บทที่ 293 ไม่อยากเชื่อว่าจะแพ้

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 293 ไม่อยากเชื่อว่าจะแพ้

เมื่อกระบี่สีแดงส้มปรากฏขึ้นในมือของหวังซินอวี่ มันก็ส่องประกายเจิดจ้าเป็นรัศมีร้อนผ่าว

วูบ!

เปลวไฟพวยพุ่ง!

สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือเปลวไฟเหล่านั้นพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่มันจะกลืนกินร่างกายหวังซินอวี่หายเข้าไปทั้งตัว

อุณหภูมิรอบตัวร้อนจัด

“นี่มัน…พลังปราณธาตุไฟไม่ใช่หรือ?”

หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย

สมาชิกกลุ่มร้านขายอัญมณีหลิวไคทั้งสี่คนจ้องมองการต่อสู้ด้วยสายตาแห่งความเหลือเชื่อ

หวังซินอวี่มีพลังปราณธาตุสองชนิดในตัวอย่างนั้นหรือ?

อย่าบอกนะว่านางสามารถเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุไม้และปราณธาตุไฟขึ้นมาได้พร้อมๆ กัน?

ถ้าอย่างนั้นก็นับว่าหวังซินอวี่เป็นยอดอัจฉริยะแห่งยุคคนหนึ่งแล้ว

หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลง พยายามตั้งสติ

ปรากฏว่าบุคคลที่มีพลังปราณธาตุอยู่ในตัว 2 ชนิดมีอยู่จริงๆ ด้วย

เขานึกว่ามันจะมีแค่ในตำนานเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่าพลังปราณธาตุน้ำของตนเองที่มาพร้อมกับพลังพิเศษสามารถรักษาอาการบาดเจ็บ เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดแล้ว แต่ใครเลยจะคิดว่าคู่ต่อสู้ของเขา นอกจากจะมีพลังปราณธาตุไม้ นางยังมีพลังปราณธาตุไฟ ซึ่งถือเป็นอริโดยตรงกับพลังปราณธาตุน้ำของเขาอีกด้วย

เด็กหนุ่มพยายามไล่ความตกตะลึงออกไปจากจิตใจ

ขณะนี้ รัศมีสีเขียวโปร่งแสงที่ห้อมล้อมอยู่รอบกายหวังซินอวี่ก็ไม่ได้จางหายไปหรือเบาบางลงเลย มันสามารถผนวกเข้ากับรัศมีสีแดงส้มของพลังปราณธาตุไฟได้เป็นอย่างดี มิหนำซ้ำ ดูเหมือนว่ามันยังเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้เปลวไฟจากร่างกายของหวังซินอวี่พุ่งขึ้นสูงมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ให้มันได้แบบนี้เถอะ!

นี่แหละคนไฟลุกที่แท้จริง

หวังซินอวี่เปิดได้พลังปราณธาตุที่เกื้อกูลกันและกันเป็นอย่างดี

และนั่นส่งผลให้บัดนี้ เด็กสาวมีระดับพลังปราณล้ำหน้าหลินเป่ยเฉินไปแล้วหนึ่งขั้น ไม่ว่าจะใช้พลังปราณธาตุไฟหรือพลังปราณธาตุไม้ หลินเป่ยเฉินก็กลายเป็นฝ่ายที่ต้องตกเป็นรองแล้ว

“เจ้าคงตั้งใจปิดบังฝีมือที่แท้จริงเอาไว้ เพื่อทำให้ทุกคนประมาทเจ้าเกินไปสินะ” หลินเป่ยเฉินอดชื่นชมออกมาไม่ได้

หวังซินอวี่ตอบว่า “รวมถึงท่านก็ประมาทข้าเกินไปเช่นกัน”

หลินเป่ยเฉินยิ้มแห้ง

ในฐานะที่คอยระมัดระวังตัวอยู่ทุกฝีก้าว มันช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกินที่ได้ยินคำพูดนี้

เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าหวังซินอวี่สามารถควบคุมพลังปราณธาตุทั้งสองชนิดในร่างกายไม่ให้มันตีกันได้อย่างไร? นางเป็นเพียงลูกศิษย์ในสถาบันมือกระบี่รุ่นเยาว์ ย่อมไม่สามารถจัดการเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ด้วยตนเองเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ที่คอยสอนหวังซินอวี่เป็นผู้ใดกัน?

“เราเสียเวลาไปมากพอแล้ว” หวังซินอวี่พูดขึ้นอีกครั้ง “มาตัดสินผลแพ้ชนะด้วยกระบวนท่าเดียวกันเถอะ”

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบขณะรับคำว่า “ด้วยความยินดี”

ถึงเวลาเอาจริงแล้วสินะ

เด็กหนุ่มโคจรพลังลมปราณเพื่อใช้งานวิชาโลหิตกระชากวิญญาณ

คลื่นพลังปราณธาตุน้ำแผ่ออกมาจากรอบร่างกาย ทันใดนั้น ม่านหมอกเลือดก็พุ่งออกมาจากรูขุมขนบนตัวหลินเป่ยเฉิน

วิชาโลหิตกระชากวิญญาณนอกจากเปลี่ยนแปลงโลหิตเป็นกำลังวังชาได้แล้ว ผู้ที่ฝึกฝนวิชานี้ยังสามารถเลือกที่จะใช้โลหิตในร่างกาย เปลี่ยนมาเป็นพลังลมปราณได้อีกด้วย และสิ่งที่ดูเหมือนม่านหมอกเลือดที่พุ่งออกมาจากรูขุมขนนั้น แท้จริงแล้วมันก็เป็นคลื่นพลังลมปราณนั่นเอง

ลักษณะจะแตกต่างจากตอนที่หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนโลหิตในร่างกาย ให้เป็นเรี่ยวแรงสำหรับยกกระถางทองคำอยู่เล็กน้อย

บัดนี้ ม่านพลังที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสีเลือดโดยสมบูรณ์ มันทำให้หลินเป่ยเฉินเสียเลือดในร่างกายไปเป็นจำนวนมาก และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณกลายเป็นวิชาต้องห้ามสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป

“ทำไมรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะระเบิดเลยวะ” หลินเป่ยเฉินพึมพำกับตนเอง

จากนั้น เขาก็จับดาบศีลธรรมด้วยสองมือ ก่อนที่จะยกดาบขึ้นช้าๆ และคำรามว่า “กระบวนท่าที่ข้าจะใช้มาจากวิชากระบี่ที่มีนามว่ากระบี่สามสัณฐานแห่งเป่ยไห่ ครั้งนี้ข้าเพิ่งจะลองใช้งานเป็นครั้งแรก การโจมตีจะรุนแรงสักแค่ไหน ข้าไม่อาจรู้ได้เลย รบกวนคุณหนูหวังคงต้องระวังตัวเองแล้ว!”

ดวงตาคู่งามของหวังซินอวี่เบิกโตเป็นประกายสดใส พูดว่า “ประเสริฐ กระบวนท่าที่ข้ากำลังจะใช้ต่อไปนี้ มาจากวิชา ‘กระบี่บัวพิโรธ’ นับตั้งแต่ที่อาจารย์สอนข้ามา ข้าก็ไม่เคยใช้งานเลยสักครั้ง รบกวนคุณชายหลินคงต้องระวังตัวเองเช่นกัน!”

“รีบหาข้อมูลของเด็กสาวคนนี้มาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

เสียงของหวังหรู่อี้อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น

ผู้ติดตามที่นั่งอยู่ด้านข้างรีบส่งบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหวังซินอวี่มาให้ดูทันที

แต่หวังหรู่อี้กลับรับไปชำเลืองมองเพียงเล็กน้อย ก็ฉีกกระดาษเหล่านั้นออกเป็นชิ้นๆ พูดด้วยความฉุนเฉียวว่า “นี่มันข้อมูลที่ได้มาจากกระทรวงศึกษาของเมืองหยุนเมิ่งไม่ใช่หรือ? มันมีค่าไม่ต่างอะไรไปจากป้ายโฆษณาข้างถนนเลยสักนิด…ทำไมถึงไม่มีใครบอกข้าเลยว่าหวังซินอวี่มีพลังปราณธาตุอยู่ในร่างกายถึงสองชนิด?”

หลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงของเหวินโต้วหลิน ตัวแทนจากสถาบันกระบี่ระดับสามัญไห่อันพูดขึ้นมาว่า “เด็กคนนี้ต้องเป็นของสถาบันเราเท่านั้น ใครคิดจะแย่งชิงนางไป ต้องข้ามศพข้าไปก่อน…พวกเรารีบส่งคนไปติดต่อครอบครัวของนางเร็วเข้า บอกไปว่าทางสถาบันจะรับผิดชอบค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง…”

แต่ไม่มีใครเห็นแก่หน้าของเขาเลย

อาจารย์ใหญ่และรองอาจารย์ใหญ่จากหลากหลายสถาบัน พร้อมใจกันตะโกนสั่งงานผู้ติดตามตนเองเสียงดังวุ่นวาย

“ไปติดต่อสถานศึกษาของนางเดี๋ยวนี้…”

“ไม่ว่าครอบครัวของนางต้องการสิ่งใด จงตอบรับไปอย่าได้ปฏิเสธเด็ดขาด”

“หากเจ้าไม่สามารถทำให้คุณชายหวังส่งบุตรสาวของเขามาเรียนกับสถาบันของพวกเราได้ ข้าจะไล่เจ้าออก”

เมื่อมีการออกคำสั่งมาเด็ดขาดขนาดนั้น เจ้าหน้าที่จากสำนักกระบี่ระดับสามัญจึงรีบเร่งเดินทางเข้าไปในตัวเมือง เพื่อตามหาบิดามารดาของหวังซินอวี่ เช่นเดียวกันพวกเขาก็เดินทางไปยังสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่ง เพื่อพูดคุยเรื่องรายละเอียดและค่าใช้จ่ายในการย้ายตัวลูกศิษย์ไปสู่สำนักศึกษากระบี่แห่งใหม่

แต่ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าทำไมอาจารย์เหล่านั้นต้องสั่งงานด้วยการตะโกนด้วย?

เพราะมันทำให้กลุ่มคนดูขณะนี้ต้องยกมือขึ้นมาอุดหู พวกเขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังนั่งอยู่กลางพายุลมแรง คลื่นเสียงแผ่กระจาย มวลอากาศปั่นป่วน และทำให้คนธรรมดาต้องหูอื้อไปอีกพักใหญ่

ฝีมือที่แท้จริงของหวังซินอวี่ทำให้ใครหลายคนต้องตกตะลึง

นางมีพลังปราณธาตุอยู่ในตัวถึง 2 ชนิด

นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองหยุนเมิ่งมาก่อน

แม้แต่ผู้ตรวจการมณฑลที่พูดน้ำไหลไฟดับอยู่ตลอดเวลา ก็ยังแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย

หยุนเมิ่งเป็นเมืองติดชายทะเลตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล

ทำไมถึงได้มียอดฝีมือปรากฏตัวขึ้นมาคนแล้วคนเล่าอย่างนี้?

ไป๋ไห่ชินที่นั่งอยู่ข้างกายสีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน

“อย่าบอกนะว่าหยุนเมิ่งเป็นเมืองสำหรับการเก็บตัวของยอดฝีมือ?”

นั่นคือความคิดที่ผุดขึ้นมาในจิตใจของชายชรา เปรียบเทียบความแข็งแกร่งเท่าที่ตาเห็น หวังซินอวี่มีความแข็งแกร่งมากกว่าเฉาพั่วเถียนเมื่อหลายปีก่อน ทำไมก่อนหน้านี้นางถึงไม่ปรากฏตัวออกมานะ? มิเช่นนั้น เขาคงไม่ต้องมีลูกศิษย์เป็นเฉาพั่วเถียนแล้ว

แต่มันก็เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาแค่แวบเดียวเท่านั้น

วินาทีต่อมา สีหน้าของไป๋ไห่ชินก็กลับมาเป็นปกติ

เขามั่นใจว่าอย่างไรเสียผู้ชนะการแข่งขันประจำปีนี้ก็ต้องเป็นเฉาพั่วเถียนแน่นอน

เพราะว่าทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว

ต่อให้หวังซินอวี่สามารถเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้ แต่นางก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่เฉาพั่วเถียนอยู่ดี

เพราะว่าเฉาพั่วเถียนมีตัวช่วยพิเศษ

บิดาของหลินอี้ที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างเจียมตัวเจียมตน พลันมีความโกรธแค้นปรากฏขึ้นมาบนสีหน้า เขาหวังที่จะได้เห็นหลินเป่ยเฉินพ่ายแพ้และเฉาพั่วเถียนเป็นผู้คว้าชัยชนะประจำการแข่งขันปีนี้ โดยที่มีบุตรชายของเขาเป็นผู้ช่วยเหลือคนสำคัญ แต่ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบัดนี้แล้ว…

ทันใดนั้น…

เปรี้ยง!

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ดังมากกว่าที่ผ่านๆ มา เสียงระเบิดนั้นดังกังวานไปทั่วท่าเรือ

พื้นดินถึงกับเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย

บนหน้าจอในขณะนี้ การตัดสินผลแพ้ชนะด้วยกระบวนท่าเดียวระหว่างหวังซินอวี่กับหลินเป่ยเฉินจบลงแล้ว

เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ ปกคลุมดาดฟ้าเรือร้านขายอัญมณีหลิวไคให้กลายเป็นสีแดงเพลิง เช่นเดียวกับภาพบนหน้าจอถ่ายทอดสดที่แตกพร่าอย่างกะทันหัน

เพียงไม่นาน ทุกคนก็ได้รับทราบแล้วว่าใครเป็นผู้แพ้ ใครเป็นผู้ชนะ

เมื่อภาพบนหน้าจอกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เงาร่างของคนผู้หนึ่งลอยกระเด็นออกมาจากใจกลางแรงระเบิดไฟ คนผู้นั้นล้มลงกระแทกดาดฟ้าเรืออย่างแรง มีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก มือที่ถืออาวุธเกิดบาดแผลฉกรรจ์ เลือดไหลทะลักออกมาจากร่างกายเป็นกองใหญ่ราวกับท่อน้ำแตก!

และบุคคลผู้นั้นก็คือหวังซินอวี่