บทที่ 296 ขีดสุดนักบวชสาว
“เฉาพั่วเถียน หรือว่าเจ้าแอบรับประทานยาเพิ่มพลังเข้าไป? พลังของพวกเจ้าถึงได้สูงขึ้นอย่างนี้?” เยว่เว่ยหยางส่งเสียงคำรามในลำคอ “เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดกฎการแข่งขัน”
เฉาพั่วเถียนยิ้มเย็นชา
อาจารย์ของเขาบอกเอาไว้แล้วว่ายาที่พวกเขารับประทานเข้าไปผ่านกรรมวิธีพิเศษ ทำให้กระทรวงศึกษาไม่สามารถตรวจพบเจอแน่นอน เพียงรับประทานต่อเนื่องสามวัน ระดับพลังก็จะคงอยู่ได้นานถึงหนึ่งเดือน แต่ที่ประเสริฐสุดก็คือยาชนิดนี้ไม่ส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้น ต่อให้ต้องเผชิญหน้าการไต่สวน เฉาพั่วเถียนก็ไม่กลัวอีกแล้ว
“นักบวชเยว่ กรุณาระวังคำพูดด้วย”
เขาดึงกระบี่กลับมา สลายพลังการโจมตีลงชั่วคราว และถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการใส่ความผู้อื่นเช่นนี้ จะมีผลอย่างไรตามมา?”
ในดวงตาของเยว่เว่ยหยางปรากฏความโกรธแค้นขึ้นมาวูบหนึ่ง
หากระดับพลังของเฉาพั่วเถียนเพิ่มขึ้นเพียงคนเดียวมันไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ แต่นี่ระดับพลังของพวกหลินอี้ก็เพิ่มขึ้นมาเช่นกัน แล้วเด็กหนุ่มพวกนั้นเก็บซ่อนฝีมือที่แท้จริงเอาไว้ตลอดมาอย่างนั้นหรือ?
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
“ถ้าอย่างนั้น…” เยว่เว่ยหยางถอนหายใจและขยับปีกบนแผ่นหลังที่เป็นคมดาบอีกครั้ง
นางแผ่พลังกดดันคุกคามใส่เฉาพั่วเถียน
“ท้องฟ้ากระจ่างตา กระบี่กระจ่างใจ ขอเทพีกระบี่ ได้โปรดมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ข้า!”
เยว่เว่ยหยางบริกรรมคาถาในขณะที่กระพือปีกบนแผ่นหลังรัวเร็ว
มือขาวเนียนของนางที่พนมอยู่ในระดับหน้าอกเคลื่อนไหวนิ้วมือตลอดเวลา บางครั้งนิ้วของนางก็ชี้ขึ้นบนท้องฟ้า บางครั้งก็แยกออกจากกันเหมือนดอกบัวบาน และบางครั้งมือของนางก็ประกบเข้าด้วยกันเหมือนดอกบัวตูม
พลังลมปราณจำนวนมหาศาลแผ่ออกมาจากร่างกายของนักบวชสาว
เยว่เว่ยหยางมีสถานะเป็นนักบวช พลังลมปราณในร่างกายจึงถูกเรียกว่าพลังปราณศักดิ์สิทธิ์
พลังปราณศักดิ์สิทธิ์คือพลังที่ได้รับมาจากเทพเจ้าโดยตรง และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้พลังปราณธาตุอีกต่อไป
ในจักรวรรดิเป่ยไห่ มีแต่เพียงนักบวชที่ศรัทธาต่อเทพีกระบี่อย่างแท้จริงเท่านั้น ถึงจะผ่านการรับรองจากวิหาร เมื่อสอบผ่านในเรื่องของความเชื่อและการบำเพ็ญตบะแล้ว บรรดาเทพเจ้าจากดินแดนทวยเทพ ก็จะประทานพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ลงมาให้
พลังปราณศักดิ์สิทธิ์มีความยอดเยี่ยมเท่ากับพลังปราณธาตุทุกชนิดรวมกัน
เมื่อได้ศึกษาวิชาการต่อสู้ของวิหารเพิ่มเติมเข้าไป ระดับพลังของนักบวชสาวจึงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น กระบวนท่าที่เยว่เว่ยหยางกำลังใช้ออกมานี้ เป็นหนึ่งในสามวิชาหลักประจำวิหาร และว่ากันว่าผู้ที่ได้ครอบครองปีกเทพเจ้าถึง 72 คู่ ก็จะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานในปฐพีนี้
ทว่า ต่อให้เยว่เว่ยหยางจะมีพรสวรรค์สักแค่ไหน แต่ดูจากอายุของนาง เต็มที่เด็กสาวก็มีได้แค่ปีกคู่เดียวเท่านั้นเอง
แต่ในทันใดนั้น…
วูบ!
มวลอากาศไหวเป็นระลอกคลื่น และภายใต้เสียงการบริกรรมคาถาของเยว่เว่ยหยาง ก็ได้ปรากฏปีกอีกคู่หนึ่งงอกออกมาบนแผ่นหลัง เหยียดออกกว้างและกำลังกระพือพัดอย่างแรง
เยว่เว่ยหยางมี 4 ปีก!
ปีกของนางส่องแสงสว่างราวกับดวงจันทร์
ระดับพลังของเยว่เว่ยหยางพุ่งสูงมากกว่าเดิม
การบริกรรมคาถาของนาง แสดงผลออกมาแล้ว
มู่จินหานและสมาชิกร่วมกลุ่มคนอื่นๆ ก็พลอยได้รับพลังพิเศษเพิ่มเติมเช่นกัน
ฝีมือการต่อสู้ของพวกนางแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
หลินอี้กับตงฟางจันถึงกับตกตะลึงแล้ว
เด็กสาวเหล่านี้น่ากลัวมากเกินไป
เม็ดเหงื่อเริ่มผุดพราวขึ้นมาบนหน้าผากของพวกเขา
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเฉาพั่วเถียนมองการณ์ไกลและเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้า ป่านนี้พวกเขาคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
“ให้ตายสิ”
สีหน้าของเฉาพั่วเถียนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ปีกสี่ข้างอย่างนั้นหรือ?
เยว่เว่ยหยางยังไม่ทันมีสถานะเป็นหัวหน้านักบวช นางก็มีปีกอยู่กับตัวถึงสี่ข้างแล้วหรือ?
ก่อนหน้านี้ เฉาพั่วเถียนมั่นใจว่าสามารถเอาชนะนางได้ไม่ยาก แต่เห็นทีคงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว
นักบวชสาวที่มีพลังสูงส่งอย่างนี้ มาทำอะไรอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างหยุนเมิ่ง?
คุณสมบัติของเยว่เว่ยหยางสามารถบรรจุเข้าเป็นลูกศิษย์ของวิหารเทพกระบี่ชั้นนำในมณฑลได้อย่างไม่มีปัญหา ดีไม่ดีนางจะถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดีให้สมฐานะยอดอัจฉริยะด้วยซ้ำ
เฉาพั่วเถียนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
เขากำลังรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
การต่อสู้ในครั้งนี้เขาจะแพ้ไม่ได้
แผนการทุกอย่างวางเอาไว้เพื่อแก้แค้นหลินเป่ยเฉิน เฉาพั่วเถียนจะไม่ยอมให้มันล้มเหลวอีกเด็ดขาด
แล้วพลังลมปราณก็ระเบิดออกมาจากร่างกาย
ในเวลาเดียวกันนั้น…
“เทพี…กระบี่…ผู้ศักดิ์สิทธิ์…ปิดผนึกมารร้าย!”
เยว่เว่ยหยางคำรามออกมาสุดเสียง
พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากตัวนางเกิดความเปลี่ยนแปลง
ในดวงตาของเด็กสาวมีประกายไฟลุกโชน ราวกับว่านางไม่ได้มีตัวตนเป็นมนุษย์อีกแล้ว ร่างกายที่บอบบางของเยว่เว่ยหยางพลันลอยขึ้นไปในท้องฟ้าต้องแหงนมองคอตั้งบ่า มวลอากาศรอบกายปั่นป่วนโกลาหล นางมีสภาพเหมือนเทพีกระบี่ที่ลอยลงมาจากสวรรค์ แววตาที่ไร้อารมณ์นั้นมองผู้คนที่เบื้องล่างเป็นมดปลวก
นิ้วมือของนางยังคงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
เยว่เว่ยหยางระเบิดพลังออกมาถึงขีดสุดแล้ว
ปีกทั้งสี่ข้างของนางรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ได้ยินเสียงปีกโลหะเสียดสีกันตลอดเวลา แล้วปีกบนแผ่นหลังของนางก็รวมตัวกันกลายเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ยักษ์ ชี้ปลายขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทันใดนั้น คมกระบี่ก็ตัดลงมากลางอากาศ
…
“แย่แล้วสิ”
ณ วิหารเทพกระบี่
นักพรตหญิงชินกำลังนั่งสวดภาวนาอยู่หน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากท้องทะเลอันกว้างใหญ่ แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงไปในขณะที่ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน
นางพลิ้วกายออกไปจากวิหาร
นักพรตหญิงชินทิ้งตัวยืนอยู่บริเวณหน้าผาริมทะเล จ้องมองไปที่พื้นน้ำอันห่างไกล
“นางถึงกับใช้พลังนี้เชียวหรือ วู่วามเกินไปแล้ว” สีหน้าของนักพรตหญิงชินบอกชัดเจนถึงความไม่สบายใจ
“รุนแรงเกินไป…เราต้องเข้าไปยุติทุกอย่างเดี๋ยวนี้” หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้าย นักพรตหญิงชินก็กางปีกกว้างบนแผ่นหลัง และโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของมหาสมุทร
…
ณ จวนผู้ว่า
หลิงเฉินกำลังนั่งปิดปากหาวอยู่บนขอบหน้าต่างของห้องใต้หลังคา สองขาของเด็กสาวยื่นออกไปข้างนอกและกำลังแกว่งไกวไปมา ดวงตาคู่งามของนางหมุนวนกลอกกลิ้ง และมันก็เปลี่ยนสีสันไปถึงสามครั้งสามครา แต่แล้วเมื่อนางหลับตาลง เด็กสาวก็กลับมาเป็นหลิงเฉินคนปกติอีกครั้ง
หลิงเฉินลืมตาขึ้นมานั่งเท้าคาง จ้องมองไปยังทิศทางของท่าเรือ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
ดูเหมือนนางกำลังพูดกับตัวเอง
หรือไม่ก็กำลังพูดอยู่กับเพื่อนที่ไม่มีใครมองเห็น
ที่ด้านล่างนอกหน้าต่าง มีต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้ 14 ปีแล้ว
แสงแดดสาดส่องลงไปบนยอดไม้ ทำให้เงาของมันทอดลงไปบนพื้นดิน สายลมโชยพัดเข้ามาทำให้ต้นไม้เอนไหว เงาของมันจึงเคลื่อนไหวตลอดเวลา เหมือนการเดินทางของดวงดาวในทางช้างเผือก
ชินหลันซูนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น
แต่หากจะลองพินิจดูให้ดี เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังลมปราณในตัวหลิงเฉินกลับมาเป็นปกติดีแล้ว ชินหลันซูก็ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและคลายกำมือที่บีบแน่นออกจากกัน
…
เปรี้ยง!
มวลพลังลมปราณปะทะกันอย่างรุนแรง
เฉาพั่วเถียนถูกกระบี่ใหญ่ยักษ์บนแผ่นหลังของเยว่เว่ยหยางเล่นงานจนต้องล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า
“ย๊าก…”
เขาร้องคำรามออกมาด้วยความบ้าเลือด
ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
นี่ขนาดเขาดื่มน้ำยาเพิ่มพลังลมปราณเข้าไปแล้วนะ แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือของนักบวชสาวคนนี้อยู่ดี ทำไมนางถึงได้มีความแข็งแกร่งขนาดนี้
กระบี่จากเมืองไป๋หยุนในมือเขาแทบจะรับไม่ไหวอีกแล้ว
บนตัวกระบี่เกิดรอยแตกร้าวชัดเจน
เฉาพั่วเถียนกระอักเลือดออกมาจากปาก พลังลมปราณระเบิดเต็มอัตรา แต่ก็ยังต้องถอยร่นไปตั้งรับอยู่ทุกขณะ และตอนนี้ ร่างของเขาก็ตกอยู่ภายใต้การครอบคลุมของเงากระบี่จากเยว่เว่ยหยางแล้ว
แต่ในทันใดนั้น…สิ่งที่เหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
เคล้ง!
กระบี่ยักษ์ของเยว่เว่ยหยางหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ก่อนที่มันจะแตกสลายกลายเป็นหมอกควันปลิวหายไปกับสายลม
กระบี่ที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น กลับสามารถสลายไปได้ในพริบตา
เฉาพั่วเถียนตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก
เขาได้แต่เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นว่าสภาพของเยว่เว่ยหยางมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก และพริบตานั้น เลือดสีแดงสดก็ไหลทะลักออกมาจากปากและจมูกของนาง ดวงตาของเยว่เว่ยหยางปิดสนิท ได้ยินเสียงคำรามในลำคอเล็กน้อย ก่อนที่ร่างอรชรจะร่วงดิ่งลงมาจากกลางอากาศ
“โอกาสนี้แหละ”
ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เฉาพั่วเถียนก็รู้ว่านี่คือโอกาสทองที่หาไม่ได้อีกแล้ว!
วูบ!
เด็กหนุ่มผมทองดีดตัวขึ้นไปกลางอากาศ
กระบี่ในมือของเขาฟันใส่เยว่เว่ยหยางผู้หมดสติด้วยความอำมหิตสุดแรงเกิด