คิดได้เช่นนี้ เธอก็เอียงคอมองตาอ้วนดำ หวังจะสำรวจอีกฝ่ายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
คิดไม่ถึงว่าตาล่ำบึ้กกลับขยับมาบังสายตาของเธอเอาไว้พอดี
เธอผิดหวังอยู่บ้าง ดูท่าแผนการนี้คงต้องค่อยเป็นค่อยไปเสียแล้ว
ในขณะที่ทั้งสองกำลังส่งเสียง “@$%&*@$%” กันอยู่นั้นเอง ด้านนอกก็มีคนมาเพิ่มอีกหลายคน พวกเขาบางคนแบกจอบ บางคนสะพายตะกร้า หลังจากพูดจามั่วซั่ว “@$%&*@$%” ทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็พากันหัวเราะเสียงดัง พลางยื่นหน้ามามองเธอ
ในเวลาเช่นนี้ นอกจากทำหน้าตายไร้ความรู้สึกแล้ว เธอยังจะทำอะไรได้อีก?
คนพวกนั้นพูดจากันอยู่พักใหญ่ ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
ผู้หญิงคนนั้นสวมกระโปรงซึ่งมีแบบประหลาดมาก ท่อนล่างยาวลากพื้น ท่อนบนเป็นเสื้อผ่าหน้า ตรงเอวมีผ้ารัดเอวพันเอาไว้
รูปโฉมของเธอไม่เลว ทรวงอกนูนเด่น ดวงตาแฝงแววเจ้าชู้
สตรีท่าทางเย้ายวนคนนั้นกวาดตามองเธอด้วยสายตาจับผิด จากนั้นก็หันไปเอ่ยว่า “@$%&*@$%” กับตาล่ำบึ้ก
ตาล่ำบึ้กมองผู้หญิงคนนั้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก จากนั้นก็ตะโกน “@$%&*@$%” ออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธๆ
ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยว่า “@$%&*@$%” แล้วก็สะบัดหน้าจากไป
ฮ่าๆๆๆ…
กู้จิ้งคิดในใจว่า พวกเขาคงกำลังวิพากษ์วิจารณ์เธอกัน เช่น ‘ตาล่ำบึ้กเอ๊ย ทำไมถึงได้ซื้อเมียแบบนี้มา ผอมแห้งแบบนี้ คงมีลูกยากแน่?’ หรือไม่ก็อาจจะพูดว่า ‘จ่ายเงินซื้อมาเท่าไหร่ คนที่เอามาขายเชื่อถือได้หรือเปล่า ถ้าถูกก็แนะนำให้หนิวต้านของฉันบ้างสิ’…
ส่วนผู้หญิงท่าทางเย้ายวนคนนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะติว่าเธอไม่ดีตรงนั้นไม่ดีตรงนี้ โทษตาล่ำบึ้กว่าจ่ายเงินมากเกินไป ซื้อมาไม่คุ้มราคาสักนิด!
กู้จิ้งรับฟังทุกอย่างด้วยท่าทีสงบนิ่ง เธอนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจเหล่าหญิงชายที่เดินเข้าเดินออกสักนิด
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดคนพวกนั้นก็แยกย้ายกันไป ในเพิงจึงเหลือเพียงแค่ผู้ชายล่ำบึ้กคนนั้นคนเดียว
กู้จิ้งตัดสินใจหลับตา แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ใช้กลยุทธ์สงบสยบเคลื่อนไหว
ผู้ชายล่ำบึ้กคนนั้นยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ก้มลงมากุมมือเธอเอาไว้
เธอลืมตาขึ้นมองเขาอย่างอารมณ์ไม่ดี
ตาล่ำบึ้กนิ่งเงียบไป แต่จากนั้นก็ตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นก่อนจะหันไปหยิบน้ำเต้า, เสื้อคลุมสีคราม, ถุงใส่มันฝรั่งมาถือเอาไว้
ดูท่า คงกำลังเตรียมจะไปจากที่นี่
กู้จิ้งไม่ได้ดิ้นรนต่อต้าน แต่พอออกจากเพิง เธอก็ชี้ไปที่กระเป๋าหนังสีดำซึ่งตกอยู่ข้างๆ
ตาล่ำบึ้กลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินไปหยิบกระเป๋าหนังใบนั้นขึ้นมา
กู้จิ้งนึกถึงมีดผ่าตัดของเธอ ดังนั้นจึงทำท่าบุ้ยใบ้บอกเขาอีก
ตาล่ำบึ้กลังเล สุดท้ายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเก็บมีดเล่มนั้นมาจากไหน
กู้จิ้งรีบแย่งมีดผ่าตัดกับกระเป๋าของตัวเองมา หลังจากจัดการโยนมีดเข้าไปในกระเป๋าเสร็จ เธอก็กอดกระเป๋าไว้แนบอกแล้วเอนกายซบแขนของตาล่ำบึ้กอย่างอารมณ์ดี
มีคนอุ้มเดินไปแบบนี้…ก็สบายดีเหมือนกัน
เซียวเถี่ยเฟิงหลับสบายตลอดคืน เขาฝันหวานหลายเรื่อง แต่ทุกเรื่องก็เหมือนจะเกี่ยวข้องกับปีศาจสาวไปเสียหมด
เขาฝันเห็นตัวเองถูกปีศาจสาวพากลับไปที่ถ้ำ ฝันเห็นร่างของตัวเองเต็มไปด้วยพละกำลัง ฝันเห็นปีศาจสาวร้องอุทานด้วยความประหลาดใจว่า ที่แท้ท่านก็มีไอหยางมากถึงเพียงนี้ ข้ามองท่านไม่ผิดจริงๆ!
ในขณะที่เขากำลังจมอยู่กับความฝันอันแสนหวานนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกคันจมูกขึ้นมา เหมือนมีลมหายใจแผ่วเบาราวขนนกของใครบางคนปัดผ่านปลายจมูกของเขาไป
พอลืมตาขึ้น เขาก็เห็นดวงตาเรียบเฉยแต่แฝงด้วยแววเย้ายวนของนาง
ยามนี้เป็นตอนกลางวัน แสงแดดลอดผ่านรูโหว่ของเพิงเข้ามา ทำให้เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดวงตาของนางเป็นสีน้ำตาลอ่อนน่าหลงใหล เพียงมองก็ไม่อาจละสายตาได้เลย
นางกำลังจ้องเขานิ่งด้วยแววตาลึกซึ้ง
พอนึกขึ้นมาว่านางแอบมองเขาแบบนี้ในช่วงที่เขากำลังหลับสนิท ใบหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงก็ร้อนผ่าว
ทำไมนางถึงมองเขาแบบนี้… คิด…คิดจะยั่วยวนเขาอย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่ามือน้อยๆ ของนางกำลังลูบอกของเขาเบาๆ ขาทั้งสองหนีบขาข้างหนึ่งของเขาเอาไว้แน่น แถมร่างอ่อนนุ่มก็แนบชิดกับจุดสำคัญใต้เอวของเขา!
ประกายไฟในใจของเซียวเถี่ยเฟิงลุกโชนเป็นภูเขาเพลิงทันที หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำอยู่ในอก ร่างทั้งร่างร้อนผ่าวเหมือนตกลงไปในเตาไฟ
เขามองปีศาจสาวในอ้อมกอดด้วยความดีใจ คาดหวังแกมไม่อยากเชื่อ นางคิดจะยั่วยวนเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้น ทำไมเมื่อคืนนางถึงไม่ยั่วยวนเขาเล่า? เพราะเขาทำท่าเคร่งขรึมเกินไปจนนางตกใจ? หรือเพราะไอหยางรุนแรงเกินไปจนนางรับไม่ได้?
เขาควรทำอย่างไรดี?
เซียวเถี่ยเฟิงพยายามคิดหาเหตุผลด้วยความสับสน จำได้ว่าเมื่อคืนตอนที่โมโหจนขาดสติเขาเคยบีบคอของนาง ตอนนี้มาคิดดูก็เสียใจนัก ต่อให้โกรธมากแค่ไหน เขาก็ไม่ควรทำกับนางแบบนั้น ไม่ควรทำให้นางตกใจแบบนั้น
ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ด้านนอก จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนร้องตะโกนขึ้นว่า “เฮ้! เถี่ยเฟิง ทำไมยังไม่ตื่นอีก?”
เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่าเป็นหนิวปาจินซึ่งอาศัยอยู่บ้านข้างๆ
ฟ้าสว่างแล้ว ทุกคนต่างก็ตื่นขึ้นมาทำงาน นาของหนิวปาจินอยู่ติดกับสวนแตงของท่านหมอเหลิ่ง อีกฝ่ายรู้ว่าเมื่อคืนเขามาเฝ้าสวนแตงจึงแวะมาทักทาย
เขาส่งเสียงตอบรับพลางตัดใจลุกขึ้น จังหวะที่ดึงขาของตัวเองออกมาจากหว่างขาทั้งสองของนาง เขาสัมผัสได้ถึงความเรียบลื่นซึ่งทำให้ร่างแข็งแกร่งของเขาสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้
รสชาตินั้นให้ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายยิ่งกว่ากินแตงโมในฤดูร้อนเสียอีก
เขาโยนเสื้อไปคลุมร่างของปีศาจสาวเอาไว้แล้วเดินออกไปข้างนอก
แต่คลุมไปก็ไร้ประโยชน์ เห็นได้ชัดว่าหนิวปาจินเห็นปีศาจสาวในเพิงแล้ว แถมยังเห็นภาพที่เขานอนแนบชิดอยู่กับนางอีกด้วย
หนิวปาจินแต่งงานไปนานแล้ว พอเห็นเช่นนี้ดวงตาก็เปล่งประกายวูบ เขามองสำรวจดูเซียวเถี่ยเฟิงแล้วก็หันไปมองปีศาจสาวในเพิง
“เถี่ยเฟิงเอ๊ย ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าก็มีความสามารถแบบนี้ เล่าให้ฟังหน่อยซิว่าแม่นางคนนี้มาจากไหน?”
หนิวปาจินหัวเราะคิกคัก “เจ้านอนกับนางแบบนี้เลยรึ? เมื่อคืน? ตรงนี้?”
เซียวเถี่ยเฟิงไม่ชอบท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนอยากให้เขาเล่าเรื่องลามกจกเปรตให้ฟังก็เลยต่อยบ่าของหนิวปาจินแรงๆ ครั้งหนึ่ง
“พูดจาเหลวไหลอะไร ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดเสียหน่อย”
“จุ๊ๆ” หนิวปาจินถูกต่อยแต่ยังไม่ยอมเลิก เขามองเซียวเถี่ยเฟิงพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “อย่าเสแสร้งไปหน่อยเลย ข้าเห็นนะว่าเมื่อครู่เจ้ากอดนางแน่นเหมือนเป็นคนคนเดียวกันไม่มีผิด แถมยังใช้ขาหนีบขาเจ้าไว้ด้วย ช่าง…”
เขายังพูดไม่ทันจบ เซียวเถี่ยเฟิงก็ส่งสายตาคมกริบเหมือนใบมีดมาให้
หนิวปาจินหุบปากเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เขาไม่กลัวกำปั้นของเซียวเถี่ยเฟิง เพราะรู้ดีว่าเซียวเถี่ยเฟิงไม่มีวันเอาจริงกับคนกันเอง
แต่เขากลัวสายตาของเซียวเถี่ยเฟิง เพียงถูกแววตาที่คมกริบเหมือนมีดกวาดมองมา เขาก็ต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
เพราะเมื่อใดก็ตามที่เซียวเถี่ยเฟิงมองมาด้วยสายตาแบบนั้น มันหมายความว่าเขาอาจกำลังจะตาย
เขาจำต้องเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ได้ๆๆ เราไม่พูดเรื่องนี้ วันนี้ข้ามาแต่เช้าก็เพราะอยากถามเจ้าว่า เจ้าจะเป็นหัวหน้าพรานในฤดูใบไม้ร่วงนี้ได้หรือไม่?”
“ข้าว่าไม่ดีกว่า หลายปีมานี้คนตระกูลจ้าวเป็นผู้นำไม่ใช่หรือ ให้พวกเขาเป็นไปเถิด” เซียวเถี่ยเฟิงรู้ดีว่าทุกปีชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่บนเขาเว่ยอวิ๋นมักจะแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าพรานในฤดูใบไม้ร่วงกันจนหัวร้างข้างแตก ตระกูลจ้าวเป็นตระกูลใหญ่ในเขาเว่ยอวิ๋น หลายปีมานี้ตำแหน่งหัวหน้าพรานจึงตกเป็นของพวกเขามาโดยตลอด
คนอื่นๆ ย่อมไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่ไม่มีใครกล้าท้าทายตระกูลจ้าว
“เถี่ยเฟิง ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ชอบแย่งชิงกับใคร แล้วก็ไม่ชอบทำตัวโดดเด่น แต่หลายปีมานี้คนตระกูลจ้าวเป็นหัวหน้าพราน เราไม่ใช่คนตระกูลจ้าวก็เลยต้องเสียเปรียบมาตลอด ข้ากับพี่น้องคนอื่นๆ ปรึกษากันแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแย่งชิงตำแหน่งนี้มาจากพวกเขาให้ได้ ไม่เช่นนั้น เราต้องทนเสียเปรียบไปเรื่อยๆ ในใจคงอัดอั้นตันใจนัก!”
“เรื่องนี้ไม่เห็นมีอะไรน่าแย่งชิงสักนิด บ้านข้าไม่มีสมบัติ ไม่มีอิทธิพลอะไร รับจ้างเฝ้าสวนแตงได้เงินสิบอีแปะข้าก็ดีใจแล้ว ข้าตัวคนเดียว ตัวเองกินอิ่มคนทั้งบ้านก็กินอิ่ม ข้าไม่มีใจทะเยอทะยานอยากเป็นหัวหน้าพรานสักนิด”
เซียวเถี่ยเฟิงปฏิเสธข้อเสนอของพี่น้องทันที
“เถี่ยเฟิง เฮ้อ… เจ้าก็ถือว่าทำเพื่อพวกเรา”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง เซียวเถี่ยเฟิงสังเกตเห็นว่าสายตาของหนิวปาจินคอยเหลือบมองเข้าไปในเพิงเป็นพักๆ
เขาขมวดคิ้วก่อนจะปรายตามองเข้าไปในเพิง ทันใดนั้นก็พบว่าปีศาจสาวไม่ได้แอบอยู่ใต้เสื้อคลุมของเขา แต่กลับแอบโผล่หน้าออกมามองหนิวปาจิน
ไฟโทสะลุกโชนขึ้นในใจ
นางยั่วยวนเขาคนเดียวไม่พอ ยังคิดจะยั่วยวนพี่น้องของเขาอีกอย่างนั้นหรือ?
สันดานปีศาจ รู้จักแต่ทำร้ายผู้คน!
เพื่อปกป้องพี่น้องของตัวเอง เซียวเถี่ยเฟิงขยับตัวเล็กน้อย ใช้ร่างกายใหญ่โตของตัวเองบดบังสายตาของปีศาจสาว และสายตาของหนิวปาจินเอาไว้