บทที่ 109.1 ต้องขอบคุณเจ้านะที่ช่วยปลดปล่อยข้า! (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

“พี่ห้า…” ฉู่ซินรุ่ยแอบกัดริมฝีปาก ตอนที่เงยหน้ามองเขาตอนนั้น แววตาแฝงด้วยความสำนึกผิดอย่างเห็นได้ชัด นางนิ่งเงียบไปอยู่นานกว่าจะเอ่ยปากถาม “ทางด้านท่านแม่ของข้าทางนั้น มีวิธีที่จะรับตัวนท่านแม่ออกมาได้ไหมเจ้าคะ?”

ฉู่อี้เจี่ยนขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองสังเกตนางด้วยแววตาขุ่นมัว ได้ยินนางพูดดังนั้นก็แค่นหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “พูดเรื่องอะไรไร้สาระ เป็นไปไม่ได้จะออกมาแบบนี้ได้อย่างไรกัน เส้นทางของเจ้ากับเส้นทางของท่านแม่เจ้า ข้าได้วางแผนไว้ให้พวกเจ้าหมดแล้ว ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น เดี๋ยวพอข้าปล่อยให้เจ้าลงจากรถม้า เจ้าก็กลับไปเสีย ไม่ว่าฉู่เป้ยเขาจะคิดอะไรอยู่ แต่ด้วยการกระทำที่เจ้าบุกเข้าไปช่วยเขาเมื่อครู่นั้น อย่างน้อยๆ ภายในระยะเวลาสามถึงห้าปีนี้เขาคงไม่กล้าแตะต้องเจ้าแน่นอน อีกอย่างสภาพร่างกายของเขาป่วยแทบเจียนตายเช่นนั้น เขาอยู่ได้ไม่นานหรอก ถึงเวลานั้น…”

ฉู่อี้เจี่ยนพูดพลางก็ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวเสริมอีกว่า “เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว จากวิธีการของเจ้า หากคิดอยากปกป้องชีวิตที่เหลืออยู่ของท่านแม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”

แผนและวิธีการอันแยบยลของฉู่ซินรุ่ยนับได้ว่าดียิ่งนัก ดูเพียงแค่พฤติกรรมที่นางกระทำไปเมื่อครู่ตอนที่อยู่ในวังนั่นก็พอ เห็นได้ชัดว่านางได้เตรียมการวางแผนเพื่ออนาคตข้างหน้าของตัวเองเอาไว้ตั้งนานแล้ว

ฮ่องเต้ต้องสำนึกในบุญคุณที่นางช่วยเหลือเขา เพราะฉะนั้นเขาต้องให้เกียรติตกรางวัลให้นางอย่างดีเลยด้วยซ้ำ

ถึงแม้ฉู่อี้เจี่ยนจะเดาออกอยู่แล้วว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดจะเปิดโปง…

สายเลือดจวนอ๋องรุ่ยชินของพวกเขา นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็ตกจากฟากฟ้าดำดิ่งสู่พสุธาแล้ว

ฉู่ซินรุ่ยเป็นคนฉลาด ปรับตัวได้ไว ขอเพียงแค่มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีให้นางก็พอ…

เขาคิดว่าเรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาแน่นอน

ทว่า ณ เวลานั้นฉู่ซินรุ่ยกลับมีเรื่องเจ็บปวดที่พูดไม่ออก สีหน้าสับสนกังวลมองผ่านโต๊ะนั้นมาที่เขา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “แล้วพี่ห้าล่ะเจ้าคะ? ท่านพี่จะทำอย่างไร? หรือว่า…ท่านจะไปที่ไหน?”

“ข้ารึ?” ฉู่อี้เจี่ยนถอนหายใจมาเฮือกใหญ่ แล้วหัวเราะเยาะประชดตัวเอง “ช่างมันเถอะ ถ้าออกไปได้มันก็ดี จากออกไปได้ไกลแค่ไหนก็แค่นั้นแหละ”

“พี่ห้า!” ฉู่ซินรุ่ยตกใจอึ้งขึ้นมาในทันที นางรีบเดินอ้อมโต๊ะพุ่งเข้าไปหาเขา กำมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายเขม็ง แล้วพูดอ้อนวอนขอร้อง “ท่านอย่าพูดอะไรน่าสิ้นหวังแบบนี้สิเจ้าคะ ข้า…”

ฉู่ซินรุ่ยพูดคำนั้นขึ้นอย่างลังเล ไม่โพล่งออกมาในทันที คิดชั่งใจอีกครั้งถึงค่อยกัดฟันพูดว่า “ข้าไม่อยากกลับไป พี่ห้าเจ้าคะ ข้าไม่กลัวว่าต้องไประหกระเหินเร่ร่อนหรือตกระกำลำบาก ท่านช่วยคิดหาวิธีอื่นให้ข้าและท่านแม่ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ? ท่านเองก็น่าจะรู้จักนิสัยของฉู่เป้ยดีนี่ สู้เทียบกับการต้องใช้ชีวิตอย่างระแวงต่อหน้าเขา ข้ายอมอยู่กับคนในครอบครัวของตัวเองไปตลอดชีวิตมากกว่า พวกเราไปด้วยกันไม่ได้งั้นหรือเจ้าคะ?”

“เจ้าพูดอะไรโง่เขลาแบบนั้นออกมา? ตอนนั้นยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเราจะออกไปจากเมืองนี้ได้หรือเปล่า แต่ถึงจะออกไปได้ตลอดชีวิตที่เหลือก็เจอหน้าใครไม่ได้อีก ต้องไปใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ แล้วยังต้องระวังการจับตามองจากพวกองครักษ์ลับของฉู่เป้ยกับพวกขุนนางท่านอ๋องแต่ละจวนพวกนั้นอีก เจ้าคิดว่าใครหน้าไหนก็สามารถใช้ชีวิตแบบนั้นได้รึ?”

ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดัง แต่สีหน้าท่าทางแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่เผยความคิดที่จะยอมให้นางเลยแม้แต่นิดเดียว

แน่นอนว่าฉู่ซินรุ่ยเองก็รู้ว่าการใช้ชีวิตแบบนั้นมันอันตรายยิ่งนัก แต่ว่า ณ เวลานี้ความรู้สึกนึกคิดของนางล้วนสับสนปนเปไปหมด

นางเป็นคนเจ้าแผนการเจ้าเล่ห์เพทุบาย ฉู่อี้เจี่ยนรู้จักนิสัยนั้นของนางเป็นอย่างดี

ถึงแม้ว่านางจะไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ แต่มันก็ไม่น่าจะทำให้นางสับสนจิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขนาดนี้

หรือว่านางมีเรื่องอะไรปิดบังเขาอยู่?

ในที่สุดฉู่อี้เจี่ยนจึงจำต้องหันมาสนใจเรื่องนี้อย่างช่วยไม่ได้ เขาจับตามองพฤติกรรมของนางด้วยสายตาเป็นพิเศษ แต่ไม่ได้เอ่ยปากพูดซักถามอะไร

ฉู่ซินรุ่ยยิ่งเห็นเขามองมาแบบนั้นก็ยิ่งกระวนกระวาย เลยลองพยายามพูดไกล่เกลี่ยอีกครั้ง “พี่ห้า อย่างไรข้าก็อยากไปกับพี่นะเจ้าคะ!”

ยอมที่จะถูกคนตามไล่ล่าไปกับเขา ก็ไม่มีทางไปขอที่อยู่อาศัยหลบร้อนหลบหนาวในเมืองหลวงแห่งนี้?

เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับฉู่ซินรุ่ยงั้นหรือ…

นี่มันไม่ได้เรียกว่าใจกล้าบ้าบิ่น แต่มันเรียกว่าผิดปกติ

“ทำไมล่ะ?” จู่ๆ ฉู่อี้เจี่ยนก็พูดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาในทันที

“ข้า…” ฉู่ซินรุ่ยกำลังจะเอ่ยพูด แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นสบตาเข้ากับเขาก็หวาดกลัวขึ้นมา จึงรีบหยุดพูดลงไปในทันที

ฉู่อี้เจี่ยนก็ไม่ได้บีบบังคับนาง เขาเพียงแต่มองหน้านางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ฉู่ซินรุ่ยเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มันยากที่จัดการมากนัก เพราะฉะนั้นอย่างไรนางก็ต้องทำมันให้สำเร็จให้ได้

นางออกแรงเม้มปากแน่น จากนั้นก็กัดฟันเงยหน้าขึ้นสบสายตาฉู่อี้เจี่ยนแล้วพูดว่า “ข้าสั่งให้คนไปกระจายคำสั่งเท็จของฮ่องเต้ บอกให้…บอกให้พวกองครักษ์ลับสังหารล้างบางจวนอ๋องให้สิ้นซากถึงโคตรเหง้าตระกูล!”

ถึงแม้นางจะฮึดกล้าพูดออกมา แต่เมื่อพูดไปถึงตอนท้าย น้ำเสียงของนางก็อ่อนแรงลงตามสัญชาตญาณแห่งความหวาดกลัวด้วยความรู้สึกผิด

ฉู่อี้เจี่ยนได้ยินดังนั้น ดวงตาก็พลันเบิกกว้างในทันที

“เจ้า…” แววตาของเขาเผยลางอำมหิตออกมาอย่างชัดเจน แค่อ้าปากก็ก่นด่าได้ทันที แต่เพราะอึ้งกับเรื่องที่เพิ่งได้ยินไป ทำให้เขาเจ็บหน้าอกขึ้นมาในฉับพลัน กำลังจะเอ่ยปากพูดร่างกายก็พลันทรุดลงไป ยกมือกดหน้าอกเอาไว้แน่น

“พี่ห้า ท่านเป็นอะไร…” ฉู่ซินรุ่ยตกใจจึงรีบเข้าไปประคองตัวเขาไว้

ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าฉู่อี้เจี่ยนโดนนางแตะต้องนิดเดียว เขาก็กระอักเลือดออกมาจนสาดกระเซ็นใส่ตัวนางทั่วตัว

ภายในรถตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดในทันใด

มือของฉู่ซินรุ่ยค้างอยู่กลางอากาศ อึ้งจนร่างกายแน่นิ่งไปเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอยู่นานสองนาน ก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา

“ทำไมถึงเป็นเยี่ยงนี้เล่า?” จนถึงสุดท้ายในที่สุดนางก็ตั้งสติระงับอารมณ์ได้ จากนั้นก็ผละตัวออกไปด้วยความหวาดกลัว ยื่นน้ำให้ฉู่อี้เจี่ยนล้างปากกลั้วคอด้วยมืออันสั่นเทา “พี่ห้า นี่พี่เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ? ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นเยี่ยงนี้เล่า? หรือว่า…หรือว่าได้รับบาดเจ็บจากการบุกรุกเข้าวังเมื่อครั้งที่ผ่านมา?”

แผ่นหลังของฉู่อี้เจี่ยนคดงออย่างน่ากลัว งอจนร่างกายแทบจะขดเป็นก้อนกลมๆ อยู่แล้ว ทั้งยังตัวสั่นเทาไม่หยุดอีกด้วย

เขาไม่ได้สนใจฉู่ซินรุ่ย เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีกดทับหน้าอกของตน พยายามกดห้ามเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดกับความเจ็บปวดที่หัวใจแทบจะฉีกสลายเอาไว้

เวลาผ่านไปได้ประมาณครึ่งถ้วยชา ใบหน้าขมุกขมัวดำมือของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา

ฉู่ซินรุ่ยจึงรินน้ำอุ่นนำไปให้เขาอีกครั้ง

ฉู่อี้เจี่ยนรับไว้บ้วนปากเสร็จ ก็เงยหน้ามองนางอย่างช้าๆ

แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน และยังแฝงไปด้วยความเกลียดชังระคนโกรธแค้น แววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายเอ่อล้นจ้องมองไปยังฉู่ซินรุ่ย ทำให้นางรู้สึกกดดันไม่น้อย

“ข้าเพียงแค่ต้องการกำจัดแม่นางฉู่สวินหยางคนนั้น!” ฉู่ซินรุ่ยกล่าวพลางตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโห กัดฟันแล้วเอ่ยขึ้น “นางทั้งเจ้าเล่ห์เพทุบาย หากไม่ใช่เป็นเพราะนาง ทำไมเหยียนหลิงจวินจะปล่อยให้ท่านตายโดยไม่แม้แต่จะคิดช่วยเหลือได้เยี่ยงไร? เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมได้หรอก!”

ที่นางบอกว่าโกรธแค้น ก็เพราะคิดถึงเป็นห่วงอนาคตของฉู่อี้เจี่ยน เสาหลักของจวนอ๋องรุ่ยชินกำลังจะล่มสลาย นางลืมความรู้สึกผิดและความหวาดกลัวทุกอย่างไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงแต่ความโกรธแค้นอย่างเดียวเท่านั้น

ฉู่อี้เจี่ยนอ้าปาก แต่เมื่อเห็นสภาพของนางเป็นเยี่ยงนั้น เขาก็ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดีเหมือนกัน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความรักระหว่างพี่น้องที่ฉู่ซินรุ่ยมีให้เขานั้นจริงใจเหลือเกิน ถึงแม้ในนั้นจะยังแฝงไปด้วยความสุดวิสัยและจิตใจที่เห็นแก่ผลประโยชน์มากก็เถอะ

เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาถึงได้ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีไง

ฉู่ซินรุ่ยเห็นเขาไม่พูดจึงกระตุกแขนเสื้อเขา แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ห้า ข้าขอโทษ วันนี้ข้าทำให้แผนการของท่านพี่พังอีกแล้ว”

“อย่างไรแล้วเขาก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้อีกนานนักหรอก อย่างมากก็แค่หนึ่งถึงสองวัน!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว

ถึงแม้เขาจะอยากสังหารฉู่เป้ยด้วยน้ำมือตนเอง แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว…

ไม่ต้องพูดถึงมันก็ได้!

“งั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ยถาม “จะออกจากเมืองหลวงไปทั้งแบบนี้งั้นหรือ? เมื่อครู่เพิ่งเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในวังแบบนั้น ถึงแม้ฮ่องเต้จะยังไม่ได้รับสั่งออกมา แต่ผู้คุมประตูเมืองทุกหนแห่งก็เตรียมพร้อมตั้งรับอย่างเต็มกำลังแล้ว ถ้าพวกเราจะบุกออกไปทั้งแบบนี้ ดูท่าน่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเจ้าค่ะ”

ฉู่อี้เจี่ยนเองก็รู้สึกหงุดหงิดใจเหมือนกัน…

เดิมทีเขาเตรียมใจมาแล้วว่าต้องตาย ไม่เคยได้คิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน แต่ตอนนี้มีฉู่ซินรุ่ยเข้ามาพัวพัน ก็ยิ่งบีบบังคับให้เขาต้องคิดถึงปัจจัยที่เพิ่มเข้ามาใหม่อีกรอบ

เขาพยายามระงับอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองลงไป หลับตาคิดวิเคราะห์อยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ปรายตาเอ่ยถามคนด้านนอกรถม้า “เดินทางมาถึงที่ไหนแล้ว?”

“ทูลท่านอ๋อง ออกจากปากตรอกนี้ไปก็จะเป็นถนนใหญ่ตะวันออกแล้วขอรับ” ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกตอบ

“ถึงปากทางแล้วหยุดรถซะ!” ฉู่อี้เจี่ยนพูด

“ขอรับ!”