บทที่ 297 ฟังคำอธิบายจากข้าก่อน
“ท่าไม่ดีแล้วสิ” มู่จินหานเห็นดังนั้นก็รีบละทิ้งหน้าที่การคุ้มครองกล่องกุญแจและกระโดดลอยตัวขึ้นไปหาเยว่เว่ยหยาง
“ไสหัวไปให้พ้น!” เฉาพั่วเถียนเปลี่ยนทิศทางกลางคันหันมาตวัดกระบี่แนวขวาง
คมกระบี่สาดประกายในอากาศ
เคล้ง!
มู่จินหานยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้อง แต่นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉาพั่วเถียน ต่อให้รับกระบี่ได้จริง พลังลมปราณที่แฝงมากับตัวกระบี่นั้นก็ทำให้เด็กสาวลอยกระเด็นไปข้างหลัง มีเลือดไหลทะลักออกมาจากปาก
“พี่ใหญ่!”
“ท่านนักบวชเยว่!”
สมาชิกร่วมกลุ่มอีก 3 คนไม่มีใครสนใจกล่องเก็บกุญแจอีกต่อไป พวกนางผนึกกำลังกันกระโดดตรงเข้าไปหาเฉาพั่วเถียนในอากาศ
“ใครขวางทางข้า พวกมันต้องตายทั้งหมด!”
ใบหน้าของเฉาพั่วเถียนเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง กระบี่ในมือเขาฟาดฟันออกมาอย่างไร้ความปราณี
วูบ!
เขาใช้ออกมา 3 กระบวนท่าติดๆ กัน
แม้ว่าเด็กสาวทั้ง 3 คนจะมีระดับพลังสูงขึ้นจากการรับพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกนางก็ยังไม่ใช่คู่มือของเฉาพั่วเถียนอยู่ดี ทุกคนกระอักเลือดออกมาจากปาก ตัวคนลอยกระเด็นกลับลงไปกระแทกดาดฟ้าเรืออย่างแรง!
“พวกเจ้าแพ้แล้ว”
เฉาพั่วเถียนหมุนตัวในอากาศและฟันกระบี่ไปที่ร่างกายของเยว่เว่ยหยางอีกครั้ง
เยว่เว่ยหยางไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะช่วยเหลือตนเองได้เลย
แต่ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น ปีกกระบี่ที่อยู่บนแผ่นหลังของนางกลับปล่อยพลังลมปราณออกมาหนาแน่น เกิดเป็นม่านพลังห่อหุ้มลำตัวเยว่เว่ยหยางเอาไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
เปรี้ยง!
เฉาพั่วเถียนโจมตีด้วยกระบวนท่าที่หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ กระบี่ในมือของเขาฟาดฟันใส่ม่านพลังรอบลำตัวเยว่เว่ยหยางต่อเนื่องไม่หยุด และในที่สุด มันก็ทำให้ม่านพลังของนักบวชสาวแตกสลายลงไปกับตา
ความโกรธแค้นในแววตาของเฉาพั่วเถียนเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
เขายังไม่หยุดมือ เฉาพั่วเถียนแทงกระบี่เข้าใส่หัวใจของเยว่เว่ยหยาง ซึ่งไม่สามารถปกป้องตนเองได้อีกแล้ว
พวกของหลินอี้เบิกตาโตด้วยความตื่นกลัว
นี่เฉาพั่วเถียนคิดจะฆ่ากันเลยหรือ?
เมื่อทุกคนคิดจะห้ามปรามก็ไม่ทันเสียแล้ว
บริเวณท่าเรือ บรรดาคนดูและคณะอาจารย์ที่รับชมการถ่ายทอดสดต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน
ในดวงตาของไป๋ไห่ชินเป็นประกายวูบวาบ
เฉาพั่วเถียนชักจะวู่วามเกินไปแล้ว เขากำลังจะทำให้เรื่องทุกอย่างยากลำบากมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังใจหายใจคว่ำอยู่นั้นเอง ผู้สังเกตการณ์ที่แฝงตัวอยู่ในเรือกำลังจะปรากฏตัวออกไปรับกระบี่ของเฉาพั่วเถียน ทว่า ทันใดนั้น…
วูบ!
ปรากฏลำแสงพุ่งออกมาจากเส้นขอบฟ้า
เฉาพั่วเถียนยังไม่ทันสังเกตเห็น เขาเพียงรับรู้ได้ถึงแสงสว่างแสบตา แล้วทุกอย่างในสายตาของเขาก็กลายเป็นสีเงินยวง
จากนั้น พลังกดดันมหาศาลก็เข้าครอบคลุม และการโจมตีด้วยกระบี่ที่มาพร้อมระดับพลังขั้นปรมาจารย์ระดับ 4 ของเขาก็สลายหายไปในพริบตา
“อะ…โอ๊ย!”
เฉาพั่วเถียนครางออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อร่างกายตกกระแทกพื้นดาดฟ้าเรือและกลิ้งกระเด็นไปอีกหลายตลบ
เมื่อเขาลุกขึ้นยืนเบิกตามอง ก็ได้เห็นร่างที่สวยงามของใครคนหนึ่งประคองเยว่เว่ยหยางผู้หมดสติอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่นักพรตหญิงชิน
ชุดสีขาวที่นางสวมใส่ประดับลวดลายกระบี่อย่างสวยงาม เส้นผมสีดำขลับฟุ้งกระจายราวดอกไม้ไฟ ใบหน้าที่ขาวนวลเนียนของนางยังคงไร้ราคี ยิ่งดูยิ่งรับรู้ได้ถึงความสูงส่ง
นี่คือความงดงามที่เหนือจริง ความงดงามที่ไม่ควรมีอยู่จริงบนโลกมนุษย์
ผู้สังเกตการณ์ประจำเรือตกตะลึงกับการปรากฏตัวของนักพรตหญิงชิน จนลืมที่จะพูดอะไรออกมา
บนดาดฟ้าเรือปกคลุมด้วยความเงียบ มีแต่เสียงเกลียวคลื่นเท่านั้นที่ลอยมากระทบหู
นักพรตหญิงชินประคองเยว่เว่ยหยางอยู่ในอ้อมแขน นางประทับฝ่ามือข้างหนึ่งของตนเองลงไปที่หน้าผากของลูกศิษย์สาว จากนั้นจึงถ่ายเทพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในร่างกาย
ผ่านไป 5 ลมหายใจ ใบหน้าที่ไร้สีเลือดของเยว่เว่ยหยางก็กลับมามีเลือดลมสูบฉีดอีกครั้ง เมื่อระดับพลังกลับมาอยู่ในขั้นปกติ นักพรตหญิงชินถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ท่าน…เข้ามาแทรกแซงการแข่งขัน แบบนี้ถือว่าผิดกฎ!”
เฉาพั่วเถียนได้สติกลับมาอีกครั้ง เมื่อสำรวจตรวจดูแล้วว่าตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและส่งเสียงตะโกนประท้วงลั่นดาดฟ้าเรือ
นักพรตหญิงชินหันขวับกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มผมทอง
เพียงนางใช้สายตาจ้องมองเท่านั้น เฉาพั่วเถียนก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั่วร่างกาย
“ข้า…” เขายังคงพยายามประท้วงต่อไป
“เยว่เว่ยหยางขอยอมแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้” นักพรตหญิงชินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ปีกที่อยู่บนแผ่นหลังของนางปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของมู่จินหานและผองเพื่อน หลังจากนั้น นางก็อุ้มเยว่เว่ยหยางขึ้นและบินหายลับไปในท้องฟ้าในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา!
เฉาพั่วเถียนระบายลมหายใจออกมาด้วยความปลอดโปร่ง
เมื่อสักครู่นี้ เขานึกว่าตนเองจะต้องตายเสียแล้ว
“พี่เฉา”
“เราชนะแล้ว”
“พี่เฉา ท่านสามารถเอาชนะเยว่เว่ยหยางได้จริงๆ”
พวกของหลินอี้วิ่งเข้ามากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
เฉาพั่วเถียนพยักหน้า ยังไม่หายจากอาการตกตะลึงสักเท่าไหร่
“เฮอะ ไร้ยางอายสิ้นดี” มู่จินหานลุกขึ้นยืนพูดต่อ “พี่เยว่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติขนาดนั้น แต่เฉาพั่วเถียนกลับคิดที่จะลงมือสังหารนาง เจ้าไม่มีความเป็นลูกผู้ชายอยู่เลยแม้แต่น้อย”
เด็กสาวอีก 3 คนก็จ้องมองเขาด้วยสายตาเคียดแค้นเช่นกัน
“สตรีเช่นเจ้าจะไปรู้อะไร?”
“แพ้ก็คือแพ้ แพ้แล้วไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เรียกว่าพวกขี้แพ้ชวนตี”
เจิ้งโจวกับมู่อวี่ซุนตะโกนสวนกลับมา
เฉาพั่วเถียนหัวเราะในลำคอและกล่าวว่า “เจ้าพูดจาเช่นนี้มีหลักฐานหรือเปล่า ทุกๆ การต่อสู้ย่อมมีฝ่ายที่แพ้และชนะเสมอ เจ้าบอกว่าข้ามีเจตนาคิดสังหารนาง แล้วไม่ทราบว่าบัดนี้ศพคนตายอยู่ที่ใด?”
เด็กหนุ่มผมทองไม่เปิดโอกาสให้เด็กสาวทั้ง 4 นางได้ตอบโต้กลับ เขาพูดต่อทันทีว่า “เราอย่าเสียเวลากับพวกนางอีกเลย ไปเอาธงประจำเรือมาได้แล้ว”
หลินอี้แสยะยิ้มและสั่งให้คนอื่นๆ ไปเปิดกล่องเก็บกุญแจทั้งสี่ทิศทางของเรือ สุดท้ายธงประจำเรือเทพีอวยชัยก็มาอยู่ในมือของเฉาพั่วเถียนในที่สุด
การต่อสู้จบลงแล้ว
พวกของมู่จินหานได้แต่เฝ้ามองเรือไป๋หยุนแล่นจากไปด้วยความคับแค้นใจ
“เฉาพั่วเถียนฉวยโอกาสเล่นงานคนเจ็บได้อย่างไร้ยางอาย นับว่าเขาเลวร้ายเกินไปแล้ว”
“โชคร้ายที่พวกเรายังไม่แข็งแกร่งมากพอ จึงช่วยพี่ใหญ่เยว่เอาไว้ไม่ได้”
“หลังจากนี้คงต้องฝากความหวังเอาไว้ที่หลินเป่ยเฉินแล้วล่ะ”
“ถูกต้อง นอกจากคนเสเพลผู้นั้นก็คงไม่มีใครสามารถรับมือเฉาพั่วเถียนได้อีกแล้ว แต่โชคร้ายที่สมาชิกร่วมกลุ่มหลินเป่ยเฉินฝีมืออ่อนแอมากเกินไป ต่อให้เขาสามารถเอาชนะเฉาพั่วเถียนได้จริงๆ แต่สมาชิกคนอื่นก็คงไม่สามารถเอาชนะพรรคพวกของเฉาพั่วเถียนได้แน่ๆ”
“นอกจากนั้นนะ เมื่อสักครู่นี้พวกเจ้าสังเกตหรือเปล่า เฉาพั่วเถียนมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 4 แล้ว นี่แหละคือความน่ากลัวที่แท้จริง ไม่แน่แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็อาจจะไม่ใช่คู่มือของเขาด้วยซ้ำ”
เด็กสาวทั้ง 4 นางนั่งถกกันบนดาดฟ้าเรือด้วยความเศร้าสร้อย
สำหรับพวกนางแล้ว เมื่อไม่มีเยว่เว่ยหยาง การแข่งขันของพวกนางก็ต้องจบลง
การต่อสู้หลังจากนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกนางอีกแล้ว
หลังจากพูดคุยกันอีกสักพัก ทุกคนก็ลงความเห็นตรงกันหมดว่าเฉาพั่วเถียนมีโอกาสเป็นผู้ชนะมากที่สุด และนั่นก็ทำให้กลุ่มเด็กสาวยิ่งรู้สึกเจ็บใจมากไปกว่าเดิม
“ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าท่านนักบวชเยว่มีระดับพลังสูงส่งมากกว่าเฉาพั่วเถียน แล้วทำไมอยู่ดีๆ…” เด็กสาวที่ชื่อคังอวี่ ถามออกมา
มู่จินหานตอบด้วยแววตาเศร้าหมอง พูดว่า “นางควรจะมีระดับพลังสูงส่งกว่าเขา แต่การที่พี่ใหญ่เยว่ต้องแบ่งปันพลังศักดิ์สิทธิ์มาให้พวกเรา ในขณะเดียวกันนางก็ต้องต่อสู้ไปด้วย มันก็ทำให้ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย… พี่ใหญ่เยว่จึงไม่สามารถควบคุมพลังได้ดีเท่าที่ควร”
เมื่อได้รับฟังดังนั้น กลุ่มเด็กสาวต่างก็เบิกตาโตด้วยความรู้สึกผิดและเศร้าใจ
…
ในเวลาเดียวกันนั้น
บนเรือบดขยี้หลินเป่ยเฉิน
“หืม แบบนี้มันไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?”
เซียวปิงยืนมองพวกของไป๋ชินหยุนทั้ง 4 คนที่กำลังบุกขึ้นมาบนเรือของเขาเหมือนฝูงหมาป่า จากนั้นเขาก็ทอดสายตาจ้องมองหลินเป่ยเฉินผู้ยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือร้านขายอัญมณีหลิวไคที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม และแล้ว เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ยิ้มแย้มประจบประแจงออกมา
“เฮ้อ…ในที่สุดข้าก็ได้มีวาสนาพบกับกลุ่มของท่านพี่หลินแล้ว นี่เรียกว่าโชคชะตาฟ้ากำหนด ฮ่าฮ่า ขอบอกตามตรงเลยว่าในบรรดาผู้เข้าแข่งขันประจำปีนี้ ข้านับถือท่านมากที่สุดเลยนะ ท่านพี่หลินเป่ยเฉิน!”
เซียวปิงพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“งั้นเจ้าอธิบายมาก่อนว่าทำไมถึงได้ตั้งชื่อเรืออย่างนี้?”
ไป๋ชินหยุนยกมือชี้ไปยังป้ายผ้าที่แขวนเอาไว้อยู่เหนือศีรษะเป็นถ้อยคำว่า ‘บดขยี้หลินเป่ยเฉิน’ และถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ตอนที่พวกเขาได้พบเจอเรือของหวังซินอวี่ นางเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ ครั้งนี้ ไป๋ชินหยุนอดใจรอที่จะได้ต่อสู้ไม่ไหวแล้ว และนางก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปเด็ดขาด
“เอ่อ…สาวน้อย โปรดฟังคำแก้ตัว เอ๊ย ได้โปรดฟังคำอธิบายจากข้าก่อน” เซียวปิงรีบพูดออกมาโดยเร็ว