บทที่ 294 ข้าพูดอะไรผิดงั้นหรือ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 294 ข้าพูดอะไรผิดงั้นหรือ

ข้าแพ้แล้วอย่างนั้นหรือ?

ใบหน้าที่สวยงามของหวังซินอวี่แสดงออกถึงความไม่อยากเชื่อ

“พี่ใหญ่หวัง…”

“ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”

หยวนรุ่ยกับฉู่เถียนเจี๋ยรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองเด็กสาวลุกขึ้น

น้ำเสียงของพวกเขาแฝงไว้ด้วยความกังวลใจ

นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หวังซินอวี่กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ สูดหายใจลึก สีหน้าปรากฏความผ่อนคลายมากขึ้น ก่อนจะพูดออกมาอย่างแช่มช้าว่า “ข้าไม่เป็นไร…อะเฮื้อ!” พูดจบก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกรอบ เพื่อปรับระดับพลังลมปราณในร่างกายให้คงที่

เวลาเดียวกันนั้น

หลินเป่ยเฉินลดดาบลงชี้ที่พื้นดาดฟ้าเรือ

“นับตั้งแต่ได้มีโอกาสต่อสู้ คุณหนูหวังเป็นบุคคลแรกที่ทำให้ข้าต้องใช้กระบวนท่าเหล่านี้ออกมา นับว่าระดับพลังของท่านสูงล้ำเกินกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากทีเดียว”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

แม้ว่าหวังซินอวี่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ดวงตาของนางก็เป็นประกายสดใส กล่าวว่า “วิชากระบี่สามสัณฐานแห่งเป่ยไห่ของท่านก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ข้ารับรู้ได้ถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของการโจมตี ไม่ทราบเลยว่ากระบวนท่าเหล่านี้มีชื่อเรียกว่าอันใดหรือ?”

หลินเป่ยเฉินทำท่านึกคิดอยู่เล็กน้อยก็ตอบว่า “มันเป็นกระบวนท่าแรกจากวิชากระบี่สามสัณฐานแห่งเป่ยไห่ มีชื่อเรียกว่ากระบวนท่ากระบี่ยอดสมุทร นอกจากนั้น มันยังมีอีก 2 กระบวนท่าที่มีชื่อเรียกว่า ‘กระบี่ผ่ายอดคลื่น’ และ ‘กระบี่ถล่มวังบาดาล’ ทั้งหมดก็มีเท่านี้”

“เป็นกระบวนท่าที่ร้ายกาจยิ่ง” หวังซินอวี่พูดด้วยความเลื่อมใส “เมื่อข้ารักษาอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว ข้าอยากจะขอรับคำชี้แนะจากคุณชายหลินอีกสักครั้ง เพราะข้าหวังที่จะเห็นความยอดเยี่ยมของวิชากระบี่ทั้ง 3 กระบวนท่านี้ หวังว่าคุณชายหลินคงจะเมตตาข้าบ้าง”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

โลกจอมยุทธ์ทำเขาปวดหัวก็เพราะแบบนี้แหละ

เวลาเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือทัดเทียมกับตนเอง บรรดาจอมยุทธ์ทั้งหลายก็ดูเหมือนจะประทับใจจนอยากต่อสู้อยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หลินเป่ยเฉินไม่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์อะไรเลย เมื่อรู้ผลแพ้ชนะแล้ว ก็สมควรแยกย้ายทางใครทางมันไม่ใช่หรือ?

“เอ่อ…ข้าคงไม่สะดวกแล้วล่ะ แต่บอกตามตรงว่าถ้าคุณหนูหวังอยากจะให้ข้าช่วยชี้แนะเรื่องอื่น หลินเป่ยเฉินคนนี้ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

เด็กหนุ่มปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่คิดว่าสุภาพมากที่สุด

คำว่า ‘เรื่องอื่น’ ของเขา หลินเป่ยเฉินหมายถึงเรื่องอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่วิชากระบี่

แต่เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมาจากปากเขาและลอยไปเข้าหูผู้คน ความหมายของถ้อยคำนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปทันที

หยวนรุ่ยกับฉู่เถียนเจี๋ยชักสีหน้าด้วยความโกรธแค้น

หวังซินอวี่เบิกตาโตด้วยความตื่นตะลึง ก่อนที่สองแก้มจะแดงระเรื่อ

“ท่านว่าอย่างไรนะ”

หลังจากนั้น นางก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

หลินเป่ยเฉินได้แต่ยกมือเกาหัวแกรกๆ

นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?

เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ?

ในเวลาเดียวกันนั้นบริเวณท่าเรือ บังเกิดเสียงตะโกนด่าหลินเป่ยเฉินดังอื้ออึงอย่างสมัครสมานสามัคคี

“ให้ตายเถิด! หลินเป่ยเฉินกล้าพูดจาลวนลามลูกศิษย์หญิงอันดับหนึ่งจากสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งกลางวันแสกๆ เลยหรือ?”

“น่าขยะแขยงเหลือเกิน”

“สมแล้วที่เป็นคนเสเพลอันดับหนึ่ง”

“จริงอยู่นะที่ผู้ชนะพูดอะไรก็ได้ แต่แบบนี้มันก็มากเกินไป”

ก่อนหน้านี้ กลุ่มคนดูส่วนใหญ่ต่างคิดว่าหลินเป่ยเฉินควรค่าต่อการเอาใจช่วย เขาพยายามกลับตัวเป็นคนใหม่ ทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหลาและระดับพลังแข็งแกร่ง แต่ที่ไหนได้ นิสัยเก่าคงเป็นสิ่งที่แก้ยากจริงๆ เด็กหนุ่มถึงได้พูดจาถ้อยคำไม่เหมาะสมออกมาหน้าตาเฉย

แต่บรรดาอาจารย์ใหญ่และตัวแทนคณะอาจารย์จากสถาบันกระบี่ระดับสามัญที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณท่าเรือ กำลังตื่นเต้นในฝีมือของหลินเป่ยเฉินจนไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเลย

“หลินเป่ยเฉินชนะอย่างนั้นหรือ?”

“บัดนี้เขามีพลังอยู่ในขั้นไหนกันแน่?”

“ทำไมเขาถึงได้แข็งแกร่งอย่างนี้?”

“หลินเป่ยเฉินมีฝีมือการต่อสู้เหมือนบิดาของเขาไม่มีผิด ถ้าส่งเขาเข้าสู่สนามรบ หลินเป่ยเฉินจะต้องเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน นี่คือเพชรล้ำค่าที่จักรวรรดิจะหาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว”

“เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนพิเศษ เป็นคนพิเศษ เป็นคนพิเศษ!”

“ดูจากประวัติภูมิหลังของเขาแล้ว หลินเป่ยเฉินควรค่าต่อตำแหน่งลูกศิษย์พิเศษในสถาบันของเราแน่นอน…เฮ้อ ทำไมก่อนหน้านี้เราถึงไม่สนใจเขาเลยนะ”

เสียงพูดคุยของคณะอาจารย์ดังต่อเนื่องไม่หยุด

หลินเป่ยเฉินแสดงฝีมือในการแข่งขันรอบที่ผ่านๆ มาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่กลับไม่เคยมีสถาบันกระบี่สำนักไหนติดต่อไปที่เขาเลย

เพราะเหตุใดกัน?

อย่างแรก มันเป็นเพราะว่าเขามีบิดาชื่อหลินจิ้นหนาน

อย่างที่สอง  เป็นเพราะว่าเขาเดิมพันชีวิตเอาไว้กับเฉาพั่วเถียน

หวังหรู่อี้ยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว

หลินเป่ยเฉินหนอหลินเป่ยเฉิน เจ้ามีฝีมือดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากทีเดียว หากเจ้าสามารถเอาชนะหวังซินอวี่ได้ นั่นก็หมายความว่าเจ้ามีฝีมือร้ายกาจมากที่สุดแล้ว

แต่ม่านพลังลมปราณสีเลือดนั่นคืออะไรกัน?

หลินเป่ยเฉินไม่เสียเลือดตายหรือไร?

ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับเฉาพั่วเถียนขึ้นมาจริงๆ หลินเป่ยเฉินมีสิ่งใดจะแสดงออกมาอีกหรือไม่?

หวังหรู่อี้ส่ายศีรษะเล็กน้อย

เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างหลินเป่ยเฉินกับหวังซินอวี่ ถ้าเลือกได้ นางก็ยังคงอยากรับตัวหวังซินอวี่เข้าเป็นลูกศิษย์คนใหม่มากกว่าอยู่ดี

แต่เมื่อหวังหรู่อี้เงยหน้ามองไปที่หน้าจอถ่ายทอดสดอีกครั้ง ดวงตาของนางก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นสร้างวงแหวนวารีครอบคลุมตนเอง

สีหน้าที่เหนื่อยล้าและร่างกายที่อ่อนระโหยโรยแรงจากการใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณพลันสลายหายไปในพริบตา หลินเป่ยเฉินกลับมามีสภาพเป็นปกติดังเดิมเพียงลมหายใจเดียวเท่านั้น

ตอนแรก เขาคิดที่จะเดินเข้าไปใช้วงแหวนวารีช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้หวังซินอวี่อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเห็นพวกนางชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ใส่เขา หลินเป่ยเฉินจึงเลิกล้มความคิดนั้นไปเสีย

ผู้หญิงนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เอาใจยากเสียจริงๆ

ถ้าไม่ชอบใจ ก็บอกมาสิว่าเขาพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ?

ผ่านมาจนถึงขณะนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

ส่วนการต่อสู้คู่ที่สี่ มี่หรู่หยานที่ได้รับพลังเพิ่มเติมจากสัญญาไวฟายก็สามารถเอาชนะเว่ยซีหลงได้อย่างราบคาบ!

เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาถึงตอนนี้ ฝ่ายของหลินเป่ยเฉินเก็บชัยชนะได้สามคู่และเสมออีกหนึ่งคู่ นั่นทำให้เขากลายเป็นผู้ชนะในที่สุด

หวังซินอวี่ส่งมอบธงประจำเรือของนางมาให้เขาอย่างว่าง่ายและเดินทางกลับไปพร้อมด้วยสมาชิกร่วมกลุ่มของนาง

แล้วเรือสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งก็เเล่นจากไป

ไป๋ชินหยุนยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือด้วยสีหน้าว่างเปล่า นางยกมือกอดอก พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ข้ายังไม่ได้ออกไปสู้เลยนะ”

เดิมทีการต่อสู้มีอยู่ 5 คู่ แต่สู้ได้เพียง 4 คู่ ก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว

นางเป็นเพียงผู้เดียวที่ยังไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ

หลินเป่ยเฉินพูดว่า “เจ้าเป็นไพ่ตายของพวกเรา เราก็ต้องเก็บเอาไว้ใช้เวลาที่สำคัญเท่านั้นสิ แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอก เมื่อคู่ต่อสู้ครั้งหน้าปรากฏตัว เจ้าจะได้รับโอกาสให้แสดงฝีมือแน่นอน”

ไป๋ชินหยุนถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย “ถึงข้าจะรู้ว่าเจ้าตั้งใจพูดประจบ แต่ก็ขอรับเหตุผลนี้เอาไว้ก็แล้วกัน”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

ยัยนี่ไม่ได้โง่นี่หว่า

“พี่ใหญ่เป็นอะไรหรือเปล่านะ?”

อู๋เป่ยหยานซึ่งเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวของเรือสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งผู้ไม่ได้ออกไปต่อสู้ กำลังเงยหน้ามองหวังซินอวี่ที่นั่งอยู่บนแท่นสังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือด้วยสายตาเป็นห่วง

“พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรหรอก นางไม่ใช่คนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้สักหน่อย”

เว่ยซีหลงว่า

“แต่ไม่ว่าจะต่อสู้กับใคร ข้าไม่เคยเห็นพี่ใหญ่มีอาการแบบนี้มาก่อน” อู๋เป่ยหยานยังคงกล่าวต่อ

พวกเขาทั้ง 4 คนหันมองหน้ากันด้วยแววตาเศร้าหมอง

พี่ใหญ่ของพวกเขาทำตัวแปลกไปจริงๆ

“เรื่องนี้คงต้องถามเถียนเจี๋ยแล้วกระมัง?”

หยวนรุ่ยหันมาสะกิดแขนฉู่เถียนเจี๋ย

เด็กหนุ่มหน้าหวานส่ายหน้าดิก “นี่คือเรื่องที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง จากประสบการณ์ของข้าเท่าที่รู้ ทุกครั้งที่พี่ใหญ่แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา นั่นหมายความว่านางกำลังโกรธถึงขีดสุด เพราะฉะนั้น เราอย่าไปกวนอารมณ์นางเลยดีกว่า”

“งั้นพวกเราจะทำอย่างไรดีล่ะ?”

อีก 3 คนถามพร้อมกัน

ฉู่เถียนเจี๋ยนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนตอบว่า “พวกเราทำได้แค่รอคอย รอให้พี่ใหญ่กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง แล้วเดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเองแหละ”

หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้แต่แยกย้ายไปนั่งอยู่ตามจุดต่างๆ บนดาดฟ้าเรือและรอคอยอยู่ในความเงียบ

“พี่ใหญ่เฉาขอรับ ข้างหน้ามีเรือลำหนึ่ง… เอ๋… ดูเหมือนว่าจะเป็นเรือเทพีอวยชัยขอรับ”

เจิ้งโจวผู้ยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือส่งเสียงตะโกน

เรือเทพีอวยชัยอย่างนั้นหรือ?

เฉาพั่วเถียนดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที

นั่นมันชื่อกลุ่มของนักบวชเยว่เว่ยหยางคนสนิทของหลินเป่ยเฉินไม่ใช่หรือไง?

รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเฉาพั่วเถียน

ยอดเยี่ยมไปเลย

ก่อนที่เขาจะจัดการหลินเป่ยเฉิน คงเป็นเรื่องสนุกดีไม่น้อยถ้าได้บดขยี้นักบวชสาวผู้นี้เสียก่อน ถือว่าเป็นการรับประทานของหวานก่อนอาหารค่ำก็แล้วกัน

อีกอย่าง ถ้าเขาสามารถเอาชนะได้แม้แต่นักบวชจากวิหารเทพกระบี่ ก็คงไม่มีใครสงสัยในตัวเขาอีกแล้ว

เฉาพั่วเถียนอยากจะทำให้พวกนักบวชสาวรู้ว่า ลูกศิษย์เมืองไป๋หยุนไม่ใช่คนที่พวกนางจะมามีปัญหาด้วยง่ายๆ เขาจะทำให้พวกนางได้รู้ว่า การแสดงตัวปกป้องตัวชั่วร้ายอย่างหลินเป่ยเฉิน มีราคาที่ต้องชดใช้อย่างไรบ้าง

“พวกเราเตรียมตัวต่อสู้”

เฉาพั่วเถียนกระโดดขึ้นไปยืนบนหัวเรือและกล่าวว่า “เป้าหมายของเรามีเพียงหนึ่งเดียว คือเป็นผู้ชนะเท่านั้น ไม่ว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร จงสู้ให้สุดความสามารถ อย่าได้มีความเมตตาเด็ดขาด!”