บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ บทที่ 412

ทั้งสองเดินตามเจเรมี่เข้ามาข้างในสุสานด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง ปลายทางของพวกเขามาหยุดอยู่ที่หลุมศพที่ถูกทำลายให้แตกออกเป็นชิ้น ๆ

“นี่… ที่นี่คือสถานที่ฝังมาเดลีนเอาไว้ใช่ไหม?” ภายในดวงตาเอโลอิสเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

เธอรับไม่ได้จริง ๆ กับสภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า

สภาพหลุมศพดูรกร้าง แม้แต่แท่นที่แกะสลักชื่อยังแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันไม่สามารถประกอบกลับเข้าด้วยกันเป็นชิ้นสมบูรณ์ได้อีก

“เมเรดิธเป็นคนก่อความพินาศพวกนี้ขึ้น” เจเรมี่ตอบออกไปเบา ๆ

ดวงตาของคนเป็นเอโลอิสและฌอนถูกจุดประกายให้เกิดความโกรธขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่ทว่า ภายในใจของพวกเขาตอนนี้กลับมีความโศกเศร้ามากขึ้น

เอโลอิสวางช่อดอกไม้ในมือของเธอลงกับพื้นพร้อมกับเดินไปที่ก้อนหินที่กระจัดกระจายพวกนั้น และโน้มตัวนั่งลงไปอย่างช้า ๆ

เธอหยิบเอาก้อนกรวดชิ้นเล็ก ๆ ขึ้นมาและลูบมันด้วยความทะนุถนอมราวกับว่าเธอกำลังถือสมบัติมีค่าอยู่

มีเพียงน้ำตาแห่งความเสียใจที่ไหลลงหินพวกนั้นโดยที่ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมา ทิ้งไว้เพียงแค่คราบน้ำตาที่ร่วงหล่นอยู่บนนั้น

“ลูกสาวตัวน้อยของพ่อ…”

ฌอนเองได้นั่งลงและใช้แขนตัวเองโอบล้อมรอบเอโลอิสเอาไว้ ทั้งสองพากันร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ

หากพวกเขาไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจเธอมากขนาดนั้น และพากันทุบตีสาปแช่งเธอ พวกเขาคงไม่รู้สึกผิดจนไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ในความเศร้าเสียใจในตอนนี้

เจเรมี่มองดูคู่รักที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของกันและกันโดยที่ไม่พูดอะไรออกมา นัยน์ตาสีดำของเขาไม่เหลือความเศร้าหมองอีกต่อไปเมื่อเขามาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน

เอโลอิสใช้เวลาอยู่แบบนั้นสักครู่ก่อนที่จะปรับสภาพความรู้สึกตัวเองก่อนที่จะลุกขึ้นมา

“ขี้เถ้าของมาเดลีนอยู่ที่ไหน? ขี้เถ้าของเธออยู่ที่ไหนกัน? ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะสร้างหลุมศพอันใหม่ให้ลูกสาวของฉันอีกครั้ง”

“เมื่อก่อนมันอยู่ที่นี่แต่ว่าถูกเมเรดิธขโมยไป ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”

“ว่าไงนะ!?”

“ทำไมเมเรดิธถึงขโมยขี้เถ้ามาเดลีนไป? เพราะอะไรกันทำไมเธอถึงทำแบบนั้น?” ฌอนไม่เข้าใจพฤติกรรมไร้สาระนี้

เอโลอิสโกรธมาก “ผู้หญิงคนนี้ ทำไมถึงใจร้ายได้ขนาดนั้น? เธอเป็นคนลงมือทำร้ายมาเดลีน จนลูกสาวผู้น่าสงสารของฉันไม่สามารถอยู่กับพวกเราได้ในตอนนี้ ฉันไม่อยากจะคิดมาก่อนเลยว่าแม้แต่ขี้เถ้าของมาเดลีนก็ยังไม่รอดพ้นน้ำมือผู้หญิงคนนั้น! ฉันจะไปทวงขี้เถ้าของลูกสาวตัวเองคืนมา ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนก็ตาม!”

“เอโลอิสรอด้วย ให้ผมไปกับคุณนะ” ฌอนพูดและเริ่มเดินตามภรรยาของเขาไป

“อย่าเสียเวลาเลย เธอไม่มีทางบอกคุณแน่นอน”

จังหวะของฝีเท้าเอโลอิสได้หยุดลง น้ำตาของเธอกระทบเข้ากับแสงแดดส่องแสงระยิบระยับอยู่ภายในดวงตาบ่งบอกถึงความเสียใจที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้และการตำหนิตัวเอง

“เจเรมี่ ฉันรู้ดีว่านายเกลียดมาเดลีนมากแค่ไหนและนายคงไม่สนใจว่าขี้เถ้าของเธอจะเป็นตายร้ายดียังไง นายไม่สนใจแม้ว่าหลุมศพของเธอจะถูกทำลายไปยังไง ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันเองก็คงจะเป็นเหมือนกับนาย เพิกเฉยต่อเรื่องนี้และไม่สนใจใยดีทั้งสิ้น ฉันไม่ต้องมากังวลว่าหลุมนั่นจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่ตอนนี้…”

เอโลอิสยิ้มออกมาให้ตัวเองด้วยความข่มขืน

“เธอคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฉัน ฉันจะเต็มใจให้เธออยู่อย่างไร้สงบได้ยังไงแม้กระทั่งเธอตายไปแล้ว…”

เมื่อได้ฟังเอโลอิสพูดอย่างนั้น ปากของเจเรมี่ได้ดึงเข้าหากันเป็นรอยยิ้ม

ทุกคนต่างรู้ดีว่าผู้หญิงคนนั้นคลั่งไคล้และมอบความรักให้กับเจเรมี่แค่ไหน แต่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเขาเองนั้นรักเธอมากแค่ไหนเช่นกัน

เขาไม่ได้วิตกกังวลอะไรกับเธอเพราะว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้สำคัญกับเขาอีกต่อไป

“ผมคิดว่าคุณควรไปที่อื่นกับผมก่อน” เจเรมี่ตอบกลับพร้อมกับก้าวขาเรียวยาวของเขาไปข้างหน้า

เอโลอิสและฌอนเดินตามหลังเขาไปหลังจากที่ลังเลอยู่สองสามวินาที

เจเรมี่พาพวกเขาไปที่หลุมศพของ เลน ซามูเอล ที่เป็นปู่ของมาเดลีน

พวกเขาเห็นชื่อที่สลักอยู่หน้าหลุมศพ เอโลอิสและฌอนพากันเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อพวกเขาใช้ความคิดอย่างหนักขณะที่เห็นคนที่สร้างหลุมศพนี้ขึ้นมาคือมาเดลีน นั่นทำให้ทั้งคู่ตกใจมาก

“ปู่?” เอโลอิสงงมาก

พ่อของเธอไม่ได้ชื่อว่า เลน ซามูเอล เขาอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศมาหลายปีหลังจากที่เธอแต่งงาน เขาไม่เคยกลับมาที่เกลนเดลอีกเลย

“เขาเป็นญาติคนเดียวที่เลี้ยงมาเดลีนให้เติบโตขึ้นมา” เจเรมี่อธิบาย

ได้ฟังดังนั้นทั้งสองก็รู้สึกขอบคุณกับบุคคลที่นอนอยู่ในหลุมคนนี้เล็กน้อย

“เป็นชายชราคนนี้เองที่เลี้ยงลูกสาวของฉันมาตั้งแต่เด็กจนโต”เอโลอิสคำนับด้วยความใจจริงในขณะที่มองดูชื่อที่หน้าหลุมศพไปด้วย และทันใดนั้นเธอเริ่มรู้สึกตัวว่าชื่อนี้ค่อนข้างดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด “เลน ซามูเอ…ฉันรู้สึกว่าเคยเห็นชื่อนี้ที่ไหนสักแห่ง”

เธอใช้ความคิดอย่างหนักและทันใดนั้นคล้ายกับว่ามีบางอย่างดลใจให้เธอนึกออก

“ใช่แล้ว นึกออกแล้ว ฉันเคยเห็นชื่อนี้ที่บ้าน!”