บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 186 ฝึกวิชา
“เถ้าแก่หวัง ไม่ได้พบกันนานเลย” ต้าชิงกับต้าเฉินต่างพากันออกมาในเขตเมืองทันที่รู้ว่าเถ้าแก่หวังก็เป็นหนึ่งในอสูรที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเมืองในเขตอสูรผาไร้ก้นแห่งนี้ทําให้เถ้าแก่หวังสามารถเปิดโรงเตี้ยมแห่งใหม่ของมันได้ในเมืองจําลองแห่งนี้เช่นกัน
“โอ้ พวกเจ้าเอง”เถ้าแก่หวังว่าพลางยิ้มอย่างดีใจ มันไม่ได้เจอต้าชิงกับต้าเฉินมานาน พวกมันท่าทางจะเติบโตขึ้นมากทีเดียว
“พวกเจ้าดูแลนายน้อยดีหรือเปล่า”เถ้าแก่หวังถามด้วยความสงสัยเพราะมันกังวลไม่น้อยเลยว่าต้าชิงกับต้าเฉินจะสร้างปัญหาให้ไปจูเหวินหรือไม่
“ขอรับ..” ต้าชิงว่าพลางหลบสาวตาเถ้าแก่หวังนิดหน่อย
“อันที่จริง ส่วนใหญ่นายน้อยเป็นคนดูแลพวกเราเสีย มากกว่าละมั้ง”ต้าเฉินยิ้มเงื่อนๆพลางหัวเราะออกมา
“พวกเจ้านี่นะ”เถ้าแก่หวังถอนหายใจพลางส่ายหน้าเบาๆ
“แล้วนายน้อยล่ะ ไม่ได้มาด้วยหรือ”เถ้าแก่หวังทําใจกับ อดีตคนใช้ของมันก่อนจะถามหาไปจูเหวินเพราะต้าชิงกับต้าเฉินไม่มีทางเข้ามาในเขตอสูรผาไร้ก้นได้แน่นอนหากไม่มีไปจูเหวินมาด้วย
“นายน้อยไปกับท่านราชาขอรับ” ต้าชิงตอบเพราะมังกรธรณีเรียกไปจูเหวินไปตั้งแต่เช้าแล้ว
“ทางนี้จูเอ๋อ”มังกรธรณีและเหล่าน้าๆของไปจูเหวินต่างเดินนําไปจูเหวินเข้ามาในชั้นใต้ดินของปราสาทที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่ของพวกน้าๆ
“ที่นี่คือที่ไหนหรือขอรับ”ไปจูเหวินถามพลางมองไปรอบๆ ภายในชั้นใต้ดินถูกเจาะเป็นทางเดินยาวและลาดชันทําให้ไปจเหวินรู้สึกเหมือนตนเองกําลังเดินลึกลงไปในดินเรื่อยๆไม่มีผิด
“ข้าสร้างห้องๆหนึ่งให้เจ้าเผื่อเจ้าจําเป็นต้องใช้”น้ามังกรตอบเสียงเรียบพลางเดินมาหยุดยืนที่ประตูโลหะขนาดใหญ่ก่อนที่มันจะผลักประตูให้เปิดออกช้าๆ
“ข้าได้ข่าวมาว่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณของมนุษย์จะใช้ถ้ําที่มีกระแสพลังวิญญาณไหลเวียนและเงียบสงบในการฝึกฝนอย่างจริงจัง ข้าเลยลองทําให้เจ้าดู”มังกรธรณีตอบพลางพาไปจูเหวินเข้ามาในห้อง ปกติเหล่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณจะหา ถ้ําเพื่อฝึกฝนวิชาด้วยตนเอง ซึ่งการจะเจอแต่ละที่นั้นค่อน ข้างยากมากทีเดียวแถมพอเจอแต่ละที่ผู้ฝึกฝนวิญญาณคน อื่นๆก็จะครองเป็นเจ้าของกันหมดอย่างหวงหลงเองก็มีถ้ํา ฝึกฝนของตนเองกว่า 6 แห่ง ซึ่งถ้ําที่ไปจูเหวินเคยไปรับเหมียหลินก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
“ที่นี่มัน…”ไปจูเหวินว่าพลางมองห้องที่น้ามังกรสร้าง มันมีขนาดใหญ่และกว้างขวางอย่างมาก แถมในห้องยังมีอ่างน้ําขนาดใหญ่เอาไว้เก็บน้ําสําหรับดื่มหรือใช้งานอีกต่างหากแน่นอนว่ามีทั้งเตียงและโต๊ะเก้าอี้พร้อมสับ แต่ที่เตะตาที่สุด คนหนีไม่พ้นรากไม้ที่งอกอกมาจากกําแพง
“ใช่ ที่นี่คือใต้ต้นท้อมังกรทองยังไงล่ะ”ราชสีห์เพลิงตอบ
“พวกเราไม่รู้ว่าที่ไหนมีพลังกระแสพลังวิญญาณเยอะบ้างเลยหาได้แต่พื้นที่ๆมีแต่พลังอสูรอย่างเดียว”น้าจิ้งจอกหัวยิ้มเจื่อนๆพลางหันไปมองมังกรธรณี
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ที่นี่ก็มีกระแสวิญญาณไม่เลวเลย”ไปจูเหวินตอบพลางยิ้มรับ ความจริงมันเป็นพื้นที่กึ่งกลางระหว่างเขตอสูรเดิม 6 เขต เรียกได้ว่าเป็นแหล่งชุก ชุมของพลังอสูรเลยก็ว่าได้ไม่แปลกที่พวกท่านน้าจะเลือกตรงนี้เป็นถ้ําฝึกฝน แต่ทางด้านพลังวิญญาณก็ถือว่าด้อยกว่า ถ้ําของหวงหลงอยู่มาก
“เช่นนั้นห้องนี้ก็เป็นของเจ้านับแต่นี้เป็นต้นไป”มังกรธรณีตอบพลางยิ้มอย่างออกนอกหน้า เห็นไปจูเหวินชอบมันก็ดีใจ
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองใช้ดูเถอะ พวกเราจะดูลอสูรของเจ้าเอง” การเก็บตัวในถ้ฝึกวิชาต้องใช้เวลานาน แน่นอนว่าพวกมันก็ไม่ได้เจอไปจูเหวินไปด้วย แต่พวกมันก็อยากให้ไปจูเหวินพัฒนามากกว่านี้เพราะในโลกยังมันตรายอีกตั้งมากมาย พวกมันเองไม่อาจอยู่ดูแลไปจูเหวินได้ตลอดเวลา
“ขะ ขอรับ”ไปจูเหวินขมวดคิ้วกับท่าทีแปลกๆของพวกท่านน้าแต่ก็ยอมอยู่ในถ้ําฝึกฝนอย่างที่พวกท่านต้องการไม่รู้ทําไมช่วงนี้ผู้ใหญ่ที่มันรู้จักต่างก็อยากให้มันฝึกฝนมากก ว่าปกติเสียอย่างนั้น แต่ไหนๆมันก็กะจะฝึกวิชาทวนมังกรอยู่แล้ว มันเลยตกลงกับพวกท่านน้าอย่างว่าง่าย
“เฮ้อ โชคดีจริงๆที่จูเอ๋อยังปลอดภัย” จิ้งจอกเหมันต์ว่าพลางเดินกลับขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน
“ใช่ ตอนที่ข้าสัมผัสพลังของจูเอ๋อจากสร้อยคอไม่ได้ ข้าก็เป็นห่วงแทบแย่” พยัคฆ์อัสนีตอบพลางเดินมานั่งที่เก้าอี้ช้าๆ ความจริงแล้วสร้อยคอที่พวกมันให้ไปจูเหวินไปนั้นนอกจากจะช่วยแผ่กลิ่นอายของพวกมันให้เหล่าอสูรรับรู้แล้ว พวกมันยังแฝงความสามารถอื่นเข้าไปด้วยนั่นคือการตรวจจับพลังของไปจูเหวินจากระยะไกล
ด้วยวิชาที่แสนซับซ้อน มังกรธรณีสามารถสร้างสร้อยคอที่ทําให้พวกมันทราบความเป็นไปของไปจูเหวินอยู่ ตลอดได้โชคดีที่ไปจูเหวินไม่ค่อยได้เสียงชีวิตเท่าไหร่ พวก มันเลยโล่งใจมาตลอดแต่พักหลังๆไปจูเหวินบาดเจ็บบ่ อยมาก แม้น้าๆจะไม่ทราบ แต่ไปจูเหวินก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาตอนสู้กับอสูรตะขาบและเกือบตายไปแล้วตอนสู้กับผาน สิ่ง แต่พวกมันก็ทราบได้จากสร้อยคอว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหากตอนนั้นพลังของไปจูเหวินไม่ได้ฟื้นกลับมาจนเป็นปกติพวกมันคงเดินทางไปหาไปจูเหวินแล้วแน่ๆ
“ที่นี้ก็”มังกรธรณีว่าพลางหันมามองเหล่าแมงมุมของไปจูเหวิน แมงมุมทั้ง 3 ของไปจูเหวินนั้นมีความแข็งแกร่งของ ตนเองอยู่แล้วแต่ 2 ใน 3 ก็เป็นแค่เด็กพึ่งฟักออกจากไข่ แถมสายพันธุ์ของหงเยว่ยังไม่ได้เก่งกาจมาแต่แรกด้วย ทําให้ความคาดหวังส่วนใหญ่มุ่งไปทางลูกแมงมุมอีกสองตนแทน
“หลินหลิน เจ้ายังจําแร่ที่ข้าให้เจ้ากินก่อนหน้านี้ได้หรือไม่”น้าไก่ฟ้าถามพลางเดินมาหาหลินหลินงๆหงเยว
“อื้อ…” หลินหลินพยักหน้าตอบนางยังจําได้ดีเพราะตอนนี้นางก็ใช้มันแทนเกราะด้านนอกอยู่
“ข้าไปหามันมาเพิ่มแล้ว เจ้าช่วยกินมันเข้าไปแล้วทําให้เกราะของเจ้าหนาขึ้นได้หรือไม่”น้าไก่ฟ้าถามพลางเรียกถุงลูกหนึ่งออกมาภายในนั้นปรากฏแร่สีเขียวปนดําจํา นวนมากกองออกมาจนตกลงพื้น
“ตกลงเจ้านี่มันคืออะไรเหรอ” หลินหลินถามพลางหยิบแร่ที่น้าไก่ฟ้าเอามาให้เข้าปาก แม้แต่หัวหน้าถึงยังไม่ทราบว่าแร่ที่น้าไก่ฟ้าเอาให้กินคืออะไร แถมพลังป้องกันของน างยังเพิ่มสูงขึ้นมากเพราะแร่พวกนี้ด้วย
“มันคือมรกตดํา เป็นแร่ที่มีความแข็งแกร่งอย่างมากแกร่งยิ่งกว่าแร่ที่ใช้ทําอาวุธวิเศษเสียอีก”น้าไก่ฟ้าตอบพลาง หยิบมรกตดําขึ้นมาตัวแร้มีลักษณะเหมือนมรกตสีเขียวเข้ มจนออกดํา แต่มีความแข็งยิ่งกว่าเพชรเสียอีกแต่เดิมมัน เป็นแร่ที่เหล่าช่างตีเหล็กหรือนักหลอมอาวุธต้องการอย่างมาก เพียงแต่มรกตดําแข็งเกินไป ต่อให้ใช้คอนทุบหรือเอาไฟหลอมมันก็ไม่เปลี่ยนรูป ทําให้ไม่อาจนํามาทําอาวุธหรือ เกราะได้ แต่ไม่ทราบฟันของหลินหลินทําจากอะไรถึงสามารถกัดและเคี้ยวแร่มรกตดําได้อย่างกับขนม แถมการขึ้นรู ปนางก็อาศัยพลังธาตุเปลี่ยนของที่กินให้กลายเป็นเกราะได้ด้วยตนเอง ทําให้บนร่างของหลินหลินจึงกลายเป็นเกราะมรกตดําที่มีแห่งเดียวในโลก หากไก่ฟ้าหงอนทองหามรกตดํามาได้มากๆจนเกราะของหลินหลินหนาพอ คาดว่า ศาสตราวุธใดก็ไม่สามารถทําร้ายผิวหนังของนางได้แน่ๆ และยิ่งหลินหลินพลังเพิ่มพูนไปมากกว่านี้นางก็จะยิ่งเป็นเกราะชั้นดีให้ไปจูเหวินอย่างไม่ต้องสงสัย
“ส่วนเจ้า หงเยว”มังกรธรณีว่าพลางเดินมาทางหงเยว่
“เจ้ามากับข้า”มังกรธรณีพูดจบก็เดินเข้าไปในห้องที่เป็นห้องเก็บตําราของมังกรธรณีเอง
หงเยว่แม้จะเป็นอสูรแมงมุมที่มีต้นทุนต่ําที่สุดในเหล่าแมงมุมของไปจูเหวิน แต่นางก็เป็นคนที่อายุมากที่สุดและมี ความรู้มากที่สุด ทําให้มังกรธรณีเลือกที่จะให้นางเข้ามา เรียนรู้ระหว่างที่ไปจูเหวินฝึกอยู่ในถ้ําฝึกฝนนั่นเอง
“เรื่องพวกนี้ คุณชายคงทราบอยู่แล้วนะเจ้าคะ” หงเยว่ว่าพลางมองตําราที่วางเรียงรายอยู่รอบๆห้องแน่นอนว่าไปจูเหวินที่ใช้ชีวิตในเขตอสูรมาเกือบทั้งชีวิตย่อมอ่านตําราพวกนี้จนแตกฉานมหมดสิ้นแล้ว
“เช่นนั้นหากจูเอ๋อบาดเจ็บแล้วใครจะรักษาเขากัน”มังกรธรณีว่าพลางมอบกุญแจห้องเก็บตําราให้กับหงเยว่แม้ไปจูเหวินจะบรรจุวิธีรักษาและสูตรยาจํานวนมาก เอาไว้ในหัวแต่หากเป็นไปจูเหวินเองที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วใครกันจะช่วยไปจูเหวินได้
“ หรือว่าเจ้าไม่อยากช่วยจูเอ๋อกัน” มังกรธรณีถามพลางมองหงเยวที่มองตําราอย่างอึ้งๆ
“ไม่เจ้าคะ ข้าจะช่วยคุณชายไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม” หงเยวตอบพลางรับกุญแจห้องเก็บตํารามาแต่โดยดี
“ข้าต้องขอฝากเจ้าด้วย”มังกรธรณีว่าพลางจับบ่าของหงเยว่เบาๆ
“แล้วเจ้าชื่ออะไรนะ”จิ้งจอกเหมันต์ถามพลางมองยิ่งปิงที่ยืนนิ่งมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เพราะนาง ไม่เคยโดนล้อมด้วยเหล่าอสูรที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนนางเลยไม่กล้าขยับตัวเท่าไหร่
“ปิงปิงเจ้าคะ” หลินหลินเป็นฝ่ายตอบแทนเองเพราะนางทราบดีว่าปิงปิงไม่ค่อยพูดเท่าไหร่
“เหรอ”จิ้งจอกเหมันต์ว่าพลางมองปิงปิงนิ่ง ตัวนางเป็นอสูรธาตุน้ําแข็งทราบทันทีว่าปิงปิงเองก็เป็นอสูรธาตุน้ําแข็งเช่นกันทําให้นางจองตัวปิงปิงเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
“เอาล่ะ ปิงปิง เจ้ามากับข้า” จิ้งจอกเหมันต์ว่าพลางอุ้มตัวปิงปิงขึ้นมาในห้อมแขน
“” ปิงปิงที่โดนจิ้งจอกเหมันต์อุ้มน้ําตาซึมออกมาทันทีเพราะนางยังไม่ทราบว่าพวกมันเป็นน้าๆของไปจูเหวิน
“ปิงปิง พวกท่านเป็นท่านน้าของพี่ไป เจ้าไว้ใจพวกท่านได้” หลินหลินว่าพลางยิ้มให้ปิงปิง พอได้ยินว่าเป็นคนรู้จักของพี่ไปปิงปิงก็ลดท่าที่ระแวงลง
“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเกืองเขาเหมันต์”จิ้งจอกเหมันต์ว่าพลางอุ้มปิงปิงไปอย่างรวดเร็ว