่เคารพเขา” 

 

 

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ข้าไม่เคารพเขาตรงไหน” 

 

 

“นี่คือการประลองอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น เจ้ากลับไม่มองเขาเป็นคู่ต่อสู้ตั้งแต่เริ่มแรกจนจบการประลอง เอาแต่ยอมอ่อนให้ เช่นนี้เขาชนะแล้วมีความหมายใด ใช่ว่าทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะหรืออาจารย์เคยกล่าวว่า แม้แค่ประลองฝีมือก็ต้องให้ความเคารพคู่ต่อสู้ ที่เรียกว่าเคารพก็คือทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่เจ้ามีออกไปประลอง ในสนามประลอง คำว่ายอมให้กันในลานประลองก็เหมือนการไม่ให้ความเคารพคู่ต่อสู้อย่างที่สุด” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่เสวียนจีได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ อดตะลึงไปไม่ได้ เป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “เพราะข้ายอมให้ศิษย์พี่ใหญ่ ดังนั้นเขาจึงได้ยอมแพ้หรือ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งลูบศีรษะนางกล่าวว่า “ในเมื่อผ่านไปแล้ว คิดไปก็ไม่มีความหมาย วันหน้าหากต้องประลองอีก เจ้าก็ต้องทุ่มเทความสามารถทั้งหมด เข้าใจไหม” 

 

 

เสวียนจีลูบจมูกตนเองกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ความสามารถ…หมายถึงมกรหรือ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งตะลึงงัน ทั้งสองนึกอะไรขึ้นมาได้ หันกลับไปมอง เห็นมกรนั่งอยู่บนราวหอไม้ข้างเวทีกินเอากินเอาราวกับไม่มีคนอยู่ เขาหลุดหัวเราะ กระซิบเบาๆ ว่า “ไม่เลว เจ้าปล่อยเขาออกมา เพียงแค่พลังการกิน ทุกคนก็ยอมแพ้แล้ว” 

 

 

ในที่สุดเขาก็ทำให้เสวียนจีหัวเราะคิกคักอีกครั้ง หลิงหลงได้ยินเสียงหัวเราะนาง ก็รีบเขยิบเข้ามาใกล้ถามว่า “ทำไม มีอะไรสนุกหรือ เจ้าหัวเราะอะไร” 

 

 

ขณะที่พูดนั้น ฉู่เหล่ยก็ขึ้นไปทางเวทีตะวันออกแล้ว การประลองนี้เป็นการประลองระหว่างศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงกับศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ หลิงหลงมองศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่บนเวที สวมชุดขาวไม่เก่าไม่ใหม่ ผมปล่อยสยายระอยู่ที่เอว มองดูไม่เรียบร้อย อดเขยิบไปใกล้ถามอวี่ซือเฟิ่งไม่ได้ “นี่ คนผู้นี้คือใคร เขาร้ายกาจไหม” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าก็ไม่เคยเห็นคนนี้มก่อน” แปลกมาก ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋ออายุน้อยมีคนผู้นี้ด้วยหรือ ตามกฎแล้ว ศิษย์อายุน้อยต้องสวมชุดครามแขวนป้ายสีที่เอว แต่คนผู้นี้แม้ว่าสีเสื้อยังขาว ยังไม่แขวนป้ายที่เอว นอกจากหน้ากากอสุราแล้ว ดูอย่างไรเขาก็ไม่หมือนคนตำหนักหลีเจ๋อ  

 

 

เขามองไปทางกลุ่มศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ รองเจ้าตำหนักนั่งอยู่บนหอไม้สูงด้านหน้า ท่าทางสบายอารมณ์ ไม่สนใจการแต่งกายคนผู้นั้น 

 

 

ฉู่เหล่ยให้สัญญาณ ศิษย์ทั้งสองเริ่มประลอง ทุกคนมองกระบวนท่าศิษย์สองคนก็ดูธรรมดา ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเท่าไร มองดูอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเบื่อ หันไปคุยเล่นกันแทน หลิงหลงกำลังจะเทียบกับงานชุมนุมปักบุปผาครั้งก่อน ก็พลันได้ยินถิงหนูข้างๆ อุทานขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่ได้การ! คนผู้นั้นอันตราย!” 

 

 

ทุกคนพากันอึ้งมองไปทางทิศทางเสียงดังมาจากทางเวทีตะวันออก เสียง ตึง ก้องกัมปนาทขึ้นเสียงหนึ่ง ราวกับระเบิด ฝุ่นฟุ้งกระจาย ฝุ่นหมอกควันคละคลุ้งปกคลุมหนา ราวกับยักษ์ใหญ่กำลังคืบคลานมา พลันยืดตัวยาวยกตัวขึ้นสลัดฝุ่นออก เกล็ดแดงฉานกระทบแสงตะวันวูบไหว 

 

 

งูเหลือมยักษ์! 

 

 

“สัตว์ภูตผู้ใด?! ตัวใหญ่มาก!” จงหมิ่นเหยียนตกใจร้องเสียงหลง อวี่ซือเฟิ่งพลันลุกขึ้นจ้องมองการเคลื่อนไหวบนเวทีตาไม่กะพริบ เห็นงูเหลือมยักษ์แดงฉานส่ายหัวส่ายหาง ขนาดสูงราวคนสิบกว่าคน งูชอบที่เย็นชื้น โดยเฉพาะสัตว์ภูตพวกนี้ ไม่ชอบแสงตะวันที่สุด เห็นชัดว่าเจ้างูเหลือมยักษ์นี่พอถูกแสงแดดสาดส่องเข้าก็รู้สึกไม่ชอบใจอย่างยิ่ง บิดตัวอ้าปากแยกเขี้ยว เขี้ยวโง้งสองเขี้ยววาววับ แลบลิ้นฉกไปมา ไม่สงบเสงี่ยมเอาเสียเลย 

 

 

ฝุ่นควันบนเวทีค่อยๆ จางหายไป เสียงดังเอะอะโดยรอบก็ค่อยๆ เงียบลง ทุกคนจับจ้องเห็นเพียงศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อผู้นั้นยกสองมือขึ้นท่วงท่าประหลาด นิ้วมือทำท่าราวกับคลื่นขึ้นลง ปากก็ผิวทำนองเพลงเสียงเสียดแก้วหู งูเหลือมยักษ์ด้านหลังก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวไปตามบทเพลงและท่วงท่ามือเขา สองตาสองประกายสีทองจ้องมองศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิง เจ้าคนน่าสงสารนั่นถึงกับตกใจนั่งแหมะกับพื้นไม่อาจขยับกายได้นานแล้ว 

 

 

ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อผู้นั้นพลันดีดนิ้วมือ เสียงกระทบโสตประสาท อวี่ซือเฟิ่งตกใจกล่าวว่า “เขาให้สัตว์ภูตจู่โจม! คนผู้นั้นตายแน่!” วาจากล่าวจบ ก็เห็นงูเหลือมยักษ์ ยกหัวสามเหลี่ยมขึ้นสูง ชั่วแสงพริบตา มันอ้าปากกว้างแทบจะกลืนศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงผู้นั้นลงไปอย่างง่ายดายยิ่ง 

 

 

ทุกคนพากันส่งเสียงร้องตกใจ จะช่วยก็ไม่ทันแล้ว แสงหนึ่งพลันวูบขึ้น ได้ยินเสียงฉู่เหล่ยตวาดดัง ก่อนจะโดดเหินไปบังหน้าศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิง น้ำเสียงดุดันตวาดลั่น “ถอยไป! ห้ามสังหารผู้อื่น!”