[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 513 : สำนักดาบสวรรค์!

“หลิงยู่.. ไม่เจอกันเดี๋ยวเดียวโตขึ้นมากเลยนะ..”

หลิงหยุนใช้มือสองข้างจับไหล่หนิงหลิงยู่ไว้อย่างอ่อนโยน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจ้องมองใบหน้าที่งดงามชวนฝันของเธอ แล้วพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง..

หนิงหลิงยู่ที่ตอนนี้สวมรองเท้าแตะอยู่บ้าน ความสูงของเธอจึงอยู่ในระดับที่สูงกว่าคิ้วของหลิงหยุนเล็กน้อย และกำลังจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข

พี่น้องทั้งสองคนยังมีโอกาสสูงกว่านี้ได้อีก เพราะทั้งหลิงหยุน และหนิงหลิงยู่เพิ่งจะอายุสิบแปดปี ร่างกายของคนทั้งคู่จึงไม่หยุดการเจริญเติบโตเสียทีเดียว

ที่ผ่านมา.. หนิงหลิงยู่ได้ดูดซับเอาปราณมังกร และพลังอมตะเข้าไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งระยะหลังอาหารการกินก็ดี และอุดมสมบูรณ์กว่าเมื่อก่อน ร่างกายจึงได้รับแต่สารอาหารที่ดีเข้าไป สภาพจิตใจก็กลับสู่ความสงบ

หนิงหลิงยู่แอบมีความสุขอย่างมาก ที่หลิงหยุนสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆในตัวเธอ เธอจึงได้แต่เม้มริมฝีปากอายๆพร้อมกับตอบไปว่า

“นั่นสิ… กระโปรงที่เคยใส่ได้ ตอนนี้ก็สั้นขึ้นด้วย..” หนิงหลิงยู่ตอบเสียงเบา

“ถ้าสั้นแล้วก็ไม่ต้องใส่อีก.. เดี๋ยวพี่จะซื้อให้เธอใหม่เอง! จริงด้วย.. ตอนนี้เรามีร้านเสื้อผ้าเป็นของตัวเองแล้วนี่นา!”

หลิงหยุนในตอนนี้นับว่าเป็นผู้ที่ไม่ขาดแคลนเงินทองดังเช่นแต่ก่อนแล้ว อีกทั้งเขาเองก็เพิ่งจะเปลี่ยนความคิดของหลินเมิ่งหานได้สำเร็จ ในใจตอนนี้จึงค่อนข้างสดชื่น และเบิกบานอย่างมาก

หลังจากได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน หนิงหลิงยู่ก็ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ดวงตาของเธอกลับเหลือบไปเห็นชายร่างสูงท่าทางหยิ่งจองหองกำลังยิ้มเหยียดหยันอยู่ที่มุมปาก

ชายหนุ่มร่างสูงผู้นั้นคิดว่าหลิงหยุนคงจะไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าของเขา เพราะมัวแต่พูดคุยอยู่กับหนิงหลิงยู่ แต่เขาคิดผิด..!

เพราะถึงแม้หลิงหยุนจะทำเหมือนสนอกสนใจเพียงแค่หนิงหลิงยู่ แต่จิตหยั่งรู้ของเขากลับจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มร่างสูงเพียงผู้เดียว ดังนั้นทุกการเคลื่อนไหวของเขาจึงอยู่ในสายตาของหลิงหยุนตลอดเวลา

ชายผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ภูมิฐาน ความสูงนั้นใกล้เคียงกับหลิงหยุน กิริยาท่าทางก็สง่างาม ดวงตาของเขาหรี่เล็ก พร้อมด้วยรอยยิ้มที่เจืออยู่บนใบหน้าตลอดเวลา แต่เป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกว่า ผู้คนในโลกใบนี้แทบไม่มีใครอยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่คนเดียว

ในความรู้สึกของหลิงหยุนนั้น หากเปรียบกับหลงเทียนเจียวแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะเย่อหยิ่งจองหองยิ่งกว่าหลงเทียนเจียวเสียด้วยซ้ำ

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด.. หลิงหยุนจึงรู้สึกระคายเคืองจิตใจ เมื่อเห็นแขนของชายหนุ่มที่อยู่ข้างฉินตงเฉี่วยนี้ สัมผัสเข้ากับแขนที่ขาวราวหิมะของนาง อีกทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเมื่อเห็นฉินตงเฉี่วยกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังคงพูดคุยกับเขาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

คล้ายกับว่าฉินตงเฉี่วยจะสนิทสนมคุ้นเคยกับชายหนุ่มผู้นี้ดี และดูไม่ถือสากับกิริยาท่าทางของเขาเลยแม้แต่น้อย

หลิงหยุนมองดูอย่างไม่พอใจ.. ใบหน้าที่นิ่งขรึมของเขาค่อยๆหันไปมอง และดวงตาก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นเพียงเล็กน้อย ก่อนหันไปยิ้มให้กับฉินตงเฉี่วยพร้อมกับพูดขึ้นว่า..

“น้าหญิง.. ข้ากลับมาแล้ว! เขาคือ..”

แม้หลิงหยุนจะถามถึงชายหนุ่ม แต่ดวงตากลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของฉินตงเฉี่วย และไม่มองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย

วันนี้ฉินตงเฉี่วยสวมชุดกระโปรงเข้ารูปคอกลมแขนกุด เผยให้เห็นท่อนแขนกลมกลึงสวยงาม ลำคอยาวระหงส์ และเอวที่คอดเว้า ทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูสดชื่นขึ้นมาทันที

ความจริงแล้วเมื่อได้เห็นหน้าหลิงหยุน ในใจของฉินตงเฉี่วยก็ทั้งโกรธและรุ่มร้อนราวกับไฟ แต่เพราะตอนนี้กำลังมีแขกอยู่ในบ้านด้วย นางจึงต้องเก็บอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นไว้ข้างในก่อน..

ฉินตงเฉี่วยหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า

“หลิงหยุน.. ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก! ท่านผู้นี้มีนามว่าหลิวซุ่ยเฟิงแห่งสำนักดาบสวรรค์ พี่ซุ่ยเฟิง.. เขาคือลูกชายของพี่สาวข้าเองชื่อว่าหลิงหยุน..”

หลิวซุ่ยเฟิงงั้นรึ? หลิงหยุนได้แต่นึกประหลาดใจว่า เหตุใดน้าหญิงของเขาจึงได้เรียกหลิวซุ่ยเฟิงว่าพี่? หรือน้าหญิงของเขาไม่ใช่คนของตระกูลฉินเช่นนั้นหรือ?

ความจริงก็ไม่แปลกที่หลิงหยุนจะไม่รู้ว่าฉินตงเฉี่วยนั้นนอกจากจะเป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างถือตัวแล้ว ตลอดระยะเกือบยี่สิบปีมานี้ นางก็ได้ร่ำเรียนวรยุทธมาจากสำนักดาบสวรรค์แห่งนี้..

สำนักดาบสวรรค์แห่งนี้ ไม่เพียงเป็นสำนักที่เปิดสอนวรยุทธที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งในประเทศจีน แต่ยังเป็นนิกายลับเพียงนิกายเดียวที่ให้การสนับสนุนตระกูลฉินอีกด้วย

เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว ทั้งฉินจิวยื่อและหนิงเทียนหยาต่างก็ต้องพานพบกับโชคชะตาที่เลวร้าย และทั้งคู่เกือบจะทำให้ตระกูลฉินต้องสิ้นชื่อ และพบกับหายนะครั้งใหญ่ แต่ท้ายที่สุดก็ได้สำนักดาบสวรรค์แห่งนี้เป็นตัวกลาง และช่วยเหลือจนผ่านพ้นหายนะในครั้งนั้นมาได้

หลิวซุ่ยเฟิงนั้นเป็นคุณชายสองของตระกูลหลิวที่เก่าแก่ และเป็นศิษย์ลำดับที่สี่ของสำนักดาบสวรรค์ ส่วนฉินตงเฉี่วยนั้นเป็นศิษย์อันดับที่เก้า ทั้งคู่จึงนับว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของกันและกัน

“อ่อ.. ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้นเอง! ชื่อหลิงหยุนงั้นรึ?”

หลังจากที่ได้ฟังฉินตงเฉี่วยแนะนำตัว หลิวซุ่ยเฟิงกลับมองหลิงหยุนด้วยหางตา แล้วก็ไม่สนใจเขาอีกเลย

หลิวซุ่ยเฟิงนั้นอยู่ในระดับเริ่มต้นของขั้นเซียงเทียน-5 และเมื่อเขาไม่เห็นระดับขั้นกำลังภายในของหลิงหยุน เขาจึงคิดว่าหลิงหยุนเป็นเพียงแค่คนธรรมดาไร้วรยุทธคนหนึ่ง และด้วยฐานะของการเป็นคุณชายหลิว และศิษย์สำนักดาบสวรรค์ ก็ทำให้เขาหน้าบานเมื่อได้ฟังการแนะนำตัวจากฉินตงเฉี่วย

หลิวซุ่ยเฟิงจึงไม่แม้แต่จะนึกชายตามมองหลิงหยุน!

“พี่หลิว.. นี่ท่าน..”

ฉินตงเฉี่วยได้ฟังคำพูด และเห็นท่าทางของหลิวซุ่ยเฟิงแล้วก็เริ่มรู้สึกไม่ดี อารมณ์ของนางก็เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย และกำลังจะเอ่ยเตือนหลิวซุ่ยเฟิง แต่ก็สายไปเสียแล้ว!

‘เด็กน้อยงั้นรึ? น่าสนใจดีนี่.. ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีใครเรียกข้าเช่นนี้!’

แต่ถึงกระนั้น.. หลิงหยุนก็ไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ยกนิ้วชี้ขึ้นเคาะที่จมูกของตัวเอง ก่อนจะยื่นมือออกไปทักทายหลิวซุ่ยเฟิงอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก

หนิงหลิงยู่เห็นรอยยิ้มของหลิงหยุนแล้ว เธอก็ถึงกับอึ้งไป และคิดในใจว่าหลิวซุ่ยเฟิงกำลังจะต้องเจอกับความโชคร้าย

“ที่แท้ก็คือหลิวซุ่ยเฟิงแห่งสำนักดาบสวรรค์นี่เอง!” คำพูดของหลิงหยุนไม่ต่างจากการตบหน้าหลิวซุ่ยเฟิง

นั่นเพราะว่าหลิวซุ่ยเฟิงมีศักดิ์เป็นศิษย์พี่ และอายุก็ไล่เลี่ยกับฉินตงเฉี่วย  ดังนั้นหลิงหยุนควรจะให้เกียรติเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องเรียกตำแหน่งตามลำดับญาติกับเขา

‘หึ..! ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!’

เมื่อหลิวซุ่ยเฟิงได้ยินหลิงหยุนเรียกชื่อเขาตรงๆ อย่างไร้ความเคารพและยำเกรงเช่นนี้ ในใจก็นึกโกรธขึ้นมาทันที สีหน้าของเขาเริ่มบึ้งตึง และแสดงออกถึงความไม่พอใจ..

และด้วยนิสัยที่เย่อหยิ่งจองหอง และถือดีของหลิวซุ่ยเฟิง แม้แต่ต่อหน้าฉินตงเฉี่วย เขาก็ไม่คิดที่จะไว้หน้าหน้านางเลยแม้แต่น้อย และไม่ยอมยื่นมืออกมาจับมือทักทายกับหลิงหยุน

แต่ในเมื่อหลิงหยุนได้ปลุกความโกรธเกรี้ยวในใจของเขาขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว เขาจึงคิดที่จะสั่งสอนหลิงหยุนให้ได้อับอาย หลิวซุ่ยเฟิงแสยะยิ้มพร้อมกับตัดสินใจยื่นมือขวาออกไปจับมือทักทายกับหลิงหยุน

“ยินดีที่ได้รู้จัก..!”

หลังจากที่ยื่นมือออกไปจับมือหลิงหยุนเพื่อเป็นการทักทาย ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที หลิวซุ่ยเฟิงค่อยๆบีบฝ่ามือหลิงหยุน และตั้งใจว่าจะให้เขากรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

‘เอิ่ม..’

แต่เมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสเข้ากับฝ่ามือของหลิงหยุน หลิวซุ่ยเฟิงกลับพบว่า มือขวาของตนเองนั้นไม่ต่างจากการได้สัมผัสเข้ากับเหล็กหรือหินที่แข็งแกร่ง!

สีหน้าของหลิวซุ่ยเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย และถึงกับตกใจ.. หลิงหยุนไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาคิด!

เพราะคนธรรมดาไม่มีทางที่จะมีฝ่ามือแข็งแกร่งเช่นนี้ได้!

แต่ถึงกระนั้น  หลิวซุ่ยเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกมากนัก และยังคงมั่นใจว่าถึงอย่างไรตนเองก็ต้องเป็นฝ่ายชนะ!

เพราะหลิวซุ่ยเฟิงนั้นเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-5 แล้ว และไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มอายุเพียงแค่สิบเจ็ดหรือสิบแปดปีผู้นี้ จะเก่งกาจไปกว่าเขา!

‘หลิงหยุน.. ต่อให้เจ้าฝึกวรยุทธตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเหนือกว่าข้า!’

แต่หลิวซุ่ยเฟิงนั้นนับว่าประเมินหลิงหยุนผิดไปมาก!

เพราะหลิงหยุนในตอนนี้นอกจากจะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-7 แล้ว วิชาดาราคุ้มกายที่ทำให้ร่างกายของเขาแกร่งดั่งเหล็กนั้นก็อยู่ในขั้นที่สองแล้ว อีกทั้งยังมีพลังสายฟ้าที่ทรงพลังอีกด้วย!

แม้แต่ธิดาพรรคมารที่เหนือกว่าหลิวซุ่ยเฟิงมาก ยังไม่สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้ง่ายๆ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงหลิวซุ่ยเฟิง!

หลิวซุ่ยเฟิงอาจจะมีเพลงดาบที่สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไว แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายก็ไม่ใช่จุดแข็งของเขา!

ดังนั้นในเรื่องความแข็งแกร่งของร่างกาย หลิงหยุนจึงได้เปรียบอย่างที่สุด!

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน.. และนี่เป็นการทักทายสำหรับการได้พบกันครั้งแรกของพวกเรา..”

หลิงหยุนเปลี่ยนจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุก และในขั้นต้นนั้นฝ่ามือใหญ่ของหลิงหยุนก็ออกแรงเพียงแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

หลิงหยุนยังคงบีบมือหลิวซุ่ยเฟิงอยู่ครู่ใหญ่..

หลิวซุ่ยเฟิงเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าฝ่ามือของตนเองกำลังถูกบีบด้วยเหล็กแข็ง และเริ่มรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงต้องการที่จะดึงมือออกจากการจับกุม แต่กลับพบว่าไม่สามารถดึงออกได้..

“ยินดีที่ได้รู้จัก..” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับออกแรงบีบเพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ใบหน้าของหลิงหยุนนิ่งเรียบ แต่มือยังคงบีบมือหลิวซุ่ยเฟิงเขย่าไม่หยุด

 “โอ๊ะ..” หลิวซุ่ยเฟิงเริ่มรู้สึกเจ็บปวด สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที และเหงื่อเย็นเริ่มไหลออกตามศรีษะและแผ่นหลัง!

‘เป็นไปได้อย่างไรกัน?!’

หลิวซุ่ยเฟิงเริ่มกรีดร้องอยู่ในใจ เขาทั้งตกใจ และเริ่มหวาดผวา!

แต่ถึงแม้จะตกใจอย่างมาก เขาก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ และต้องรักษาหน้าของตนเองที่อยู่ต่อหน้าฉินตงเฉี่วย หลิวซุ่ยเฟิงเริ่มเดินลมปราณภายในร่างกาย!

พลังชี่ของหลิวซุ่ยเฟิงซึ่งอยู่ในขั้นเซียงเทียน-5 นั้นนับว่ามีพลังอย่างมาก และตอนนี้ก็เริ่มเดินลมปราณทั้งหมดที่มี เสื้อผ้าของเขาจึงเริ่มพองตัวขึ้นทั้งที่ไม่มีลมพัด!

“นี่ท่านจะทำอะไร?!”

ฉินตงเฉี่วยเห็นหลิวซุ่ยเฟิงไม่ใส่ใจกับความปลอดภัยของหลิงหยุน จึงรีบร้องถามออกมาด้วยความตกใจ เพราะต้องการปกป้องหลิงหยุน!

แต่ฉินตงเฉี่วยหารู้ไม่ว่า.. ความจริงแล้วหลิวซุ่ยเฟิงนั้นกำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตนเองต่างหาก!

แต่ช่างโชคร้ายที่หลิวซุ่ยเฟิงกำลังเดินลมปราณเพื่อสู้กับหลิงหยุนอยู่พอดี จึงไม่สามารถอ้าปากพูดได้!

“ยินดีที่ได้รู้จัก..” หลิงหยุนยังคงยิ้ม และบีบมือหลิวซุ่ยเฟิงเขย่าๆเบาๆไม่หยุด

และครั้งนี้หลิงหยุนเพิ่มแรงบีบเป็นเก้าสิบเปอร์เซ็นต์!

หลิวซุ่ยเฟิงถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น และเหงื่อไหลท่วมตัว!