บทที่ 295 ความสงสัยของเยว่เว่ยหยาง
เรือสองลำแล่นเข้ามาเผชิญหน้ากัน
เมื่อเยว่เว่ยหยางมองเห็นผืนธงของฝ่ายตรงข้ามนางก็รู้แล้วว่าเป็นเรือของเฉาพั่วเถียน
“หึหึ โอกาสเหมาะพอดี… ถ้าเราสามารถเอาชนะหมอนี่ได้ ก็ถือว่าเราช่วยขจัดตัวปัญหาให้พี่เป่ยเฉินแล้ว”
นักบวชสาวคิดอย่างมีความสุข
“พี่น้องทุกท่าน เตรียมตัวต่อสู้”
เยว่เว่ยหยางหันหลังกลับมายกมือขึ้นพนมมือระดับอก ปากบริกรรมคาถาบางอย่าง แล้วปีกคู่หนึ่งก็งอกออกมาจากแผ่นหลังของนางส่องแสงสว่างราวกับดวงจันทร์ แสงสว่างจากปีกคู่นั้นอาบไล้ไปทั่วร่างกายของสมาชิกประจำเรือทั้งสี่คน
“ขอเทพีโปรดอวยชัยให้พวกเราด้วย” เด็กสาวทั้งสี่พูดออกมาพร้อมกัน
พริบตาต่อมา ระดับพลังในร่างกายของพวกนางก็สูงมากขึ้น
หากหลินเป่ยเฉินได้มาเห็นภาพเหล่านี้ เขาก็คงต้องสบถออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเพิ่มพลังให้แก่เพื่อนร่วมกลุ่มได้ เนื่องจากเยว่เว่ยหยางก็สามารถทำได้เช่นกัน
วูบ!
เสียงอะไรบางอย่างแหวกอากาศดังขึ้นบริเวณหัวเรือของพวกนาง
เยว่เว่ยหยางหันกลับไปมอง
แล้วนางก็ได้เห็นเฉาพั่วเถียนทิ้งตัวลงมาพร้อมด้วยสายโซ่ขนาดยาวใหญ่อยู่ในมือ เขานำสายโซ่เหล่านั้นรัดพันเข้ากับราวจับที่ดาดฟ้าเรือ ห่างออกไป หลินอี้ ตงฟางจัน มู่อวี่ซุน และเจิ้งโจวกำลังใช้วิชาตัวเบาไต่ขึ้นมาบนสายโซ่เส้นนั้น
รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกายของพวกเขา
“ถ้ายอมส่งธงมาให้แต่โดยดี ข้าจะไม่ทำอะไรพวกเจ้า”
เฉาพั่วเถียนชักกระบี่ออกจากฝักและเดินเข้าไปหากลุ่มของเด็กสาว
ในดวงตาของเยว่เว่ยหยางเป็นประกายเหยียดหยามเล็กน้อย “พี่น้องทุกท่าน เพื่อเกียรติยศของเทพีกระบี่… พวกเราจงสู้ให้เต็มที่”
เช้ง!
กระบี่ทั้ง 4 เล่มถูกชักออกมาจากฝัก
ปีกที่อยู่บนแผ่นหลังเยว่เว่ยหยางกางออกกว้าง มันมีความยาวทั้งหมดถึง 13 เซี๊ยะ ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของนางยิ่งสูงสง่าราวกับเทพธิดาจากสวรรค์
เฉาพั่วเถียนระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ในเมื่อไม่ยอมแพ้ดีๆ อย่าหาว่าข้าโหดร้ายเกินไปก็แล้วกัน”
เขาขยับตัวด้วยความเร็วสูงสุด ร่างกายเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองคำพุ่งเข้าไปโจมตีเยว่เว่ยหยางด้วยความดุดัน
เคล้ง!
ได้ยินเสียงคมกระบี่ปะทะกัน ประกายไฟสาดกระจาย
เยว่เว่ยหยางหมุนกระบี่ปัดป้องกันการโจมตีของเฉาพั่วเถียน
พลังลมปราณแผ่กระจายไปรอบทิศทาง
ส่งผลให้สมาชิกกลุ่มของพวกเขาต้องขยับถอยออกไปหลายก้าว
“ประเสริฐ สมแล้วที่เป็นตัวแทนจากวิหารเทพกระบี่”
เฉาพั่วเถียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ได้ยินมาว่าผู้ที่เป็นนักบวชของวิหารเทพกระบี่ สามารถมีปีกอยู่บนลำตัวได้ถึง 72 คู่ ไม่ทราบว่าตอนนี้เจ้ามีปีกงอกออกมาแล้วกี่คู่? หรือเจ้าบำเพ็ญตบะได้ถึงระดับไหนแล้ว?” กระบี่จากเมืองไป๋หยุนในมือของเด็กหนุ่มผมทองสั่นไหว ทิ่มแทงออกไปด้วยกระบวนท่าพลิกแพลงพลิ้วไหวราวกับก้อนเมฆบนฟากฟ้า
นี่คือ 1 ใน 6 วิชากระบี่ชื่อดังของเมืองไป๋หยุน มีนามว่าวิชากระบี่สลายเมฆา
มันมีลำดับสูงส่งกว่าวิชากระบี่ทุกวิชาที่เขาเคยใช้ออกมา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เฉาพั่วเถียนได้รับความช่วยเหลือทุกด้านจากไป๋ไห่ชิน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องพลังลมปราณหรือวิชากระบี่ ขณะนี้ วิชากระบี่ระดับ 3 ดาวทุกวิชาที่เขารู้จัก เฉาพั่วเถียนล้วนแต่สามารถใช้งานได้โดยมีความเข้าใจทะลุปรุโปร่ง…
“เตรียมตัวรับการโจมตี!”
เขาตะโกนออกมาอีกครั้ง
เยว่เว่ยหยางมีสีหน้าเคร่งขรึมตึงเครียด ผมยาวสลวยปลิวไสว นางยกมือขึ้นมาบริเวณหน้าอก นิ้วมือที่เรียวยาวกุมด้ามจับกระบี่และผสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่นางจะขยับนิ้วมือเป็นระลอกคลื่น ทำให้มวลอากาศรอบกายเกิดความปั่นป่วน และปีกที่อยู่บนแผ่นหลังของเยว่เว่ยหยาง ก็ขยับตามการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ
เคล้ง! เคล้ง!
หลังจากนั้น ไม่รู้เลยว่าพวกเขาต่อสู้กันไปได้อีกกี่กระบวนท่า
ทุกคนมองเห็นแต่ประกายไฟสาดกระจายในอากาศ
เสียงของคมกระบี่ปะทะกันดังต่อเนื่อง ประกายไฟพร่างพรมลงมาจากกลางอากาศเหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิว ยิ่งทำให้ผู้คนไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าพวกเขาปะทะกันไปแล้วกี่กระบวนท่า
ฝีมือการใช้กระบี่ของเฉาพั่วเถียนยอดเยี่ยมกว่าที่คิด
เด็กหนุ่มผมทองสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวและนุ่มนวลสง่างาม
นี่ทำให้เห็นถึงฝีมือที่แท้จริงของเขา
ทว่า เยว่เว่ยหยางแสดงออกถึงสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากกว่านั้น นางเปลี่ยนให้ปีกบนแผ่นหลังสามารถกลายเป็นคมกระบี่รับการโจมตีของเขา อีกทั้งยังสวนกลับได้ดุดันหนักแน่น และปีกก็สามารถเปลี่ยนรูปทรงได้ด้วยการบังคับจิตใจของนาง
ในเวลาเดียวกันนี้ สมาชิกร่วมกลุ่มของเฉาพั่วเถียนกับเยว่เว่ยหยางก็เริ่มต่อสู้กันแล้ว
ทันใดนั้น เสียงคมกระบี่และเงากระบี่ก็วูบไหวครอบคลุมทั่วดาดฟ้าเรือเทพีอวยชัย
พวกเขาคือผู้ที่เหมาะสมต่อการเข้ามาถึงรอบนี้ที่สุด
“ฮ่าฮ่า คุณหนูมู่จินหาน เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้าหรอก ยอมแพ้เสียเถิด อย่าได้หาเรื่องเจ็บตัวเลย”
หลินอี้พูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยในขณะที่ตวัดกระบี่ไปด้วย
“ทุกครั้งที่ข้าชักกระบี่ออกมาจากฝัก ข้าไม่เคยคิดยอมแพ้”
เด็กสาวผู้มีนามว่ามู่จินหานมีดวงตาเป็นประกายสดใส นางยืนหยัดปกป้องคุ้มครองกล่องเหล็กใส่กุญแจด้วยชีวิต
นางทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดที่มีในร่างกายออกมาแล้ว
ยึดตามระดับพลังของหลินอี้ที่ปรากฏในการแข่งขันรอบที่ผ่านๆ มา เขาไม่ควรรับมือการโจมตีจากมู่จินหานได้ด้วยซ้ำ เพราะนางได้รับพลังพิเศษมาจากเยว่เว่ยหยาง แล้วเหตุไฉนหลินอี้ถึงสามารถต่อกรกับนางได้สูสีขนาดนี้เล่า?
หรือว่าในการแข่งขันรอบที่ผ่านมา หลินอี้จะเก็บซ่อนฝีมือที่แท้จริงเอาไว้ตลอดเวลา?
ขณะนี้ เด็กสาวจากกลุ่มเทพีอวยชัยอีก 3 คนก็กำลังรับมืออยู่กับเจิ้งโจว มู่อวี่ซุน และตงฟางจัน ซึ่งพวกนางก็เกิดคำถามเดียวกันกับที่มู่จินหานสงสัยอยู่ในใจ
พวกนางมีระดับพลังเพิ่มขึ้นด้วยการรับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเยว่เว่ยหยาง
มันเพียงพอที่จะทำให้สามารถเอาชนะสมาชิกกลุ่มของเฉาพั่วเถียนได้ง่ายดาย
เยว่เว่ยหยางเป็นหนึ่งในคนที่อยากชนะการแข่งขันครั้งนี้มากที่สุด ด้วยว่านางเป็นตัวแทนจากวิหารเทพกระบี่ มีศักดิ์ศรีของวิหารเป็นเดิมพัน ไม่รู้เลยว่ามีคนมากมายสักแค่ไหนอยากจะขอร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มของนาง เพราะเมื่อได้เป็นผู้ติดตามเยว่เว่ยหยางแล้ว ทุกคนก็กลายเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่งในเมืองหยุนเมิ่งไปโดยปริยาย
แล้วการรับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเยว่เว่ยหยางช่วยทำให้พวกนางมีระดับพลังเพิ่มขึ้นแค่ไหนกัน?
ตอบได้ว่ามันทำให้พวกนางเลื่อนระดับจากปรมาจารย์ขั้นที่ 1 เป็นขั้นที่ 2
จากขั้นที่ 2 เลื่อนเป็นขั้นที่ 3
นี่คือความน่ากลัวของพลังศักดิ์สิทธิ์
นอกจากนั้น คู่ต่อสู้ที่พวกนางเลือกล้วนแต่มีระดับพลังใกล้เคียงกับตนเอง เพราะฉะนั้น สมาชิกกลุ่มของเยว่เว่ยหยางจึงสมควรบดขยี้พวกของหลินอี้ได้ตั้งนานแล้ว… ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์จึงถือว่าผิดปกติอย่างยิ่ง
“เรารีบสู้กันให้รู้ผลแพ้ชนะเลยดีกว่า” เฉาพั่วเถียนระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า
ระดับพลังของเขาพุ่งขึ้นสูงมากขึ้น ขณะนี้อยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 ตอนปลายแล้ว
พลังลมปราณสีทองแผ่ออกมาจากรอบตัว มันกลายเป็นมวลพลังที่ห่อหุ้มกระบี่ในมือของเขา และทุกกระบวนท่าที่โจมตีใส่เยว่เว่ยหยางก็เต็มไปด้วยความดุดันเหี้ยมโหด ส่งผลให้นักบวชสาวต้องถอยหลังไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่ชอบมาพากลแล้วสิ”
เยว่เว่ยหยางขมวดคิ้ว
เฉาพั่วเถียนไม่ควรมีระดับพลังแข็งแกร่งขนาดนี้
หรือว่าเขาจะปิดบังพลังที่แท้จริงตลอดมา?
ไม่น่าเป็นไปได้
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรปิดบัง
เฉาพั่วเถียนอยากเอาชนะหลินเป่ยเฉินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขามีความต้องการที่จะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในทุกการแข่งขัน แต่กลับต้องพ่ายแพ้กระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บใจหลายครั้งหลายหน ต่อให้เฉาพั่วเถียนมีพลังฝีมือดีขนาดไหน แต่เขาก็ไม่ใช่คนฉลาดเฉลียวอย่างที่ตนเองคิด และภายใต้สถานการณ์เหล่านั้น เยว่เว่ยหยางมั่นใจว่าเฉาพั่วเถียนไม่มีทางปิดบังฝีมือที่แท้จริงของตนเองแน่นอน
ถ้าอย่างนั้น…
หรือว่าเขาจะเลื่อนระดับพลังได้ระหว่างการแข่งขัน?
เยว่เว่ยหยางเคยได้ยินมาว่ายอดฝีมือในเมืองไป๋หยุนมีหลายวิชาที่สามารถช่วยเพิ่มระดับพลังได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่สุดท้ายแล้วมันจะส่งผลข้างเคียงร้ายแรง เพราะรากฐานพลังจะได้รับความเสียหายไปตลอดกาล
เฉาพั่วเถียนต้องการเป็นผู้ชนะถึงกับยอมแลกเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ที่เหลือหลังจากนี้เชียวหรือ?
อีกอย่าง เขาเดิมพันชีวิตเอาไว้กับหลินเป่ยเฉิน หากพ่ายแพ้ขึ้นมา ก็มีแต่ต้องเผชิญหน้าความตาย ดังนั้น ใช่ว่าวิธีการนี้จะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
แต่ปัญหาก็คือพวกของหลินอี้กลับมีระดับพลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน พวกเขาคงไม่ยอมแลกอนาคตผู้ฝึกยุทธ์ของตนเองพร้อมกับเฉาพั่วเถียนหรอกกระมัง?
เยว่เว่ยหยางเป็นคนฉลาดและสามารถมองคนได้ทะลุปรุโปร่ง
นางรู้ว่าพวกของเฉาพั่วเถียนต้องแอบไปทำอะไรบางอย่างมาแน่ๆ ถึงได้มีระดับพลังสูงขึ้นอย่างนี้ แต่นางก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเรื่องที่พวกเขาไปทำมาคืออะไรกันแน่