คนจิตใจคับแคบอย่างฮ่องเต้นั้น ไม่อาจใจดีกับพวกนางสองแม่ลูกได้อยู่แล้ว
กระนั้นนางก็ยังเสี่ยงชีวิตช่วยฮ่องเต้มาจากเงื้อมมือของฉู่อี้เจี่ยน
“เดิมทีข้าก็คิดว่าครั้งนี้จะสามารถยืมมือฉู่อี้เจี่ยนจบภาระเรื่องนี้ไปได้เสียอีก ไม่คิดว่ากลับมาเสียท่าในตอนสุดท้าย”
ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ในน้ำเสียงเจือไปด้วยความเสียดายอยู่บ้าง
แม้ว่าฉู่อี้อันจะมีใจคิดบังคับฮ่องเต้ลงจากตำแหน่งก็ตามที แต่อย่างไรก็ยังตระหนักว่าอีกฝ่ายเป็นบิดา จึงไม่ได้มีความคิดอยากจะให้อีกฝ่ายตายแต่อย่างใด
แต่ตัวเขาเอง แม้ว่าเขาจะไม่สนว่าชีวิตของฮ่องเต้จะตายตกด้วยน้ำมือของใคร แต่ก็กลับยังคำนึงถึงฉู่อี้อัน จึงไม่อาจลงมือกับฮ่องเต้ได้อย่างโจ่งแจ้ง
โอกาสครั้งนี้ หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขากลับรู้แจ้งแก่ใจ…
ที่ฉู่อี้อันได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อาจหลบลูกดอกนั้นได้ แต่เพราะเขาตั้งใจทำเช่นนั้นต่างหาก
ฮ่องเต้ในยามนี้ เขาสามารถทำให้ชีวิตของผู้อื่นนั้นล้วนอยู่ในกำมือเขาได้ตลอดเวลา นี่เป็นการตัดสินใจแน่วแน่ครั้งสุดท้ายของฉู่อี้อันที่เลือกใช้วิธีที่สุดโต่งเช่นนี้ เพราะเลือกที่จะปล่อยเรื่องราวนี้ไปอย่างไม่สนใจ
“ความคิดของข้าและฉู่สวินหยาง ท่านพ่อล้วนรู้ดี นี่เป็นโอกาสที่เขามอบให้พวกเรา เพียงแต่เสียดาย…” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ขณะที่คิดก็ยังคงส่ายหน้าอย่างขมขื่น
เจี่ยงลิ่วก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว จึงเข้าไปช่วยเขาคอยจัดการนำทหารมาดับไฟ
ยามที่ทางด้านนี้กำลังวุ่นวายไปด้วยผู้คน ก็พบกับจูหย่วนซานที่ย้อนกลับมาถลาเข้ามาด้วยท่าทีตื่นตระหนกอยู่บ้าง
เมื่อฉู่ฉีเฟิงเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วถาม “เป็นอะไร? เกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นรึ?”
“ได้ข่าวทางด้านท่านหญิงแล้วขอรับ!” จูหย่วนซานกล่าว ก่อนจะปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ท่านหญิงถูกท่านชายเจี่ยนพาตัวไปที่จวนรุ่ยชินอ๋อง จากนั้นก็ไม่ได้กลับออกมาขอรับ ยามนี้ใต้เท้าเหยียนหลิงตามไปทันและพาตัวไปแล้วขอรับ!”
“เช่นนั้นรึ!” ใบหน้าของฉู่ฉีเฟิงดูคลุมเคลือ แต่ใจที่แขวนค้างกลางอากาศมาตั้งนาน ในที่สุดก็ค่อยตกสู่พื้นเช่นเดิมแล้ว
จูหย่วนซานใช้หางตามองพินิจท่าทีของเขา แต่อย่างไรก็ดูไม่ออกอยู่ดี ท้ายที่สุดเขาก็ไม่กล้าปิดบัง ผ่านไปชั่วครู่ก็กล่าวเสริมอีกประโยค “ฝ่าบาทได้ส่งองครักษ์ลับ…ไปจัดการกับคนในจวนรุ่ยชินอ๋องแล้วขอรับ!”
ฉู่ฉีเฟิงฟังจบ ก็แทบที่จะสั่นไปทั่วสรรพางค์กาย ใบหน้าที่งดงามราวกับหยกแกะสลักนั้น ชั่วขณะก็เผยความเยือกเย็นอย่างถึงที่สุด
จูหย่วนซานรับรู้ถึงบรรยากาศเยียบเย็นที่แผ่มาจากตัวเขา ก็จำต้องฝืนกล่าวต่อไป “เป็นช่วงหลังจากที่รถม้าของท่านหญิงฉางหนิงออกจากจวนไปขอรับ!”
“องครักษ์ลับของฮ่องเต้หนึ่งวันสิบสองชั่วยามล้วนจับตามองอยู่ที่จวนรุ่ยชินอ๋อง ท่านหญิงตกอยู่ในมือของท่านชายเจี่ยน เขาย่อมไม่มีทางไม่รู้เรื่องนี้” เจี่ยงลิ่วที่ฟังอยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ “แล้วเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้เล่า?”
ฮ่องเต้ไม่มีเหตุผลที่จะฆ่าฉู่สวินหยาง แม้ว่าหลังจากที่กลับเมืองฉู่มาฉู่สวินหยางจะแข็งข้อก่อเรื่องให้เขาเดือนร้อนใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดที่ว่าจะทำให้เขามีใจสังหารนางได้
ยิ่งไปกว่านั้น…
ยังมีฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงอยู่ ฮ่องเต้จะลงมือกับฉู่สวินหยางได้อย่างไร?
ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่ได้สนใจคำพูดของเขา ขยับมือกำหมัดแน่นใต้แขนเสื้อ ผ่านไปพักใหญ่ จึงค่อยสงบใจลง เอ่ยออกไป “สวินหยางล่ะ? ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“ท่านหญิงไม่เป็นไรขอรับ ใต้เท้าเหยียนหลิงตามไปทันเวลา จึงพาตัวออกไปแล้วขอรับ!” จูหย่วนซานกล่าว
ฉู่ฉีเฟิงได้ยินเช่นนี้ จู่ๆ ริมฝีปากก็กระตุกขึ้นอย่างประหลาด
ริมฝีปากของเขาเป็นสีแดงระเรื่อดูมีเสน่ห์ เดิมทีก็มีใบหน้าที่งดงามอย่างหาได้ยากยิ่ง แต่เพราะยามปกติเขามักจะเป็นคนที่สุขุมนิ่งลึก ไม่ค่อยเผยรอยยิ้มให้เป็นจุดสนใจ เมื่อมองแล้วจึงดูสง่างามน่าค้นหา
แต่ในยามนี้ เจี่ยงลิ่วกับจูหย่วนซานที่มองรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายและเย็นเยียบของเขา ต่างก็พากันรู้สึกเจ็บแสบ ไปหมด
“เป็นฉู่ซินรุ่ย!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
มิน่าเล่าหญิงสาวผู้นั้นจึงยอมทำลายโอกาสที่ฉู่อี้เจี่ยนคว้าไว้ได้ ทั้งยังช่วยฮ่องเต้ ก็เพราะว่านางเองเข้าใจเรื่องที่ตัวเองทำลงไปเป็นอย่างดี
นางคิดลงมือสังหารฉู่สวินหยางจริงๆ เช่นนั้นภายหลังไม่ว่านางจะตกไปอยู่ในมือของฉู่อี้อันหรือฉู่ฉีเฟิง…
จุดจบนั้นแทบที่จะไม่มีอะไรดีไปกว่าการตกลงไปในมือของฮ่องเต้อีกแล้ว
ดังนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักคำนึงถึงทั้งสองฝ่าย นางจึงทำได้พียงเลือกช่วยฮ่องเต้มาจากฉู่อี้เจี่ยน อย่างน้อยที่สุดหากฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ นางก็อาจมีทางให้หันหลังกลับอยู่!
ผู้หญิงคนนี้…
ฉลาด! ฉลาดยิ่งนัก!
มือซ้ายที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมของฉู่ฉีเฟิงบิดจนเกิดเป็นเสียงดังกรอดๆ
จูหย่วนซานมองใบหน้าที่มืดดำและเยือกเย็นของเขา ก็คล้ายกับไม่ใช่รอยยิ้มของเขาอย่างแปลกประหลาด พริบตานั้นสมองก็สว่างวาบ เข้าใจความหมายของเขาขึ้นมาอย่างทันที
“ท่านชายกำลังจะบอกว่า ผู้ที่สั่งให้องครักษ์ลับลงมือกับท่านหญิงคือท่านหญิงฉางหนิง?” ตาของจูหย่วนซานเบิกกว้างอย่างยากที่จะเชื่อ กล่าวด้วยสับสน “เป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ นั่นเป็นองครักษ์ลับของฝ่าบาทนะขอรับ!”
องครักษ์ลับของฝ่าบาท จะฟังคำสั่งของฉู่ซินรุ่ยได้อย่างไร?
แต่ไม่ว่าหญิงสาวผู้นี้จะทำได้อย่างไร แต่เรื่องนี้ย่อมต้องเป็นฝีมือของนางอย่างไม่อาจผิดเพี้ยนไปได้
ฉู่ฉีเฟิงไม่มีใจจะไปคิดถึงเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นอีกแล้ว สะบัดเสื้อคลุมก็ก้าวเท้าใหญ่หมุนกายเดินไป “เจี่ยงลิ่วเจ้าอยู่ช่วยจัดการที่นี่ ส่วนจูหย่วนซานไปกับข้า ไปกองบัญชาการทหารม้าเมืองเก้า เตรียมระดมกำลังคน สั่งปิดเมือง จับกุมคนพวกนั้นให้ข้า”
“ขอรับ!” จูหย่วนซานรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ก็สาวเท้าก้าวตามเขาอย่างรีบเร่ง เดินไปพลางก็รายงานข่าวใหม่ที่ได้รับให้เขาไปพลาง “ซื่อจื่อหนานเหอที่ถูกคนของจวนรุ่ยชินอ๋องควบคุมตัว ได้หลบหนีไประหว่างทางกลับเมืองแล้วขอรับ เมื่อเกิดเรื่องในวัง เขาก็ตรงไปยังค่ายพยัคฆ์เพื่อเคลื่อนกำลังพลทันที ยามนี้คนของค่ายพยัคฆ์ได้สกัดกั้นล้อมรอบทั้งเมืองหลวงไว้หมดแล้ว ไม่มีใครสามารถเข้าออกเมืองได้ตามใจชอบแล้วขอรับ”
“เขาช่างโชคดีเสียจริง!” ฉู่ฉีเฟิงแค่นหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร
ค่ายพยัคฆ์นอกเมือง หากไม่มีตราพยัคฆ์ของฮ่องเต้ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวโดยพลการได้ ครั้งนี้เป็นโชคดีของฉู่ฉีเหยียนจริงๆ เพราะว่าฉู่อี้เจี่ยนใช้ดินปืนโจมตี อนุภาพของเสียงจึงมีมาก เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนไปถึงค่ายพยัคฆ์ทางนั้น
เขาจึงสามารถเคลื่อนกำลังพลมาได้โดยราบรื่น นับเป็นผลงานที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญเสียจริง
กลุ่มของฉู่อี้เจี่ยนออกจากวังด้วยความเร่งรีบ
เวลานี้สีของท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว แสงบนรถม้าจึงสลัวเป็นอย่างมาก
ฉู่อี้เจี่ยนหลับตาพิงพนักรถม้าเพื่อสงบใจ ฉู่ซินรุ่ยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กลับจิตใจสับสนว้าวุ่น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ตั้งแต่รถม้าออกจากวัง นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเลยว่ากำลังจะไปไหน
ครุ่นคิดอยู่นาน ฉู่ซินรุ่ยก็เงยหน้ามองไปทางฉู่อี้เจี่ยน เปิดปากอย่างหยั่งเชิง “พี่ห้า!”
ฉู่อี้เจี่ยนลืมตาขึ้น ตั้งแต่เดินทางเขาก็ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอันใดออกมา เพราะรู้ว่าหากเปิดปากถามไปก่อนก็ไม่มีประโยชน์อันใด เวลานี้ฉู่ซินรุ่ยเป็นฝ่ายเรียกเขาก่อน เขาจึงเงยมองไป ถามด้วยอารมณ์คล้ายผืนน้ำที่ราบเรียบ “มีเรื่องอันใด?”