ตอนที่ 275 สอบถามข่าวคราว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราจะไปที่ใดกันต่อ? เราจะไปที่เมืองไป๋อวี้เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอมหรือจะรอฟังข่าวอยู่ที่เมืองเยว่หลายนี้ต่อไป ?”

ซูเสี่ยวจวิ้นถามพร้อมรอยยิ้ม ขุมกำลังไร้คู่เปรียบและขุมกำลังราชาสวรรค์มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาเสมอ แน่นอนว่าพวกเขาจะลงเรือลำเดียวกัน

“เช่นนั้นก็รอฟังข่าวในเมืองนี้ต่อสักหน่อยเถอะ น่าจะมีข่าวความคืบหน้าบางอย่าง”

ฉีอวิ๋นเหล่ยพิจารณาครู่หนึ่งและเอ่ยบอกกับทุกคน หากเขาคาดเดาไม่ผิดน่าจะมีข่าวสารความคืบหน้าในไม่ช้า แทนที่จะมุ่งหน้าท่องไปเรื่อย ๆ พวกเขาควรรอฟังข่าวจากตระกูลพวกเขาในเมืองไป๋อวี้ก่อนและค่อยหารือถึงขั้นตอนหรือจุดหมายต่อไป

ครานี้ฉินอวี้โม่เองก็กำลังใคร่ครวญเรื่องบางอย่างอย่างเงียบ ๆ ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด คุณหนูสี่ตระกูลฉินรู้สึกว่าหลานสาวของผู้นำตระกูลเฟิงคนนี้ดูจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับนาง และการที่ตระกูลเฟิงจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ทั้งที่เป็นตระกูลรักสันโดษมาตลอดเช่นนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ

เมื่อนางพิจารณาไตร่ตรองจากระยะเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เวลาที่ผู้นำตระกูลเฟิงพบตัวหลานสาวที่พลัดพรากไปนานเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เสี่ยวเหยียนเด็กสาวกำพร้าจากหมู่บ้านจันทราทิ้งจดหมายไว้ให้นางและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเด็กสาวร่าเริง ‘เสี่ยวเหยียน’ คนนั้นจะเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฟิง ?

เมื่อใคร่ครวญความเป็นไปได้นี้ ฉินอวี้โม่ก็ชะงักกึกไร้คำพูดเพราะความตกใจไปชั่วขณะ ทว่ารู้สึกกังวลไปพร้อม ๆ กัน

ถ้าหากเสี่ยวเหยียนเป็นคุณหนูใหญ่ที่พลัดพรากของผู้นำตระกูลเฟิงจริง นางก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากไม่ใช่หรือ ?

ฉินอวี้โม่เข้าใจความแข็งแกร่งของเสี่ยวเหยียนในตอนนี้เป็นอย่างดี เพียงแค่ได้รับรู้ทัศนคติและลักษณะนิสัยของเฟิงอู๋ นางก็พอจะคาดเดาได้ว่าตระกูลเฟิงไม่ใช่ตระกูลธรรมดา ๆ ถ้าหากเสี่ยวเหยียนเข้าไปเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูล นางไม่คิดว่าคนอย่างเฟิงอู๋จะยำเกรงต่อเด็กสาวใสซื่อไร้เดียงสาผู้นั้น

ถ้าผู้นำตระกูลเฟิงปกป้องเสี่ยวเหยียนไม่ได้ ชีวิตในตระกูลเฟิงของเด็กสาวคงจะไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความเป็นห่วงกังวลเกาะกุมหัวใจฉินอวี้โม่ไม่น้อย ตลอดเวลาที่อยู่ในหมู่บ้านจันทราและความสนิทสนมกับเด็กสาวผู้เรียกนางว่า ‘พี่สาว’ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างเต็มปาก นางเอ็นดูเด็กสาวผู้นี้ไม่น้อย แม้ว่ากำพร้าทั้งบิดามารดาและต้องโดดเดี่ยวอยู่ตัวคนเดียว เด็กน้อยก็ยังร่าเริงและมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูสี่อดเป็นห่วงเด็กสาวไม่ได้ นางเกิดความคิดที่จะมุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเฟิงเพื่อสืบหาความเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม นางไม่คุ้นเคยหรือสนิทชิดเชื้อกับตระกูลเฟิง ด้วยความรักสันโดษของพวกเขา นางจึงไม่ทราบข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับพวกเขามากนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีงานชุมนุมช่างหลอมที่จะจัดขึ้นหลังจากเดือนหนึ่งนี้ เมื่อพิจารณาจากเบาะแสที่ได้รับมาตอนนี้ ผู้นำตระกูลเฟิงน่าจะรักใคร่และเอ็นดูเสี่ยวเหยียนมากทีเดียว ฉินอวี้โม่เชื่อว่าในช่วงระยะเพียงสั้น ๆ ระหว่างนี้น่าจะไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเสี่ยวเหยียน

“พี่อวิ๋นเหล่ย ท่านช่วยหาเบาะแสข้อมูลเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่ผู้พลัดพรากที่ตระกูลเฟิงเพิ่งพบตัวให้ข้าได้หรือไม่ ? ข้าคิดว่านางอาจจะเป็นสหายของข้าที่ได้หายตัวไป”

ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่น ๆ ถือว่ามีอิทธิพลในดินแดนนี้พอสมควร อดีตนักฆ่าสาวเชื่อว่าพวกเขาน่าจะหาเบาะแสและรวบรวมข้อมูลที่นางอยากรู้มาได้ไม่ยาก

ฉีอวิ๋นเหล่ยนึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ที่จู่ ๆ ก็เอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิงผู้นี้อาจเป็นสหายของนาง เขาก็เข้าใจและตกปากรับคำ

“ได้สิ ไม่มีปัญหา ข้าจะส่งคนไปสืบหาเบาะแส ถ้าได้ข่าวอย่างไรข้าจะบอกเจ้าโดยเร็วที่สุด”

ฉีอวิ๋นเหล่ยพยักศีรษะพลางตอบกลับเพื่อให้อีกฝ่ายวางใจ เขาไม่อยากถามเป็นการละลาบละล้วงสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยบอก ทว่าเขาคิดว่าคนผู้นั้นน่าจะเป็นสหายที่ฉินอวี้โม่ได้พบในหมู่บ้านจันทรา ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่านางสวมหน้ากากบดบังจนมองไม่เห็นสีหน้าในตอนนี้ จากน้ำเสียงที่ได้ยิน เขาก็รับรู้ได้ว่าสหายที่กล่าวถึงมีความสำคัญต่อนางไม่น้อยเลยทีเดียว

“ขอบคุณท่านมาก”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างสุภาพและเอ่ยขอบคุณเป็นการล่วงหน้า

“ข้าไม่ได้ลำบากเลย เจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว”

ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวและยิ้มอย่างอบอุ่น

“ในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า ข้าจะเก็บตัวอยู่ในห้องและศึกษาทักษะการหลอมเพิ่มเติมด้วยความหวังที่จะพัฒนาฝีมือไปในระดับที่สูงขึ้น หากท่านได้รับข่าวและพร้อมออกเดินทางก็มาพบข้าที่ห้องพักได้เลย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มทิ้งท้ายก่อนเตรียมศึกษาทักษะการหลอมและฝึกปรือฝีไม้ลายมือตลอดช่วงสองสามวันข้างหน้าเพื่อพัฒนาทักษะการหลอมของตนเองให้บรรลุถึงระดับเชี่ยวชาญก่อนถึงงานชุมนุมช่างหลอม เมื่อถึงเวลานั้น นางจะได้มีโอกาสแสดงฝีมือที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นในงานชุมนุมดังกล่าว

“ตามสบายเถอะ พวกเราเข้าใจ”

ฉีอวิ๋นเหล่ยพยักศีรษะและไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ

เขายังมีหลายเรื่องที่สงสัยใคร่รู้ในตัวฉินอวี้โม่ผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ที่ลึกลับหรือไพ่ตายที่นางซ่อนไว้ล้วนน่าสนใจและดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้มาก คุณหนูสี่ตระกูลฉินตรงหน้ามีความลับที่น่าค้นหาอยู่มากเหลือเกิน

บัดนี้เขาตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อว่าฉินอวี้โม่จะแสดงผลงานอันล้ำเลิศอย่างไรในงานชุมนุมช่างหลอมที่จะมาถึงหลังเดือนหนึ่งและงานชุมนุมวายุเมฆาในอีกสามเดือนข้างหน้า

ตลอดช่วงหลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่ก็เก็บตัวฝึกฝนอย่างจริงจังและไม่ได้ก้าวออกจากห้องพักแม้แต่ครั้งเดียว

นางไม่ได้หลอมอุปกรณ์ระดับสูงใด ๆ และใช้เพียงวัสดุพื้นฐานธรรมดาเพื่อหลอมอุปกรณ์ทั่วไปเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ อาจารย์สอนวิชาการหลอมเคยกล่าวกับฉินอวี้โม่ไว้ว่า ‘ศาสตร์การหลอมเป็นเพียงคำธรรมดาคำหนึ่งเท่านั้น ทว่าการฝึกฝนพัฒนาตนคือสิ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จ’

สำหรับช่างหลอม การควบคุมความร้อนของเพลิงหลอม ระดับของการตัดและวิธีการหลอมล้วนเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากทั้งสิ้น ไม่ว่าขั้นตอนใดก็ต้องใช้ความตั้งใจและฝีมือเพื่อนำไปสู่ผลงานที่สมบูรณ์

และถ้าหากอยากพัฒนาฝีมือจนถึงระดับสูงเพื่อความยอดเยี่ยมและความรุ่งเรือง สิ่งสำคัญอย่างที่สุดคือการฝึกฝนพัฒนาฝีมืออย่างไม่ย่อท้อและทำความเข้าใจทักษะการหลอมรวมถึงหมั่นศึกษาเพิ่มเติมอยู่เสมอ

เวลาเจ็ดวันดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

ในวันที่เจ็ด ท่ามกลางความเงียบสงบไร้สิ่งใดรบกวน เสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าประตูห้องพักของฉินอวี้โม่และคนที่อยู่ข้างนอกนั่นคือฉีอวิ๋นเหล่ย เสียงเคาะดังกล่าวปลุกฉินอวี้โม่จากภวังค์ของการทำสมาธิอย่างจดจ่อ

ต้องกล่าวเลยว่าถึงแม้เวลาเจ็ดวันดูจะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ทว่าทักษะการหลอมของฉินอวี้โม่ก็พัฒนาขึ้นไปมาก

แม้ว่าทักษะการหลอมของนางยังคงห่างจากระดับเชี่ยวชาญพอสมควร อดีตนักฆ่าสาวเชื่อว่าตนจะฝึกฝนจนบรรลุระดับนั้นได้ก่อนที่งานชุมนุมช่างหลอมจะมาถึงอย่างแน่นอน

“อวี้โม่เป็นอย่างไรบ้าง ? ช่วงเจ็ดวันที่เจ้าเก็บตัวฝึกฝนนี้มีการพัฒนาบ้างหรือไม่ ?”

ฉีอวิ๋นเหล่ยเอ่ยถามพร้อมมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและตอบกลับอย่างไม่ปิดบัง

“ทักษะของข้าคืบหน้ามากทีเดียวและข้าเชื่อว่าเมื่อถึงงานชุมนุมช่างหลอม ข้าจะต้องได้อันดับดี ๆ มาครองอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินวาจาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของอีกฝ่าย ฉีอวิ๋นเหล่ยเพียงยิ้มมุมปากและไม่เอ่ยอะไรอีก

ด้วยความมั่นอกมั่นใจที่เต็มเปี่ยมเช่นนี้ นี่คือบุตรีของฉินเทียนผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬอย่างแท้จริง

“พี่อวิ๋นเหล่ย ท่านพร้อมจะออกเดินทางแล้วรึ ?”

ฉินอวี้โม่มองบุรุษตรงหน้าและกล่าวถาม

“ใช่ เหลือเวลาอีกเพียงยี่สิบวันก็จะถึงงานชุมนุมช่างหลอมแล้วและการเดินทางจากเมืองเยี่ยหลายไปถึงเมืองไป๋อวี้ก็ใช้เวลามากกว่าสิบวัน อีกทั้งเมื่อไปถึงเมืองไป๋อวี้แล้วเจ้าก็จะต้องเตรียมความพร้อมก่อน ดังนั้นพวกเราควรรีบไปตั้งแต่ตอนนี้เพื่อเตรียมให้ทุกอย่างพร้อมสำหรับงานชุมนุมช่างหลอม”

ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มพร้อมอธิบาย

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและไตร่ตรองครู่หนึ่ง “พี่อวิ๋นเหล่ย รบกวนเรียกซื่อชู่และเสี่ยวจวิ้นมาที่นี่ ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องบอกตัวตนที่แท้จริงกับพวกเขาทั้งสอง”

ทั้งเหวินซื่อชู่และซูเสี่ยวจวิ้นล้วนเป็นสหายที่ไว้วางใจได้ อย่างที่ฉีอวิ๋นเหล่ยเคยบอกไว้ ซูเสี่ยวจวิ้นสนใจในตัวบุรุษนามว่า ‘อวี๋โม่’ อย่างชัดเจน ถ้าอดีตนักฆ่าสาวไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกไปและความรู้สึกในหัวใจของซูเสี่ยวจวิ้นเติบโตผลิบานเพิ่มขึ้น นางคงจะรู้สึกผิดอย่างที่สุด

ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินวาจาแน่วแน่ของอีกฝ่าย

เขาเข้าใจดีว่าสาเหตุที่ฉินอวี้โม่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อเหวินซื่อชู่และซูเสี่ยวจวิ้นตั้งแต่แรกเป็นเพราะเกรงว่าอาจนำไปสู่ปัญหาที่จะทำให้พวกเขาต้องลำบากใจ

อย่างไรก็ตาม ทั้งเหวินซื่อชู่และซูเสี่ยวจวิ้นไม่หวั่นกลัวหรือย่อท้อต่อปัญหาใด ๆ ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจที่จะบอกความจริงเรื่องตัวตนของตนเอง และฉีอวิ๋นเหล่ยสนับสนุนการตัดสินใจนี้อย่างเต็มที่

“ดีแล้วล่ะ”

ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวพร้อมพยักหน้าก่อนผละออกไปเรียกซูเสี่ยวจวิ้นและเหวินซื่อชู่มาที่นี่ ในระหว่างนั้น ฉินอวี้โม่ชำระล้างใบหน้าและเปลี่ยนอาภรณ์กลับเป็นเครื่องแต่งกายของสตรีตามเดิม

คุณหนูสี่ตระกูลฉินสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตา เส้นผมดกหนาถูกรวบไว้อย่างเรียบง่ายด้วยเชือกรัดสีน้ำเงิน บัดนี้ผิวเรียบเนียนดุจดั่งไข่มุกและใบหน้าสดใสงดงามไร้สิ่งใดบดบัง

เมื่อซูเสี่ยวจวิ้นและเหวินซื่อชู่เดินมาถึง ทั้งสองก็ได้พบกับโฉมงามชวนตะลึง

“เอ่อ… สตรีผู้นี้คือใคร..แล้วพี่อวี๋โม่ล่ะ ?”

ซูเสี่ยวจวิ้นชะงักค้างไปชั่วขณะก่อนรวบรวมสติกลับคืนมา เมื่อเห็นว่าในห้องนี้ไร้วี่แววของ ‘บุรุษ’ ผู้เก่งกล้าสามารถที่นางเรียกว่า ‘พี่อวี๋โม่’ นางก็อดถามออกไปด้วยความฉงนสงสัยไม่ได้

ฉีอวิ๋นเหล่ยอดหัวเราะกับท่าทางและวาจาของซูเสี่ยวจวิ้นไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เหวินซื่อชู่เข้าใจทุกอย่างอย่างกระจ่างชัดในทันที เขาเพียงมองสบตาฉินอวี้โม่และมีเพียงบางอย่างปรากฏในแววตาของเขาชั่วขณะหนึ่ง

“เสี่ยวจวิ้น ข้าคือ ‘พี่อวี๋โม่’ ของเจ้ายังไงล่ะ”

เมื่อเห็นท่าทางที่น่ารักน่าชังและคำถามด้วยความงุนงงของซูเสี่ยวจวิ้น ฉินอวี้โม่ก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน

ในตอนแรกนางปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตนเองไว้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในหลาย ๆ ด้าน กลับกลายเป็นว่าทั้งซูเสี่ยวจวิ้นและเหวินซื่อชู่เป็นมิตรสหายที่ดีอย่างแท้จริง เมื่อทั้งสองได้รู้ความจริงที่นางปิดบังมาตลอดเช่นนี้และเกิดไม่พอใจขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“ท่านคือพี่อวี๋โม่อย่างนั้นรึ ?”

ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉินอวี้โม่ตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณาด้วยท่าทางสับสนอย่างเห็นได้ชัด ทว่าหลังจากไตร่ตรองความเป็นมาเป็นไป นางก็ปักใจเชื่อในที่สุด

“ฮึ่ย ! พี่อวี๋โม่ ท่านโกหกข้า เชอะ !”

ซูเสี่ยวจวิ้นแค่นเสียงด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เหมือนเด็กน้อยที่ไม่ได้อะไรดั่งใจ

ฉินอวี้โม่ไม่รู้จะทำอย่างไรและเพียงแต่คว้าร่างเล็ก ๆ ของซูเสี่ยวจวิ้นเข้ามาในอ้อมแขนและกล่าว “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะโกหกเจ้า ข้าแค่กลัวว่าการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงจะทำให้เจ้าติดร่างแหความวุ่นวายไปด้วย”

ซูเสี่ยวจวิ้นยืนนิ่งฟังวาจาของอีกฝ่าย ทว่าใบหน้าเล็กยังคงบูดบึ้งด้วยความฉุนเฉียวและสับสน

ดวงตากลมโตของนางมองคนตรงหน้าพลางกล่าว “ถ้าเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าท่านไม่ได้ชื่ออวี๋โม่ใช่รึไม่ ?”

คุณหนูสี่พยักศีรษะก่อนส่ายหน้า “ชื่อของข้าคือฉินอวี้โม่ และอวี๋โม่เป็นเพียงนามแฝงเท่านั้น ข้าใช้คำหนึ่งจากชื่อจริงของข้าและแซ่ของมารดาของข้ารวมกัน”

ซูเสี่ยวจวิ้นชะงักค้างทันทีที่ได้ยินชื่อ ‘ฉินอวี้โม่’

“ฉินอวี้โม่ ผู้ครองอันดับสี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์ที่สร้างชื่อเสียงในหุบเขาหงส์ร่วงเมื่อหลายวันก่อนและยังเป็นคนที่มีเรื่องบาดหมางกับจูอวิ๋นชาง !”

น้ำเสียงของนางฟังบ่งบอกถึงความเหลือเชื่ออย่างที่สุด ความไม่สบอารมณ์เมื่อครู่อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเป็นการยอมรับ

“สวรรค์ ! ที่แท้ก็เป็นท่านนี่เอง !”

ซูเสี่ยวจวิ้นอดไม่ได้ที่จะกระโดดโผเข้ามาเกาะแขนฉินอวี้โม่พร้อมมองนางอย่างพิจารณา

ซูเสี่ยวจวิ้นสงสัยใคร่รู้มาตลอดที่ได้ยินชื่อของฉินอวี้โม่ สตรีผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นสัตว์ประหลาดซึ่งเป็นที่พูดถึงของผู้คนอย่างกว้างขวาง ดรุณีตัวน้อยผู้นี้อยากรู้มาตลอดว่าสตรีผู้นั้นมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นอย่างไร

คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อได้พบคนผู้นั้นในวันนี้ จอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าตรงหน้าก็ควรคู่กับชื่อเสียงที่กล่าวขานกันอย่างแท้จริง

ในที่สุดซูเสี่ยวจวิ้นก็เข้าใจว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เพราะถ้าตัวตนของนางแพร่งพรายออกไป มันอาจเกิดปัญหาตามมาอย่างไม่หยุดหย่อน

“ข้าสงสัยมาตลอดว่าสตรีนามว่าฉินอวี้โม่จะเป็นอย่างไร ชื่อของนางเลื่องลือและสั่นคลอนทั้งดินแดนภายในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ จนเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เมื่อได้พบท่านวันนี้ มันไม่เกินจริงแม้แต่น้อย ท่านควรคู่แก่ชื่อเสียงที่ได้รับอย่างแท้จริง”

ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉินอวี้โม่และความชื่นชมปรากฏชัดเจนผ่านน้ำเสียงของนาง

สตรีผู้นี้ควรค่าความเคารพเทิดทูนจากนางและทุกคนอย่างแท้จริง

สตรีผู้ไม่เกรงกลัวขุมกำลังใดและทำทุกอย่างได้เพื่อสหายญาติมิตรของตน ไม่ว่าจะเป็นความองอาจกล้าหาญหรือหัวใจที่แข็งแกร่งดั่งหินผา นางไม่เป็นรองบุรุษคนใดทั้งใต้หล้า แล้วสตรีเช่นนี้จะไม่เป็นที่เทิดทูนชื่นชมได้อย่างไร ?

ยิ่งไปกว่านั้น สตรีผู้เป็นที่หมายตาต้องใจบุรุษมากมาย เมื่อปรากฏตัวที่ใด แผ่นดินนั้นย่อมสะเทือนปั่นป่วนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย สตรีงดงามผู้นี้ แม้แต่โฉมงามอันดับหนึ่งของดินแดนอ้างว้างก็มิอาจเทียบได้ ตอนที่ข้าได้ยินเรื่องของนางเป็นครั้งแรก ข้าเองก็อยากรู้ว่านางจะเป็นอย่างที่คนว่ากันหรือไม่ ยิ่งเมื่อข้าได้รู้ตัวตนของนาง ข้าก็ตกใจไม่ต่างกับเจ้า เมื่อได้ยลโฉมแม่นางผู้นี้ ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าคำเล่าขานที่คนกล่าวกันทั้งดินแดนยังไม่เพียงพอที่จะบรรยายความงามของนางด้วยซ้ำ”

ฉีอวิ๋นเหล่ยอดถอนหายใจด้วยความชื่นชมไม่ได้ เขาหลงใหลในความงามของฉินอวี้โม่อย่างไม่ปิดบัง

เมื่อได้ยินวาจาของฉีอวิ๋นเหล่ย ซูเสี่ยวจวิ้นก็นึกบางอย่างขึ้นได้ทันที

“เอ๊ะ ถ้าเป็นเช่นนั้น หมายความว่าพิ่อวิ๋นเหล่ยรู้อยู่แล้วรึว่าพี่อวี๋โม่เป็นใคร ?”

ทันทีที่วาจาเคลือบแคลงสงสัยออกจากปากซูเสี่ยวจวิ้น ใบหน้าของฉีอวิ๋นเหล่ยก็ชาวูบไปชั่วขณะและรอยยิ้มมุมปากของเขาก็หุบลงทันที

“เอ่อ… ข้าก็เพิ่งรู้ก่อนเจ้าเพียงไม่กี่วัน”

เขาทำได้เพียงเอ่ยออกไปอย่างไม่เต็มปากนัก เขายังไม่ทันตั้งตัวว่าซูเสี่ยวจวิ้นวกประเด็นกลับมาที่ตนได้อย่างไร

“และท่านไม่คิดจะบอกข้าด้วยซ้ำ !”

ซูเสี่ยวจวิ้นจ้องบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาเขม็งราวกับพร้อมกระโจนเข้าไปกัดอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ

.