[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 514 : ชุมนุมปราบพรรคมาร!

“โอ๊ะ..!” หลิวซุ่ยเฟิงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป และส่งเสียงร้องออกมา

หลิวซุ่ยเฟิงรู้สึกราวกับว่า ฝ่ามือของเขานั้นถูกบีบด้วยเหล็กกล้าที่แข็งแกร่ง และเขาก็ไม่สามารถจะสะบัดมือออกจากการบีบรัดของหลิงหยุนได้ ตอนนี้ฝ่ามือของเขาแทบจะบี้แบน!

“ยินดีที่ได้รู้จัก..”

สีหน้าของหลิงหยุนยังคงเรียบเฉย มีเพียงรอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าคล้ายกับว่ากำลังชื่นชมสีหน้าที่เจ็บปวดของหลิวซุ่ยเฟิงอยู่ และฝ่ามือของหลิงหยุนก็ยังคงบีบแน่นไม่คลาย..

เมื่อครั้งที่หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 นั้น เขายังสามารถแบกหม้อเสินหนงที่หนักเป็นพันๆกิโลกรัมด้วยมือเพียงข้างเดียวได้อย่างสบายๆ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่เข้าสู่ระดับกลางของขั้นปรับร่างกายแล้ว!

หากจะเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆก็คือว่า ความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในเวลานี้เทียบเท่ากับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ส่วนหลิวซุ่ยเฟิงที่อยู่ตรงหน้าหลิงหยุนนั้นเป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นเท่านั้นเอง

ตอนนี้หลิวซุ่ยเฟิงเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งแขนจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ และไหล่ขวาของเขาก็ค่อยๆทรุดลงอย่างน่าขัน

‘เอ่อ.. เจ้า.. เจ้า.. ปล่อยมือข้าได้แล้ว!’

แต่หลิงหยุนยังคงจับแน่นไม่ยอมปล่อย ใบหน้าของหลิวซุ่ยเฟิงถึงกับซีดจนเป็นสีขาว และน้ำเสียงก็เปลี่ยนจากหยิ่งจองหองเป็นอ้อนวอน แต่จู่ๆก็หันไปต่อว่าฉินตงเฉี่วย..

“ศิษย์น้อง.. เจ้าดูเอาเอง..”

หลิวซุ่ยเฟิงนั้นคิดไม่ถึงจริงๆว่า หลิงหยุนที่เพิ่งจะอายุสิบแปดปี แต่กลับแข็งแกร่งอย่างน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้! คล้ายกับว่าเกิดมาพร้อมพลังที่เหนือธรรมชาติ!

หลิงหยุนยังคงไม่ปล่อยมือ! ความจริงแล้วเขาไม่ได้สนใจ หรือใส่ใจกับสีหน้าที่รังเกียจเดียดฉันท์ของหลิวซุ่ยเฟิงด้วยซ้ำไป เพราะเป็นเรื่องที่เขาพบเจอเป็นปกติ!

แต่หลิงหยุนไม่ชอบท่าทางก้อร่อก้อติกของหลิวซุ่ยเฟิงที่แสดงออกกับฉินตงเฉี่วย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลิงหยุนเห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบกิริยาท่าทางเช่นนั้น เขาจึงต้องการให้บทเรียนกับชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญ และเป็นศิษย์ที่เลอเลิศของนิกายลับผู้นี้!

ในที่สุดหลิงหยุนก็หยุดเพิ่มแรงบีบ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ หลิงหยุนจ้องมองมือขวาของหลิวซุ่ยเฟิงพร้อมกับยิ้ม ในขณะที่ฉินตงเฉี่วย และหนิงหลิงยู่ต่างก็ได้แต่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

ผ่านไปสองสามนาทีแล้ว แต่ทั้งคู่ยังคงจับมือกันไม่เสร็จสิ้นเสียที สีหน้าของหลิงหยุนยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม แต่ดูเหมือนหลิวซุ่ยเฟิงนั้นแทบจะทนต่อไปไม่ได้แม้อีกเพียงแค่วินาทีเดียว และหากหลิงหยุนไม่หยุดออกแรง ฝ่ามือขวาของหลิวซุ่ยเฟิงคงต้องแหลกเหลวคามือของหลิงหยุนอย่างแน่นอน!

“หลิงหยุน.. นี่เจ้าทำอะไร? อย่าได้เสียมารยาท!”

ในที่สุดฉินตงเฉี่วยก็ขยับริมฝีปากคู่สวยขึ้นพูดกับหลิงหยุน แต่ในใจกลับคิดว่าลูกชายของพี่สาวนางนั้น ยากนักที่จะเดาความคิดของเขาได้ถูก!

น้ำเสียงที่ฉินตงเฉี่วยใช้พูดกับหลิงหยุนนั้นไม่สู้ดีนัก หลิงหยุนฟังแล้วได้แต่รู้สึกหงุดหงิด จึงเงยหน้าขึ้นมองฉินตงเฉี่วยพร้อมกับตอบนางไปอย่างยิ้มแย้ม

“น้าหญิง.. ข้ากับหลิวซุ่ยเฟิงเพิ่งจะได้พบปะกันครั้งแรก ยังต้องสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกัน ถ้ายังไง.. จับมือกันไว้แบบนี้อีกสักครู่ก็น่าจะดี..”

“เอ่อ..” หนิงหลิงยู่ฟังแล้วก็ได้แต่ร้องออกมาด้วยความรู้สึกสงสารหลิวซุ่ยเฟิง

เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่า.. หากหลิงหยุนยังคงบีบมือเขาต่ออีกสักพัก หลิวซุ่ยเฟิงคงจะไม่สามารถอดทนต่อได้อีกอย่างแน่นอน!

ฉินตงเฉี่วยได้แต่เลิกคิ้วคู่งามของนางขึ้นสูง และจมูกเล็กๆก็ย่นเข้าหากันเล็กน้อย แล้วจึงชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับพูดกับหลิงหยุนว่า

“แดดร้อนแบบนี้เจ้ายังปล่อยให้แขกยืนตากแดดได้อย่างไรกัน? ทำตามที่น้าหญิงสั่ง.. ปล่อยมือเขาได้แล้ว..”

แม้ฉินตงเฉี่วยจะรู้ดีว่าหลิวซุ่ยเฟิงนั้นได้เสียท่าให้กับหลิงหยุนอย่างมากแล้ว แต่ถึงอย่างไรหลิวซุ่ยเฟิงก็เป็นศิษย์พี่ของนาง นางจึงไม่ต้องการให้หลิวซุ่ยเฟิงต้องเสียหน้าซ้ำอีก!

“น้าหญิง.. ผิวของคุณชายหลิวซีดขาวเกินไป ยืนตากแดดแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน..”

ยิ่งฉินตงเฉี่วยทำเหมือนเข้าข้างหลิวซุ่ยเฟิงมากเท่าไหร่ หลิงหยุนก็ยิ่งไม่พอใจมากเท่านั้น! ไม่เพียงแค่เขาจะไม่ปล่อยมือ แต่ยังแอบเพิ่มแรงบีบให้แรงขึ้นอีก!

“โอ๊ย..”

แม้ว่าหลิวซุ่ยเฟิงแทบจะหมดกำลัง แต่ก็พยายามที่จะใช้พลังชี่ทั้งหมดเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถต้านทานพลังของหลิงหยุนได้ และกระดูกมือขวาของเขาที่ถูกบีบนั้นก็เริ่มมีเสียงคล้ายกระดูกลั่น!

ผ่านไปราวห้าหรือหกนาที..

“โอ้.. เจ้าทำให้ข้าเจ็บ! ศิษย์น้องถ้าเจ้าไม่ห้าม ข้าก็จะตอบโต้แล้วนะ!”

หลิวซุ่ยเฟิงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และไม่สามารถทนได้อีก เขากัดฟันรวบรวมกำลังอีกครั้งเพื่อโจมตีหลิงหยุน

หลิงหยุนยิ้มเหยียด เขารอเวลานี้อยู่แล้ว หากหลิวซุ่ยเฟิงกล้าที่จะทำร้ายเขา สาบานว่าเขาต้องทำให้แขนขวาของหลิวซุ่ยเฟิงหักทันทีอย่างแน่นอน!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉินตงเฉี่วยก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ร่างสวยงามของนางเดินตรงเข้าไปยืนอยู่ทางด้านขวามือของหลิงหยุน แล้วยื่นมือออกไปจับแขนข้างขวาของเขาไว้..

-เจ้าเชื่อฟังน้าหญิง.. เข้าไปในบ้าน อย่าทำให้ข้าต้องมีปัญหา! หากเจ้าทำเช่นนี้ ต่อไปข้าจะกลับไปที่สำนักอีกได้อย่างไร?- ฉินตงเฉี่วยจับแขนหลิงหยุนไว้พร้อมกับส่งกระแสจิตพูดคุยกับหลิงหยุน

หลิงหยุนเห็นว่าฉินตงเฉี่วยใช้ไม้อ่อนกับเขา ในใจก็นึกพอใจ และรู้สึกว่าหลิวซุ่ยเฟิงได้รับบทเรียนพอสมควรแล้ว เขาจึงยิ้มหยันที่มุมมปากก่อนจะคลายมือขวาทันที..

“….”

การออกแรงบีบครั้งสุดท้ายของหลิงหยุนนั้น เขาได้ใช้กำลังทั้งหมดของตนเองที่มี ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว หลิวซุ่ยเฟิงก็ไม่สามารถทานทนได้ จนต้องเดินลมปราณต้านทานไว้ แต่จู่ๆ หลิงหยุนกลับปล่อยมือเขาในทันทีเช่นนี้..

ทำให้ร่างของหลิวซุ่ยเฟิงที่เดินลมปราณอย่างสุดกำลังนั้น ลอยกระเด็นขึ้นไปบนอากาศสูงราวสี่ห้าเมตรทันที!

“เจ้ากระโดดได้สูงดีนี่.. ดูท่าคงอยากจะเป็นลิงสินะ..”

หลิงหยุนเดาไว้อยู่แล้วว่าหลิวซุ่ยเฟิงจะต้องลอยละลิ่วขึ้นไปเช่นนั้น เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับพูดเย้ยหยัน..

ไม่ว่าจะเป็นผู้มาเยือน เป็นศิษย์พี่จากสำนักดาบเทวะ หรือจะเป็นคุณชายแห่งตระกูลหลิวที่เก่าแก่ เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร หลิงหยุนก็เคยไม่สนใจ หากคนผู้นั้นไม่ให้ความเคารพคนในครอบครัว หรือสหายของเขา และหลิงหยุนมักจะสั่งสอนคนเหล่านี้ด้วยการตบหน้า!

บทเรียนที่หลิวซุ่ยเฟิงได้รับในครั้งนี้ นับว่าเป็นบทเรียนที่เบาที่สุดแล้ว!

ปัง!

เท้าของหลิวซุ่ยเฟิงกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง และร่างกายก็เปียกโชกด้วยเหงื่อเต็มไปหมด มือข้างขวาของเขานั้นอ่อนเปลี้ยไปหมด และฝ่ามือข้างขวาก็บวมเป่งเช่นกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่หลิวซุ่ยเฟิงเจ็บใจที่สุดในชีวิต!

หลิวซุ่ยเฟิงได้รับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะฉินตงเฉี่วยอยู่ด้วย เขาคงจะชักกระบี่ออกมาสู้กับหลิงหยุนให้เขาต้องเสียหน้าบ้างอย่างแน่นอน..

ฮึ่ม..!

หลิวซุ่ยเฟิงมองฉินตงเฉี่วย และหลิงหยุนที่ดูสนิทสนมกันมาก เขาได้แต่นึกอิจฉา และแอบกังวลอยู่ในใจเงียบๆ

แต่ถึงอย่างไรฉินตงเฉี่วยก็ยังช่วยรักษาหน้าของเขาไว้ แต่ในเมื่อหลิงหยุนกล้าสร้างความอัปยศให้กับเขาเช่นนี้ หลิงหยุนก็ต้องรับผิดชอบ! หลิวซุ่ยเฟิงได้แต่จดจำความแค้นครั้งนี้ไว้ และรอคอยโอกาสที่จะเอาคืนในวันข้างหน้า!

ใบหน้าของหลิวซุ่ยเฟิงเปลี่ยนจากขาวเป็นแดง แล้วพูดกับฉินตงเฉี่วยอย่างด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องจะมียอดฝีมืออยู่ด้วย ดูท่าอาจารย์กับพี่น้องคนอื่นๆ คงไม่จำเป็นสำหรับเจ้าแล้วสินะ! เอาล่ะ.. ข้าต้องขอตัวก่อน ถือว่าข้าไม่เคยมาเหยียบที่นี่ก็แล้วกัน!”

ยังไม่ทันที่ฉินตงเฉี่วยจะได้พูดอะไร หลิงหยุนก็ยิ้มและตอบกลับไปว่า “คุณชายหลิว.. ค่อยๆเดินล่ะ ข้าไม่ส่งนะ!”

หลิวซุ่ยเฟิงรู้ดีว่าหลิงหยุนไล่เขากลายๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะตอบโต้ เขาหันไปพูดกับฉินตงเฉี่วยว่า

“ศิษย์น้อง.. อาจารย์ฝากข้ามาบอกกับเจ้าว่า เร็วๆนี้นิกายลับต่างๆจากทั่วโลกจะนัดชุมนุมกัน และตอนนี้ก็มีตระกูลเก่าแก่สิบกว่าตระกูลตอบรับเข้าร่วมการชุมนุมในครั้งนี้แล้ว ท่านอาจารย์ให้ข้ามาบอกกับเจ้าว่า ท่านให้ข้ากับเจ้าเป็นตัวแทนของสำนักดาบสวรรค์ไปเข้าร่วมชุมนุมที่จะจัดขึ้นในหุบเขาฟงเหลยบนเขาหลงหู่ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ การชุมนุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาหนทางปราบเหล่าพรรคมาร!”

“ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า ข้าจึงเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า และต้องการให้เจ้าออกเดินทางไปพร้อมกับข้า แต่ในเมื่อเจ้ามียอดฝีมืออยู่ข้างตัวเช่นนี้แล้ว ข้าคงไม่จำเป็นต้องห่วงเจ้า ข้าจึงจะออกเดินทางไปยังหุบเขาฟงเหลยก่อน!”

หลิวซุ่ยเฟิงได้ถ่ายทอดคำสั่งของอาจารย์อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง!

หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลิวซุ่ยเฟิงแล้ว ก็ได้แต่นึกในใจว่า หญิงสาวลึกลับที่เขาพบเมื่อคืนนี้ ก็เป็นคนของพรรคมาร!

พรรคมารนั้นได้หายหน้าไปนานถึงสิบแปดปี แต่ตอนนี้กลับมาปรากฏตัวไปทั่วทุกหนทุกแห่งอีกครั้ง ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาเหล่าสมาชิกของพรรคมารต่างก็พากันเก็บตัวเพื่อเตรียมพร้อมทำงานใหญ่อะไรสักอย่าง..

‘หุบเขาฟงเหลย เขาหลงหู่งั้นรึ?’

‘เขาหลงหู่เป็นบ้านเกิดของไป๋เซียนเอ๋อนี่..! หลังจากสอบเอนทรานซ์เสร็จ ข้าจะต้องเดินทางไปเขาหลงหู่กับเซี่ยนเอ๋อเพื่อแก้แค้น!’

จัดชุมนุมเพื่อหารือเรื่องการปราบปรามพรรคมารอย่างนั้นหรือ?

หลิงหยุนเองก็เป็นผู้ฝึกวรยุทธและกำลังภายในคนหนึ่ง เขาจึงต้องการรู้จักกับเหล่านิกายลับ และตระกูลจอมยุทธ์เก่าแก่ในประเทศจีน งานชุมนุมที่น่าสนุกเช่นนี้ แน่นอนว่าหลิงหยุนต้องไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง!

หลิงหยุนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อตัดสินใจว่าจะต้องเดินทางไปร่วมชุมนุมในครั้งนี้ด้วยอย่างแน่นอน!

แต่เมื่อหลิงหยุนได้ยินหลิวซุ่ยเฟิงพูดว่า เขาเดินทางมาที่นี่เพื่อต้องการให้ฉินตงเฉี่วยออกเดินทางไปที่เขาฟงเหลยพร้อมกัน เพื่อที่ตนเองจะได้ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองนาง หลิงหยุนก็ได้แต่นึกหยันอยู่ในใจ เพราะด้วยฝีมือของหลิวซุ่ยเฟิงนั้น คงถูกหญิงสาวลึกลับนั่นฆ่าตายภายในสามกระบวนท่า!

หลังจากที่หลิวซุ่ยเฟิงเสร็จธุระกับฉินตงเฉี่วยแล้ว เขาก็หันหน้าไปทางหนิงหลิงยู่ที่อยู่ด้านข้างพร้อมกับจ้องมองด้วยความพอใจ แล้วจึงหันไปมองหลิงหยุนด้วยสายตารังเกียจก่อนจะกระโดดหายออกไปจากบ้านเลขที่-9 ทันที

“หลิงหยุน.. เจ้าเด็กดื้อ.. เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังจะทำให้ข้ามีปัญหา! ยังไม่รีบเข้าไปในบ้านอีก..”

ฉินตงเฉี่วยจับแขนหลิงหยุนที่กำลังมองหลิวซุ่ยเฟิงด้วยสายตารังเกียจ และลากเข้าไปในบ้านทันที

“เขาทำตัวเอง.. เหตุใดท่านจึงมาตำหนิข้า..”

หลิงหยุนกรอกตา และมองไปทางที่หลิวซุ่ยเฟิงที่หายลับไปพร้อมกับถอนหายใจออกมา..

ยังคงไม่มีข่าวคราวของนางฉินจิวยื่อ หลิงหยุนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็เชื่อว่าในเมื่อจะมีการรวมตัวกันที่หุบเขาเฟยหลงเพื่อหารือเรื่องการกำจัดพรรคมาร สำนักกระบี่เทวะก็ต้องเดินทางไปร่วมชุมนุมด้วยอย่างแน่นอน และตัวเขาเองก็จะไปด้วย..

แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต หลิงหยุนกลับมานึกถึงเรื่องในปัจจุบันที่จะต้องรับมือกับฉินตงเฉี่วยก่อน!

เขาคิดว่าตอนนี้มีเพียงหนิงหลิงยู่เท่านั้นที่จะปกป้องเขาได้ เขาจึงยิ้มพร้อมกับกวักมือเรียกหนิงหลิงยู่

“หลิงยู่.. เข้าไปในบ้านพร้อมกับพี่เร็วเข้า..”