ตอนที่ 274 กำหนดนัดหมาย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อเห็นว่าบุรุษชราไป๋จู่โจมฉินอวี้โม่ เหวินซื่อชู่ก็ขยับร่างทันทีเพื่อที่จะเข้าไปช่วยฉินอวี้โม่หยุดยั้งมัน

“รอดูไปก่อนเถอะ อย่าเพิ่งเข้าไปเลย”

อย่างไรก็ตาม ฉีอวิ๋นเหล่ยห้ามปรามเขาไว้และบอกไม่ให้เขาลงมือ

ถึงแม้เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉีอวิ๋นเหล่ยจึงไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปช่วย เหวินซื่อชู่ก็เชื่อฟังแต่โดยดีและไม่เอ่ยถามอะไร เขาหยุดอยู่กับที่พลางมองไปที่ฉินอวี้โม่ผู้ลึกลับด้วยความสงสัยใคร่รู้

ตูม !

เกิดเสียงดังสนั่นพร้อมร่างของบุรุษชรานามว่าไป๋กระเด็นออกไป

และร่างหนึ่งปรากฏกายถัดจากอดีตนักฆ่าสาว

“หากเจ้าคิดจะทำอะไรนายหญิงของราชาผู้นี้ เจ้าควรพิจารณาตนเองก่อนว่ามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ !”

น้ำเสียงข่มขู่ดุดันดังมาจากร่างนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือราชาเขาเงินผู้พิทักษ์ต้นจินหยินจากป่ารัตติกาลก่อนหน้านี้

“ราชาเขาเงิน !”

เมื่อเห็นร่างของราชาเขาเงิน แน่นอนว่าทั้งจูตี๋และเฟิงอู๋จำได้ตั้งแต่แรกเห็น ทั้งสองตะลึงงันกับสิ่งที่เห็นและค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปที่ร่างของฉินอวี้โม่

“หึ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง !”

ทั้งสองแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชาและมองอริผู้ลึกลับอย่างเคียดแค้น

พวกเขาไม่มีทางลืมบุรุษเสื้อคลุมดำที่ขัดขวางตนในวันก่อนหน้านี้ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ได้ผลจินหยินมาครอบครองดั่งที่ตั้งใจ เมื่อได้เห็นราชาเขาเงินปรากฏกายถัดจากฉินอวี้โม่ในตอนนี้ พวกเขาเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นในป่ารัตติกาล จอมยุทธ์ลึกลับที่ปรากฏตัวอย่างไร้ที่มาเข้ามาขัดขวางพวกเขาและท้ายที่สุดก็คว้าสิ่งที่พวกเขาต้องการไว้เอง อีกทั้งก็ยังสยบอสูรพิทักษ์ต้นจินหยินมาเช่นกัน

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดเลยว่าพวกขี้แพ้อย่างพวกเจ้าทั้งสองจะฉลาดขึ้นมาได้ สามารถที่จะคิดได้ว่าเป็นข้า”

ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากด้วยความสาแก่ใจและไม่ได้ปฏิเสธมัน

นางจงใจเปิดเผยตัวให้อีกฝ่ายรู้ว่านางคือคนเดียวกันกับที่ฉีกหน้าพวกเขาเมื่อวานนี้  ถึงอย่างไรนางและจูตี๋ก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันแล้วและเฟิงอู๋ก็ขัดหูขัดตาอย่างที่สุด ทว่านางไม่เกรงกลัวเฟิงอู๋หรือจูตี๋แม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะขุมกำลังที่หนุนหลังพวกเขา นางก็คงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเองออกไปแล้ว

บัดนี้ในเมื่อนางยอมรับอย่างไม่ปิดบังแล้วว่าตนเองคือผู้ที่ขัดขวางและทำลายโอกาสทองของพวกเขา แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็มีแผนการของนางเอง

การต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้จะต้องทำให้ทั้งจูตี๋และเฟิงอู๋หวาดหวั่นอย่างมาก ไม่ต้องกล่าวถึงตัวตนของคนอื่นๆ เพียงแค่ตัวตนของนางในฐานะผู้ใช้ข่ายอาคมก็น่าจะเพียงพอให้พวกเขาหวั่นเกรงแล้ว

เห็นได้ชัดว่าวันนี้เฟิงอู๋ไม่ต้องการยั้งมือและหมายจะต่อสู้กับฉินอวี้โม่และคณะเดินทางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ทว่าอันที่จริงแล้วฉินอวี้โม่ก็ไม่อยากต่อสู้ให้เสียเวลาและไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีกต่อไป

ด้วยสถานะผู้ใช้ข่ายอาคมของนาง ไม่ว่าจูตี๋หรือเฟิงอู๋ก็ต้องใคร่ครวญให้รอบคอบก่อนคิดลงมือทำสิ่งใด

“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเข้ามาขัดขวางเมื่อวานนี้ ผลจินหยินทั้งหมดก็คงจะเป็นของพวกข้า ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะมีฝีมือพอที่จะสยบราชาเขาเงินตัวนี้ได้ ไม่คิดเลยว่าเจ้าและฉีอวิ๋นเหล่ยจะเป็นพวกเดียวกัน คิดจริงหรือว่าพวกข้าจะกลัวพวกเจ้า ?!”

เฟิงอู๋กล่าวอย่างไม่ลดละและแม้ว่าในขณะที่เอ่ยปากออกไปนั้น เขาก็ได้ส่งสัญญาณให้กับคู่หูปีศาจดำขาวเพื่อเตือนไม่ให้พวกเขาลงมืออย่างบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิด

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าจะกลัวหรือไม่กลัวแล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าก็แค่อยากให้รู้ไว้ว่าถ้าเจ้าอยากจะต่อสู้ พวกข้าก็ไม่เกรงกลัว และคู่หูปีศาจดำขาวสุนัขรับใช้ของเจ้า แม้ว่าจะมีพลังพอใช้ได้ก็ไม่รู้ว่าจะแกร่งพอที่จะฝ่าผ่านข่ายอาคมของข้าหรือไม่”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและเอ่ยอย่างสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อน

ผู้ใช้ข่ายอาคมเป็นอาชีพที่ลึกลับที่สุดและข่ายอาคมก็เป็นสิ่งที่น่าปวดหัวอย่างที่สุด อย่างที่อาจารย์ผู้สอนชั้นเรียนข่ายอาคมในโรงเรียนราชสำนักเคยบอกไว้ว่ามีน้อยคนนักที่จะมีพรสวรรค์มากพอที่จะศึกษาและใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญ

แม้แต่จอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าหลายคนก็ยังหวาดหวั่นต่อผู้ใช้ข่ายอาคม นางเชื่อว่าผู้อาวุโสเฮยและไป๋มิใช่คนเขลาและนางก็มีวิธีรับมือกับพวกเขาอยู่แล้ว

“อะไรกัน เจ้าเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมหรือนี่ ?!”

ผู้อาวุโสไป๋มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาไม่เชื่อ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเขาปรับสีหน้ากลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว

พวกเขามีประสบการณ์ท่องดินแดนมานานนับร้อยปี แม้ว่าไม่เคยประลองฝีมือกับผู้ใช้ข่ายอาคมมาก่อน ทั้งสองก็รู้กิตติศัพท์ความน่ากลัวและน่าขนลุกของผู้ใช้ข่ายอาคมเป็นอย่างดี

พลังของพวกเขาทั้งสองถือว่าไม่เป็นสองรองใครและทักษะที่พวกเขาฝึกฝนมาก็เพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขาได้หลายเท่าตัว อย่างไรก็ตาม หากต้องเผชิญหน้ากับข่ายอาคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและผู้ใช้ข่ายอาคมผู้ลึกลับ แม้แต่พวกเขาก็ไม่มั่นใจในชัยชนะเท่าไหร่นัก

“ฮ่าฮ่าฮ่า เหตุใดพวกเจ้าไม่ลองสัมผัสข่ายอาคมของข้าสักหน่อยล่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวขณะมือทั้งสองไหลเวียนไปด้วยพลังมายา

“บังเอิญว่าข้าเพิ่งเรียนรู้ข่ายอาคมใหม่เมื่อไม่นานมานี้และยังไม่เคยลองใช้มัน หากพวกเจ้าไม่รังเกียจ มาเป็นหนูทดลองให้กับข้าได้รึไม่?”

เรียกได้ว่าวาจาของฉินอวี้โม่หยิ่งทะนงอย่างที่สุดและไม่พยายามปิดบังมันแม้แต่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นจูตี๋ เฟิงอู๋หรือคู่หูปีศาจดำขาว นางรู้ดีว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องข่ายอาคมมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง การต่อสู้เมื่อวานนี้อาจทำให้พวกเขาหวาดหวั่นในใจและพวกเขาคงเล็งเห็นแล้วว่านางมิใช่คนธรรมดา

เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามและไม่กล้าวางใจเช่นกัน

คู่หูปีศาจดำขาวมองหน้ากันและกันก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อาจรู้ได้เลยว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่

สีหน้าของเฟิงอู๋บัดนี้เริ่มดูไม่ได้แล้วเช่นกันและเขาเอ่ยอย่างเย็นชา “เหตุใดจะต้องทำตัวลึกลับเช่นนี้ ? เจ้าคิดว่าพวกข้าจะกลัวเจ้าอย่างนั้นรึ ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ากล่าวไว้แล้วว่าข้าไม่ต้องการให้ใครมาเกรงกลัวข้า เพียงแต่ไม่มีใครที่มีปัญหากับข้าแล้วจะได้พบกับจุดจบที่ดี”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างชั่วร้ายเมื่อได้ยินวาจาของเฟิงอู๋ อดีตนักฆ่าอย่างนางไม่มีความเมตตาให้ผู้ใด

เมื่อเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสองและเฟิงอู๋ นางทราบได้ทันทีว่าวันนี้จะไม่มีการต่อสู้อย่างที่คาดหวังไว้

เฟิงอู๋มองไปที่คู่หูปีศาจดำขาวและจูตี๋ หลังจากคิดใคร่ครวญปัจจัยแวดล้อมทุกอย่าง เขาก็ตัดสินใจ

“หึ วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ทว่าหากข้าได้พบกับเจ้าอีกครั้งที่งานชุมนุมวายุเมฆาหลังเดือนสาม  เจ้าจะได้รู้ว่าการหยามเกียรติเฟิงอู๋ผู้นี้จะต้องพบจุดจบอย่างไร!”

เฟิงอู่แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวกับฉินอวี้โม่และคณะเดินทางโดยไม่ปกปิดความมุ่งร้ายในแววตาท่าทางและน้ำเสียง

“ฮ่าฮ่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็ตั้งตารอให้ถึงงานชุมนุมวายุเมฆา หากเราได้พบกันในตอนนั้น ข้าไม่รังเกียจที่จะฉีกหน้าคุณชายเฟิงให้ต้องอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน !”

ฉินอวี้โม่กล่าวหยามเกียรติพร้อมยิ้มมุมปากอย่างไม่เกรงกลัว

หลังจากเดือนสามจะมีการต่อสู้อันดุเดือดรอนางอยู่ เมื่อถึงตอนนั้น นางอาจจะใช้ชื่อและตัวตนที่แท้จริงของตนเองเพื่อสร้างชื่อเสียงที่งานชุมนุมวายุเมฆา ถ้านางได้พบกับเฟิงอู๋และจูตี๋ นางไม่มีทางออมมืออย่างแน่นอน

“ไปกันเถอะ !”

เฟิงอู๋มองฉินอวี้โม่อีกครั้งด้วยแววตาเคียดแค้นก่อนสะบัดชายแขนเสื้อและเดินออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมคู่หูสุนัขรับใช้ทั้งสอง

จูตี๋มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตามุ่งร้ายเช่นกันก่อนเดินตามเฟิงอู๋ออกไปอย่างเร็วรี่ จากนั้นบรรยากาศตึงเครียดในโรงเตี๊ยมก็คลายตัวลงและกลับสู่สภาวะปกติ

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและเลิกสนใจพวกเขาก่อนเดินตรงไปยังโต๊ะอาหารที่ฉีอวิ๋นเหล่ยจัดเตรียมไว้

“พี่อวี๋โม่ ตกลงว่าที่ท่านไม่ได้กลับไปกับพวกเราเมื่อวานนี้ ท่านไปที่ป่ารัตติกาลสินะ”

ซูเสี่ยวจวิ้นเรียกสติจากความประหลาดใจได้แล้วและปรี่เข้ามาเกาะแขนฉินอวี้โม่ตามเดิมพร้อมเอ่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ฉินอวี้โม่เพียงแต่พยักหน้าโดยไม่อธิบายสิ่งใด

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่อวี๋โม่จะเป็นผู้ใช้ข่ายอาคม วิเศษสุด ๆ ไปเลย”

น้ำเสียงและแววตาของซูเสี่ยวจวิ้นเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ก่อนหน้านี้นางคิดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้ทรงพลังมากอยู่แล้ว บัดนี้เมื่อได้รู้ว่าบุรุษที่ชมชอบเป็นถึงผู้ใช้ข่ายอาคม แน่นอนว่านางต้องคิดว่าคนตรงหน้าทรงพลังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความชื่นชมและเทิดทูนในหัวใจของนางที่มีต่อฉินอวี้โม่เพิ่มสูงขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“ข้าก็รู้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น”

ฉินอวี้โม่ยิ้มน้อย ๆ และเอ่ยตอบเพียงสั้น ๆ โดยไม่อธิบายให้มากความ

ครานี้นางตอบออกด้วยความสัตย์จริง บัดนี้นางยังรู้ศาสตร์การวางข่ายอาคมเพียงน้อยนิดเท่านั้น เมื่อถึงวันที่นางฝึกฝนการวางข่ายอาคมจนถึงระดับหนึ่ง แม้แต่จูอวิ๋นชางก็ต้องหวั่นใจเมื่อได้พบกับนาง

เมื่อมาถึงโต๊ะรับประทานอาหาร คนทั้งกลุ่มก็นั่งลงและเริ่มรับประทานอาหารในส่วนของตัวเอง

แม้ว่าด้วยระดับการฝึกวรยุทธ์ของพวกเขา การรับประทานอาหารไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป พลังของพวกเขาในปัจจุบันนี้ต่อให้ไม่รับประทานอะไรเลยเป็นเวลานานถึงสิบวันก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ

อย่างไรก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่ยังคงพฤติกรรมการรับประทานอาหารสามมื้อตามปกติเหมือนคนทั่วไป

“จะว่าไปแล้ว ข้าเพิ่งได้รับข่าวที่น่าสนใจมาเรื่องหนึ่ง”

ระหว่างที่ทุกคนจดจ่อกับอาหารตรงหน้า จู่ ๆ ฉีอวิ๋นเหล่ยก็โพล่งออกมาพร้อมยิ้มกว้าง

“เรื่องอะไรรึ ?”

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ หันมาให้ความสนใจเขาและรอให้เขาพูดต่อ

“ว่ากันว่าผู้นำตระกูลเฟิงเพิ่งพบตัวหลานสาวผู้พลัดพรากเมื่อไม่กี่วันก่อนและกำลังสุขใจอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นคือดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะส่งต่อตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงให้กับหลานสาวคนนั้น”

ฉีอวิ๋นเหล่ยแจ้งข่าวที่เพิ่งได้รับมาให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ทราบ

ตระกูลเฟิงเป็นตระกูลที่รักสันโดษที่เรียกได้ว่าตัดขาดจากโลกภายนอก ในสถานการณ์ปกติพวกเขามักไม่มีส่วนร่วมกับเรื่องต่าง ๆ ในดินแดนมากนัก

เฟิงหรูเซียว ผู้นำตระกูลเฟิงคนปัจจุบันเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุด เขาเป็นคนอ่อนโยน ไม่ฝักใฝ่สงครามและไม่ชอบการสู้รบตบมือ

ตระกูลเฟิงเป็นตระกูลใหญ่ที่มีสมาชิกจำนวนมากและสายโลหิตของพวกเขาก็แตกย่อยออกมามากมาย อย่างไรก็ตาม ผู้นำตระกูลเฟิงมีบุตรชายเพียงคนเดียวและบุตรชายของเขาก็ไม่มีทายาทสืบสกุล

ดังนั้นผู้นำตระกูลเฟิงจึงไม่มีทายาทสืบทอดโดยตรง แม้แต่เฟิงอู๋ก็เป็นเพียงทายาทสายรองเท่านั้น

สถานการณ์เดิมของตระกูลคือทายาทมากพรสวรรค์จากสายรองทั้งหมดจะต้องแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้นำตระกูลพบหลานสาวที่พลัดพรากจากกัน สถานการณ์จึงแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

แม้ว่านางเป็นสตรี มันก็ไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิง ด้วยลักษณะนิสัยและบุคลิกของเฟิงหรูเซียว ตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปในภายภาคหน้าจะต้องตกเป็นของหลานสาวของเขาอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนั้น เมื่อความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสถานการณ์ในตระกูลเกิดขึ้น ทายาทสายโลหิตรองอย่างเฟิงอู๋จะต้องรีบกลับไปที่จวนตระกูลโดยเร็ว ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายในรั้วตระกูลจะเป็นอย่างไร

หลังจากได้ฟังข่าวจากฉีอวิ๋นเหล่ย ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็พยักหน้ารับรู้

“พี่อวิ๋นเหล่ย การที่ผู้นำตระกูลเฟิงพบตัวหลานสาวแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรางั้นหรือ ?”

ซูเสี่ยวจวิ้นอดถามออกไปไม่ได้ นางฟังเรื่องราวและพยายามคิดตาม ทว่าก็ยังไม่อาจเข้าใจถึงความเชื่อมโยง

ผู้นำของตระกูลเฟิงได้พบกับหลานสาวของเขาซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเหล่านี้แม้แต่น้อย

“เดิมทีก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องหรอก ทว่าผู้นำตระกูลเฟิงได้ออกบัตรเชิญส่งไปยังขุมกำลังใหญ่ทั้งหมดทั่วดินแดนเพื่อเชิญเข้าร่วมงานสำคัญในอีกสองเดือนข้างหน้า เขาจะจัดงานเลี้ยงในจวนตระกูลเฟิงเพื่อแนะนำคุณหนูใหญ่ของตระกูลให้ขุมกำลังใหญ่ทั้งหมดได้รู้จัก หากไม่มีอะไรผิดพลาด เราทั้งหมดก็น่าจะได้รับบัตรเชิญ จวนตระกูลเฟิงอยู่ไม่ไกลจากเมืองเฟิงอวิ๋น อีกไม่นานน่าจะมีคำสั่งให้เราไปเข้าร่วมงานเลี้ยงนั่น”

ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มกริ่มและกล่าวต่อ

จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเหล่านี้แม้แต่น้อย ไม่ว่าใครสืบทอดตำแหน่งปกครองตระกูลเฟิงก็ไม่เกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์รุ่นเยาว์จากต่างตระกูลอย่างพวกเขาทุกคน

เพียงแต่ว่าตระกูลเฟิงไม่เคยจัดงานเลี้ยงเช่นนี้มาก่อน พวกเขาเป็นตระกูลที่มักจะรักสันโดษและไม่สุงสิงกับคนภายนอกมาเสมอ จู่ ๆ พวกเขาก็จัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่และเชิญคนทั้งดินแดนเช่นนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาดก็คาดเดาได้ว่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นในงานเลี้ยงนี้อย่างแน่นอน

เมื่อเป็นเช่นนั้น งานเลี้ยงของตระกูลเฟิงครานี้ก็ดูจะน่าสนใจขึ้นเป็นเท่าทวี

ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำอธิบายของฉีอวิ๋นเหล่ย นางขมวดคิ้วมุ่นราวกับใช้ความคิดไตร่ตรองอะไรบางอย่าง

เหตุการณ์นี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ !

.