ตอนที่ 1454

War sovereign Soaring The Heavens

โจวฉีหวาดผวา เสียขวัญ

 

“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร ระ…เรื่องแบบนี้?”

 

รอยยิ้มบนใบหน้าหวงเฉิงนั้นมลายหายไปเนิ่นนานแล้ว

 

ตอนนี้สีหน้าของมันหม่นหมองเลื่อนลอย คล้ายยังไม่เข้าใจเรื่องราวว่าไฉนกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้

 

ด้วยพลังฝีมือของมัน ทุกความเคลื่อนไหวที่บังเกิดขึ้นเมื่อครู่ ย่อมไม่คลาดสายตามันแม้แต่น้อย มันเห็นการลงมือของเฝิงฟ่านชัดเจนดี…

 

การโจมตีของเฝิงฟ่านเจียนบรรลุถึงจุดสังหารต้วนหลิงเทียนอยู่รอมร่อแล้ว

 

ทว่าในห้วงเวลาเป็นตายอันสำคัญ ก่อนที่ศาสตราคู่จะสังหารปลิดปลงดับชีวิต พวกมันกลับวูบเบี่ยงออกจากร่างต้วนหลิงเทียนไปอย่างพิศวง และนั่นยังทำให้เฝิงฟ่านถึงกับเสียหลักเซถลาไปเบื้องหน้า

 

คล้ายกับเฝิงฟ่านคิดเปิดเผยช่องว่างให้ต้วนหลิงเทียนอย่างจงใจ หมายยื่นหัวมอบให้…ยอมรับความตายโดยสดุดี

 

กระทั่งตัวมันพอเห็นจังหวะนั้นยังบังเกิดความคิดบ้าๆประการหนึ่งขึ้นมาในใจ

 

ใช่เฝิงฟ่านเบื่อชีวิตจึงคิดหาที่ตายหรือไม่?

 

ทว่าพอมันได้คิด ก็พบว่าเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้นมันจะเป็นไปได้ด้วยหรือ?

 

เฝิงฟ่านเป็นผู้ใด? ผู้ที่แข็งแกร่งถึงขั้นติดอันดับในรายนามปฐพี อนาคตเป็นอะไรที่สดใสนัก ไฉนจึงอยากตาย?

 

ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะไม่ได้ยืนยันให้แน่ชัด แต่ก็มีข่าวลือออกมาหนาหู ว่าเฝิงฟ่านอันดับ 5 ฝ่ายนอก และติดอันดับในรายนามปฐพีนั้น ได้ถูกอาวุโสระดับสูงของฝ่ายในรับไปเป็นศิษย์ส่วนตัวมาเนิ่นนานแล้ว…

 

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอก หากแต่เรื่องราวของระดับสูงๆในสำนักมันก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร

 

หากจะมองกันในฝ่ายนอกแล้ว ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจและมีสิทธิ์มีเสียงในสำนักได้ ก็เห็นที่จะมีแต่ผู้อาวุโสหลักฝ่ายนอกอย่าง ตงฟาง แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

 

และทันทีที่มันได้เห็นศาสตราเซียนระดับปฐพีที่มีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวในมือเฝิงฟ่าน รวมถึงวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นมากมาย มันก็มั่นใจว่าข่าวลือนั้นเป็นความจริง…เฝิงฟ่านสมควรเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสฝ่ายในระดับสูงเรียบร้อยแล้ว!

 

ด้วยเหตุนี้ไม่ว่ามันจะขบคิดอย่างไร ก็ไม่มีวันที่เฝิงฟ่านจะเบื่อชีวิตคิดหาที่ตายได้เลย

 

เช่นนั้นเรื่องราวแปลกประหลาดดังกล่าวทั้งหมด สมควรเกิดจากผู้ที่ลงมือสังหารเฝิงฟ่านแน่นอน!

 

“ต้วนหลิงเทียน!!”

 

หวงเฉิงหันกลับไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง คราวนี้ลูกตามันทำราวกับจะพ่นไฟออกมาอย่างไรอย่างนั้น

 

พอคิดถึงเรื่องคะแนนอุทิศ 360,000 แต้มของมันที่ได้กลายเป็นของต้วนหลิงเทียนไปแล้ว มันก็รู้สึกเสมือนมีเพลิงมารลุกลามขึ้นมาจากปลายเท้าถึงศีรษะ “เมื่อวานนี้ผู้อาวุโสฝ่ายนอกมากมายคิดทุ่มแทงเดิมพัน แต่ต้วนหลิงเทียนมันเลือกจะให้ข้าแทงคนเดียว…เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าคิดล้างผลาญข้า!!”

 

“แต่ต้วนหลิงเทียน…เจ้าคิดจริงๆหรือว่าคะแนนอุทิศของข้าหวงเฉิงผู้นี้ เจ้าจักรับไปได้ง่ายๆ!”

 

พอนึกถึงเรื่องนี้ ลูกตาหวงเฉิงก็ฉายประกายอำมหิตขึ้นมาทันใด

 

หลังจากที่อื้ออึงกันไปอยู่พักหนึ่ง ไม่นานสายตาของเหล่าอาวุโสฝ่ายนอกก็หันกลับมาจับจ้องมองหวงเฉิงอย่างพร้อมเพรียง ในสายตาของพวกมันยังเผยความเวทนาไม่น้อย

 

“นับว่าอันตรายยิ่ง หวุดหวิดไปแล้วจริงๆ…ดีนักที่ต้วนหลิงเทียนไม่รับแทงจากข้า”

 

อาวุโสฝ่ายนอกคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความหวาดเสียว

 

“นั่นสิ เมื่อวานนี้ข้ากะจะทุ่มแทงข้างเฝิงฟ่านสัก 100,000 คะแนนอุทิศด้วยซ้ำ…ตอนนี้คิดไปแล้วช่างโชคดียิ่ง หาไม่แล้ว 100,000 คะแนนอุทิศของข้า ป่านนี้คงเป็นของขวัญให้ต้วนหลิงเทียนไปเสียฉิบ”

 

อาวุโสฝ่ายนอกอีกคนกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย

 

“ข้าคิดว่าต้วนหลิงเทียนคงประเมินสถานการณ์มาดีแล้ว คิดว่าเฝิงฟ่านมิใช่คู่มือเป็นแน่ ถึงได้กล้ารับคำท้าประลองเป็นตาย อีกทั้งยังตั้งตัวเป็นเจ้ามือรับเดิมพัน…นับว่ามากไหวพริบยิ่ง อายุเพียงเท่านี้กลับประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้แล้ว”

 

อาวุโสฝ่ายนอกอีกคนกล่าวคร่ำครวญออกมา

 

“ไม่ผิด”

 

วาจาของมัน เหล่าอาวุโสฝ่ายนอกทั้งหลายไม่เว้นต่งชงล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้น

 

เมื่อหวงเฉิงเห็นฉากประหลาดตานั่นได้ คนอื่นๆก็ย่อมเห็นด้วยเช่นกัน

 

ในช่วงเวลาสำคัญ การโจมตีของเฝิงฟ่านกลับเบี่ยงออกไปอย่างพิศวง เปิดช่องว่างให้ต้วนหลิงเทียนจังเบ้อเร่อ!

 

อีกทั้งจังหวะนั้นร่างเฝิงฟ่านนยังเซถลาไปเบื้องหน้า เพราะเหวี่ยงฟาดศาสตรา 2 เล่มไปเต็มแรง ทำให้คิดจะป้องกันตัวหรืออะไรก็ยากกระทำได้ คิดใช้วรยุทธ์หรือเคล็ดวิชาป้องกันอันใดก็สายไปแล้ว…

 

เรียกว่าเสมือนมันเปลือยเปล่าต่อหน้าต้วนหลิงเทียน และยื่นคอไปรอรับดาบแต่โดยดี

 

เช่นนั้นเฝิงฟ่านจึงต้องตาย ยังตายอย่างรวบรัดหมดจดต่อหน้าทุกคน

 

“ข้ามิรู้ว่าที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกนั่นมันอะไรกันแน่…ทักษะวิญญาณ วิทยายุทธ์ หรือพลังพิเศษแต่กำเนิดอันใด”

 

เหล่าอาวุโสฝ่ายนอกล้วนเต็มไปด้วยความสงสัย

 

“ระ…เรื่องแบบนี้…มันเป็นไปได้ยังไง..”

 

ในที่สุดโจวฉี ศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสฝ่ายในหลิวฮ่วนก็คืนสติ มันมองร่างไร้ชีวิตของเฝิงฟ่านด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าของมันเริ่มเผยความหวาดผวาเสียขวัญออกมา กล่าวพึมพำกับตัวอย่างเลื่อนลอย

 

ฉากเบื้องหน้านั้นกระทั่งหลับมันยังไม่เคยฝันถึง

 

เฝิงฟ่านตายแล้ว!

 

แน่นอนว่าชีวิตของเฝิงฟ่านจะอยู่หรือตายไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับมัน

 

ทว่าการที่เฝิงฟ่านมาตายแบบนี้ เห็นทีเรื่องราวคงกลายเป็นสลับซับซ้อนและยากลำบากสำหรับมันแล้ว…

 

หากเฝิงฟ่านเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกธรรมดาก็คงไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ทว่าพื้นหลังของเฝิงฟ่านนั้นน่ากลัวเหลือเกิน อีกฝ่ายคือตัวตนทรงพลังที่ติด 1 ใน 3 ของสำนักจันทร์จรัสแสง!

 

ตัวตนเช่นนั้น ต่อให้เป็นหลิวฮ่วนอาจารย์ของมัน ก็ยังต้องก้มหัวด้วยความเคารพเมื่ออยู่ต่อหน้า

 

ทว่าบัดนี้เฝิงฟ่านตายแล้ว!

 

ตายเพราะคำขอของมัน!

 

โจวฉีย่อมจินตนาการได้ออก ว่าถ้าหากอาจารย์ของเฝิงฟ่านออกจากการปิดด่านฝึกตนมาและพบเรื่องราวดังกล่าวจะเกิดอะไรขึ้น

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อาจารย์ของมันได้ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปให้ซูฉีและไม่ได้สนใจมันมากเหมือนกาลก่อน…กระทั่งต่อให้เป็นดั่งในกาลก่อน อาจารย์ของมันก็ไม่มีทางออกหน้าให้มันเพราะเรื่องเฝิงฟ่านแน่!

 

จังหวะนี้โจวฉีรู้สึกเสมือนแผ่นฟ้าถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น

 

“ไม่สิ!”

 

ในขณะที่กำลังจมจ่อมอยู่กับความสิ้นหวัง ในหัวโจวฉีคล้ายฉุกคิดอะไรได้ออก สีหน้าเหมือนคนหมดอาลัยของมันพลันพลิกฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครา “เหตุผลที่เฝิงฟ่านส่งสารท้าประลองเป็นตายไปให้ต้วนหลิงเทียน มีแต่ข้ากับเฝิงฟ่านเท่านั้นที่รู้..คนอื่นๆไม่มีผู้ใดล่วงรู้นี่นา!”

 

“ตอนนี้ในเมื่อเฝิงฟ่านตายไปแล้ว ข้าย่อมเป็นคนเดียวที่รู้สาเหตุ…เช่นนั้นไม่ใช่ว่าข้าจะพูดอะไรก็ได้รึไง?!”

 

พอนึกถึงจุดนี้ได้ ก็คล้ายเมฆหมอกมืดมัวที่ปกคลุมเบื้องหน้าสลายหาย ใจมันคล้ายเห็นแสงตะวันส่องสว่าง นำพาให้อารมณ์ดีขึ้นมาทันใด

 

อย่างไรก็ตามเมื่อสายตาของมันเบนกลับมาตกยังร่างในชุดสีม่วง ที่กำลังกินโอสถรักษาจนอาการค่อยๆทุเลาลงไกลตา สายตาอารมณ์ดีของมันก็ฉายแววดุร้ายออกมาอีกครั้ง “ต้วนหลิงเทียนนั่นที่แท้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่…มันใช้กลวิธีอันใดในการสังหารเฝิงฟ่านกัน…”

 

“หรือว่ามันจะมีวิชามารอะไรที่ว่าจริงๆ?”

 

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้โจวฉีก็ส่ายหัวไปมา “ไม่สมควรเป็นวิชาของฝ่ายมาร…สมควรเป็นทักษะวิญญาณลี้ลับ หรือวิทยายุทธ์พิสดารทำนองนั้น…ไม่แคล้วเป็นการสร้างภาพลวงตา หรือกระทั่งบิดเบือนความรู้สึกของผู้อื่นทำให้โจมตีพลาดเป้า…”

 

ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอก ผู้ดูแล หรือโจวฉี ก็ล้วนคิดไปในทำนองเดียวกัน

 

ทุกคนรู้สึกว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกนั้น สมควรเป็นพวกทักษะวิญญาณลี้ลับอะไรมากกว่า

 

พวกมันไม่ต้องคิดก็บอกได้ ว่าสถานการณ์ก่อนหน้าเฝิงฟ่านนั้นตั้งใจสังหารคนเต็มที่ ยังลงมือด้วยพลังทั้งหมด ไหนเลยยังเป็นความตั้งใจหาที่ตายของตัวเอง?

 

แต่ไม่ว่าตอนนี้ผู้คนจะตะลึงงัน หรือครุ่นคิดอะไรกันไป ความจริงที่เฝิงฟ่านตกตายก็ไม่เปลี่ยน

 

ท้ายสุดแล้วต้วนหลิงเทียนก็คือผู้ชนะ! รอดชีวิตจากการประลองเป็นตายได้สำเร็จ!!

 

แน่นอนว่าถึงแม้จะรอดชีวิตมาได้แต่สีหน้าของต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่ เหงื่อเย็นเม็ดเขื่องยังผุดซึมออกจากหน้าผากไม่หยุด “ให้ตายเถอะ…ขนาดข้าใช้โอสถเซียนที่ครูให้มาเพื่อรักษาตัว แต่กว่าเนื้อที่แหลกเหลวของข้าจะฟื้นฟูก็คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 วัน…เผลอๆยังกินเวลาถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำ กว่าข้าจะใช้แขนซ้ายได้…”

 

แต่ถึงกระนั้นแล้ว พอคิดถึงเรื่องที่ในกระเป๋าเขาตอนนี้มีคะแนนอุทิศตุงอยู่ถึง 3,000,000 แต้ม เขาก็รู้สึกว่าความพยายามครั้งนี้นับว่าคุ้มค่าแล้วจริงๆ

 

‘เหอะๆ…3,000,000 คะแนนอุทิศเลยนะนั่น ตอนนี้ไม่ว่าข้าอยากได้อะไรในสำนักจันทร์จรัสแสง ก็คงแลกได้หมดแล้วล่ะ! ‘

 

แม้เหงื่อเย็นจะยังคงหลั่งออกมาเพราะความเจ็บปวด แต่ในใจต้วนหลิงเทียนก็ยินดีไม่น้อย

 

“อา…จริงสิ ศาสตราเซียนของเฝิงฟ่าน!”

 

ตามกฏของสำนักจันทร์จรัสแสง สิ่งของทุกอย่าง ยกเว้นสิ่งของพิเศษบางประการของผู้ที่ถูกฆ่าในการประลองเป็นตาย จะตกเป็นของผู้ชนะทั้งหมด

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดทนกับความเจ็บปวดและเดินไปยังศพของเฝิงฟ่าน ก่อนที่จะยกดาบใหญ่อันมีอาคมเซียนพันทวีจารึกไว้ขึ้นมา ตาจับจ้องมองไปยังลวดลายการจารึกอาคม และอักขระบนตัวดาบ

 

‘นี่สมควรเป็นอาคมเซียนระดับ 2 ดาว ‘พันทวี’ ที่จารึกเอาไว้สินะ…’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ

 

‘เห็นว่าดาบนี่ต้องใช้คะแนนอุทิศถึง 200,000 แต้มแลกมา…ในเมื่อตอนนี้มันเป็นของข้าก็หมายความว่าข้าได้รับคะแนนอุทิศมาอีก 200,000 แต้มสิ’

 

ต้วนหลิงเทียนลองแกว่งดาบใหญ่รอบหนึ่งอย่างชำนิชำนาญ ก่อนที่จะสะบัดมือเก็บมันไป และหันไปมองค้อนสลาตันที่ตกอยู่ข้างๆ

 

ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าค้อนสลาตันนี้เป็นของโจวฉี

 

แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะตีเนียนทำเป็นไม่รู้

 

“เหอะ! ศาสตราเซียนของข้าโจวฉีผู้นี้ เจ้ากล้าเอาไปงั้นเหรอ!!”

 

ในขณะที่มือของต้วนหลิงเทียนกำลังจะเอื้อมไปหยิบถึงค้อนสลาตัน เสียงเย้ยหยันพลันดังก้องขึ้นมาในอากาศ ร่างหนึ่งวูบมาปรากฏเบื้องหน้าเขา!

 

“โจวฉี…”

 

หน้าต้วนหลิงเทียนจมลงทันใด เขารู้ดีว่าวันนี้ยากจะได้รับค้อนสลาตันนี่แล้ว

 

หลังจากผ่านไปครึ่งปี ในที่สุดโจวฉีก็มายืนอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง ท่าทางของโจวฉียังคงเป็นดั่งกาลก่อนไม่เปลี่ยน หยิ่งยโสไม่เห็นหัวผู้ใดเหมือนเก่า

 

อย่างไรก็ตามในสำนักจันทร์จรัสแสง โจวฉีก็ไม่กล้าถือดี ลงมือตามใจอะไรมากมายนัก

 

ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่รู้ ว่าหากตอนนี้เขาดื้อดึงจะเอาค้อนสลาตันนั่นไป โจวฉีก็สามารถลงมือทำร้ายเขาจนพิการได้ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าฆ่าเขาก็ตาม

 

เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนรู้ดีว่าศาสตราเซียนนั่นเป็นของมัน มันย่อมมีสิทธิ์ช่วงชิงคืน

 

แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบ ว่าเหตุผลอีกข้อที่โจวฉีไม่ลงมือทำร้ายเขาตอนนี้ เพราะมันไม่อยากให้เรื่องแดง…เกิดมันลงมือไป มีหวังเรื่องที่มันคิดยืมมือฆ่าเฝิงฟ่านต้องมีผู้คนสงสัยแน่นอน!

 

มันไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจว่า มันโจวฉีคิดฆ่าต้วนหลิงเทียน หาไม่แล้วผู้คนต้องเดาได้แน่ว่ามันเป็นคนบงการ!

 

หากเรื่องไปถึงขั้นนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่อาจารย์ของเฝิงฟ่านจะไม่มาเอาเรื่องมัน!

 

“ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามดตัวกระจ้อยเมื่อครึ่งปีที่แล้ว จะก้าวมาถึงขั้นนี้ได้”

 

โจวฉีมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูถูก “อย่างไรเสียพวกเจ้าคนเมืองชงซัน ก็ถูกลิขิตให้มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก…ชะตากรรมของรุ่นก่อนเป็นอย่างไร รุ่นหลังอย่างพวกเจ้าก็ต้องเป็นเช่นนั้น”

 

“มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน? เรื่องนั้นดูเหมือนไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะตัดสินได้นะ โจวฉี”

 

ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะกล่าวออกมาดังๆ ไม่ได้ส่งเสียงผ่านปราณแท้มาเสียดสีอย่างโจวฉี

 

และวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากทันที

 

หน้าโจวฉีถึงเปลี่ยนไปไม่น้อย

 

ตอนนี้มันรู้ดีว่าหากมันยังอยู่ที่นี่ต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย มิแค้ลวเดี๋ยวเรื่องได้แดงขึ้นมาเป็นแน่! มันรีบเก็บค้อนสลาตันกลับแล้วจากไปทันที ไม่กล้าอยู่ต่ออีกแม้ลมหายใจเดียว

 

สำหรับโจวฉีแล้ว

 

เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือ พาตัวไปให้ห่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้โดยเร็วที่สุด!

 

การรีบร้อนจากไปของโจวฉี เป็นอะไรที่เหนือคาดอยู่บ้าง ยังถึงกับทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจไม่น้อย ‘ทำไมโจวฉีมันรีบร้อนจากไปทำเหมือนกลัวอะไรแบบนั้นล่ะ…นี่มันกลัวอะไรกันแน่?’