“เรื่องหัวหน้าพรานไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่มีความสามารถพอ หากเจ้าจะตั้งตนเป็นปรปักษ์กับตระกูลจ้าวให้ได้ก็ไปหาคนอื่นเถอะ” เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวเสียงแข็งกร้าวเย็นชา

ทั้งสองยังพูดคุยกันไม่จบ ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ทยอยกันมาที่นา บางคนแบกจอบ บางคนหิ้วถัง พอมาถึงก็เริ่มลงมือทำงาน บางคนเห็นเซียวเถี่ยเฟิงกับหนิวปาจินพูดคุยกันอยู่ก็เดินมาร่วมวงด้วย คิดไม่ถึงว่าจะมีบางคนเหลือบไปเห็นปีศาจสาวในเพิงเข้าแล้วก็เริ่มร้องโวยวาย

“ในนั้นมีผู้หญิง เถี่ยเฟิง เจ้าซ่อนเอาไว้หรือ?”

“เถี่ยเฟิง นางมาจากไหน?”

“ทำไมนางถึงนอนอยู่ในเพิง นางเป็นผู้หญิงของเจ้าหรือ?”

บางคนถามออกมาตรงๆ “เถี่ยเฟิงเอ๊ย เมื่อคืนวานเจ้ามีเมียแล้วอย่างนั้นหรือ?”

สายตาของทุกคนหันไปมองปีศาจสาวแล้วก็หันมามองเซียวเถี่ยเฟิง พวกเขาเริ่มคาดเดา เริ่มหยอกล้อ สุดท้ายก็พากันหัวเราะออกมา

ใบหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงร้อนผ่าว แต่ก็ยังแข็งใจโกหก

“ใช่ เมียของข้า”

ตอนที่กล่าวคำพูดนี้ สายตาของเขาหันไปมองปีศาจสาวในเพิงโดยไม่ได้ตั้งใจ นางยังคงนอนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ท่าทางเหมือนไม่สนใจสักนิดว่าเขากำลังพูดอะไร ยิ่งไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนรอบด้าน

เขาสูดหายใจลึกพลางบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ

ใครให้เขามาเจอปีศาจสาวเข้าล่ะ ถือว่าตัวเองดวงซวยก็แล้วกัน

วันนี้เขายอมรับว่าปีศาจสาวเป็นภรรยา ต่อไปจะแต่งผู้หญิงสักคนมาให้กำเนิดทายาทสืบสกุลคงเป็นเรื่องยากเสียแล้ว…

คำพูดของเขาทำให้ผู้คนรอบด้านแตกตื่นทันที

“เถี่ยเฟิง เจ้าแต่งเมียตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมเราถึงไม่รู้?”

“เจ้าแต่งตอนที่ทำงานอยู่ข้างนอกหรือ? ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อน?”

“เมื่อก่อนนางอยู่ที่ไหน? เมื่อก่อนนางไม่ได้ตามเจ้ากลับมา ตอนนี้เพิ่งมาหาอย่างนั้นหรือ?”

เซียวเถี่ยเฟิงยังไม่ทันได้อธิบายอะไร เพื่อนบ้านทั้งหลายก็พูดเองเออเองกันหมด

ทุกคนแย่งกันพูด บางคนแสดงความยินดี บางคนถอนใจ บางคนประหลาดใจ สุดท้ายหญิงม่ายนามซิ่วเฟินก็ก้าวออกมา นางบิดสะโพกเดินเข้าไปในเพิงด้วยท่วงท่าเย้ายวนก่อนจะกวาดตามองปีศาจสาวอย่างละเอียด

“เถี่ยเฟิง เมียเจ้าคนนี้หยิ่งเกินไปหรือเปล่า ทุกคนยืนอยู่ที่นี่ แต่นางกลับไม่พูดอะไรสักคำ?”

เซียวเถี่ยเฟิงยิ้มก่อนจะอธิบายว่า “นางเป็นใบ้ ขาก็แพลง”

ปีศาจสาวน่าจะพูดเป็น แต่เสียดายที่พูดเป็นแต่ภาษาปีศาจ ถือว่านางเป็นใบ้ก็แล้วกัน

“เป็นใบ้งั้นรึ?”

ทุกคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอีกรอบ

ซิ่วเฟินกวาดตามองปีศาจสาวแล้วก็หันไปกวาดตามองเซียวเถี่ยเฟิง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “ที่แท้เจ้าก็ปักใจอยู่กับผู้หญิงที่ทั้งอัปลักษณ์ทั้งเป็นใบ้คนนี้งั้นรึ?”

เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง

ปีศาจสาวเป็นใบ้ เขายอมรับ

แต่หาว่านางอัปลักษณ์?

นางอัปลักษณ์ตรงไหน?

นางดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิวขาวสะอาดน่าดู ตาจมูกปากต่างก็ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้

“ไม่นับว่าสวย แต่ว่า…” เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวเสียงเย็น “ดูดีกว่าเจ้าก็แล้วกัน”

ซิ่วเฟินคิดไม่ถึงว่าเซียวเถี่ยเฟิงจะพูดแบบนี้ ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ฟันซี่เล็กๆ ขบกันแน่น “เซียวเถี่ยเฟิง ข้าเป็นผู้หญิงที่ไม่มีผู้ชายคอยปกป้อง เจ้าก็เลยข่มเหงข้าอย่างนั้นรึ?”

เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวเสียงเรียบ “เจ้ามีผู้ชายปกป้องหรือไม่ข้าไม่สนใจ แต่เมียข้ามีผู้ชายคอยปกป้อง”

คำพูดของเขาทำให้หญิงม่ายซิ่วเฟินโกรธแค้นจนน้ำตาแทบร่วง นางมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสายตาคับแค้น “ได้ เจ้าแน่มาก! ข้าจะจำเรื่องนี้เอาไว้!”

กล่าวจบก็บิดสะโพกเดินหนีไปทันที

นับแต่หญิงม่ายซิ่วเฟินไม่มีสามี หากมีงานที่ต้องใช้แรงอย่างการล่าสัตว์เอย ทำนาเอย นางก็มักจะยั่วยวนผู้ชายบ้านอื่นให้มาช่วยทำให้ เป็นเหตุให้ผู้หญิงคนอื่นๆ ต่างก็ไม่พอใจมาก พอเห็นนางถูกเซียวเถี่ยเฟิงย้อนเช่นนี้ ทุกคนก็สะใจนัก ซ้ำยังไม่มีใครคิดจะช่วยพูดแทนนางสักคน

ทุกคนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไป พวกเขายังมีงานในนารออยู่ ไม่มีใครอยู่เฉยๆ แล้วจะได้มีข้าวกินอิ่มทั้งนั้น

เซียวเถี่ยเฟิงเป็นคนจน ไม่มีที่นา ยามนี้ฟ้าสว่างแล้ว คนตระกูลเหลิ่งเองก็มาแล้ว ภารกิจของเขาก็จบสิ้น

เขาเดินเข้าไปในเพิง เห็นปีศาจสาวหลับตานอนอยู่ใต้เสื้อคลุมสีครามเงียบๆ เขาก็ตั้งท่าจะก้มลงอุ้มนางขึ้นมา

คิดไม่ถึงว่านางจะลืมตาขึ้น

ดวงตาทั้งคู่ของปีศาจสาวดูราวกับธารน้ำบนภูเขา ใสกระจ่างแต่เยียบเย็น ในดวงตานั้นยังแฝงด้วยแววดูแคลน ราวกับว่าจริงๆ แล้วนางไม่อยากจะสนใจเขาสักนิด

เขาชะงัก ใจนึกถึงคำโกหกเมื่อครู่ของตัวเองขึ้นมา

นางรู้ว่าเขาบอกคนอื่นๆ ว่านางเป็นภรรยาของเขา ก็เลยไม่พอใจงั้นรึ?

สายตาเยียบเย็นนั้นทำให้เขาอึดอัด แต่นึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ขึ้นมา เขาก็ตัดสินใจอุ้มนางขึ้นมากอด

พอเดินออกจากเพิง ปีศาจสาวก็ชี้ไปที่ถุงหนังบนพื้น

เขาเหลือบตามอง ถุงหนังสีดำใบนั้นมีขนาดไม่ใหญ่ เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่านางมุดออกมาจากถุงใบนั้นได้อย่างไร

คิดดูแล้ว นางคงจะเป็นปีศาจงูดำจริงๆ สินะ

ตอนนี้นางอยากจะได้ถุงหนังใบนี้ คิดจะมุดกลับเข้าไปแล้วคืนร่างเป็นงูงั้นหรือ?

เซียวเถี่ยเฟิงไม่อยากให้ปีศาจสาวคืนร่างเดิม ดังนั้นเขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

แต่ดูปีศาจสาวจะยืนกรานหนักแน่น เขาก็เลยยอมใจอ่อนช่วยเก็บให้นาง

นางได้หนังงูดำไปแล้วก็เรียกร้องอยากได้มีดเล่มนั้นคืน เขาก็ใจอ่อนยอมช่วยเก็บให้นางอีก

ปีศาจสาวได้หนังงูกับมีดคมกริบของนางกลับคืนไปแล้วก็กอดเอาไว้กับอกด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงเอนศีรษะซบบ่าของเขา

เขาชะงักเล็กน้อย พริบตาต่อมา รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก

หลังจากนั้นเขาก็รีบตั้งสติแล้วอุ้มนางเดินกลับบ้าน

 

ยามเช้าในฤดูร้อน

ลำธารใสในภูเขาไหลเอื่อยผ่านก้อนหินเก่าแก่สีเทาดำกับต้นหญ้าริมฝั่งเป็นแนวคดเคี้ยวทอดยาวก่อนจะไหลลงสู่หน้าผาเตี้ยๆ เบื้องล่าง ก่อให้เกิดละอองน้ำเป็นฟองฝอยสีขาวสะอาดกับเสียงดังเสนาะหู นี่คือเสียงดนตรีที่ไพเราะที่สุดบนภูเขา

กู้จิ้งถูกชายหนุ่มอุ้มเดินไปตามทางเล็กๆ บนภูเขา เดี๋ยวก็ปีนขึ้นเนินเดี๋ยวก็เดินลงเนิน บางครั้งยังเดินผ่านคูน้ำเล็กๆ เธอยังคงเอนศีรษะซบกับบ่าของชายหนุ่มพลางสัมผัสกับแรงสั่นสะเทือนจากร่างแข็งแกร่งของเขา แม้กระทั่งท้องฟ้าสดใสเบื้องบนก็พลอยสั่นไหวตามไปด้วย

บางทีอาจเป็นเพราะเธอชิงไหวชิงพริบกับผู้ชายคนนี้จนเริ่มท้อและจำต้องยอมพักรบชั่วคราว เธอถึงได้รู้สึกว่า ถูกเขาอุ้มเอาไว้แบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน แถมมันยังทำให้เธอนึกถึงภาพอันงดงามในวัยเด็กที่เธอถูกคุณยายสะพายไว้ในตะกร้าไม้ไผ่อีกด้วย

กู้จิ้งหลับตาลงพลางสูดอากาศบริสุทธิ์บนภูเขาเข้าไปเต็มปอด ใจอดคิดไม่ได้ว่าอากาศที่นี่คล้ายกับเขาเว่ยอวิ๋นมาก

สายลมฤดูร้อนที่โชยผ่านมาทำให้เธอรู้สึกเย็นขึ้นมาบ้าง ในความเย็นนั้นแฝงด้วยกลิ่นหอมหวาน และในกลิ่นหอมหวานก็แฝงด้วยกลิ่นเปรี้ยว

กู้จิ้งลืมตาขึ้นพลางยกศีรษะขึ้นจากบ่าของชายหนุ่มด้วยความสงสัย จากนั้นจึงหันไปกวาดตามองดูรอบๆ

บนภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ยามนี้พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น บนภูเขายังคงมีหมอกสีขาวจางๆ คล้ายกับผ้าแพรสีเงินปกคลุมอยู่ ทำให้ภาพรอบด้านดูราวกับความฝัน

ท่ามกลางภาพอันแสนงดงามนั้น กู้จิ้งได้กลิ่นที่คุ้นเคยของอะไรบางอย่าง

ผลหรูหรู คุณยายเคยเด็ดให้เธอกินสมัยที่แบกเธอขึ้นไปหาโสมในป่า

ผลหรูหรูมีสีดำอมม่วง เด็ดทีก็ได้มาเป็นพวง เวลากินจะมีรสเปรี้ยวๆ หวานๆ มันเป็นของกินเล่นเพียงอย่างเดียวของกู้จิ้งสมัยยังเด็ก ทั้งยังเป็นความทรงจำที่งดงามที่สุดของเธอ พอโตขึ้น เธอก็ออกจากภูเขาไปใช้ชีวิตกับพ่อแม่ ไม่ค่อยได้กลับไปที่เขาเว่ยอวิ๋นอีก

กว่าจะได้กลับไป ที่นั่นก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แถมคุณยายก็แก่มากแล้ว

เดินไปทั่วเขาเว่ยอวิ๋น เธอก็หาผลหรูหรูไม่พบอีก

คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้กลิ่นของผลหรูหรู

ดวงตาของกู้จิ้งกวาดมองไปรอบๆ หวังจะหาผลไม้สีม่วงอมดำที่คุ้นเคยให้พบท่ามกลางพุ่มไม้หนาทึบเหล่านั้น

ตาล่ำบึ้กสังเกตเห็นเธอขยับตัวไปมาก็หยุดชะงักแล้วก้มลงมองเธอด้วยความสงสัย งุนงงอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ยังไม่เข้าใจความหมายของเธอ เขาจึงเอ่ยออกมาว่า “@$%&*@$%&*” ประโยคหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดอะไร

กู้จิ้งร้อนใจขึ้นมา

เธอเพิ่งรู้สึกตัวว่าเช้านี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย เธอหิวแล้ว!

ตอนนี้เธออยากกินผลหรูหรู

จากภูเขาไปหลายปี ตอนนี้ยังหลงมาอยู่ในสถานที่ที่อันตรายแถมยังไม่คุ้นเคยเช่นนี้อีก ความปรารถนาที่มีต่อของกินเล่นในอดีตจึงไม่ต่างอะไรจากพยาธิที่มุดเข้าไปในสมองของเธอ

เธออยากกินผลหรูหรู!

บางทีอาจเป็นเพราะขยับตัวแรงเกินไป ตาล่ำบึ้กก็เลยต้องวางเธอลงบนก้อนหินด้านข้าง

กู้จิ้งซึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินใช้มือบอกใบ้ ผลไม้ลูกเล็กๆ เอามากินได้ จากนั้นก็ทำท่าเคี้ยวให้เขาดู

ตาล่ำบึ้กลำบากใจมาก เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบมันฝรั่งออกมาจากถุงผ้าเนื้อหยาบ เหมือนจะถามเธอว่าจะเอามันฝรั่งไหม

กู้จิ้งมองมันฝรั่งซึ่งถูกมือใหญ่หยาบกร้านบีบจนแทบจะแหลกแล้วก็จนใจเหลือเกิน มันฝรั่งน่าเกลียดขนาดนี้ เธอไม่กินหรอก เธอจะกินผลหรูหรู

ดังนั้นเธอจึงพยายามบอกใบ้อีกครั้งสุดความสามารถ แถมยังทำจมูกหยุกหยิกเพื่อบอกเขาว่า ตอนนี้ในอากาศมีกลิ่นเปรี้ยวอมหวาน นั่นคือผลหรูหรู นายเข้าใจไหม!