“ท่านพ่อ!” เสวียนจีร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง ตามมาว่า “นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด! จิ้งจอกม่วงเป็นคนดี! แต่ไรมานางไม่เคยทำร้ายคน ตอนไปเขาปู้โจวซานยังช่วยพวกเราไว้มากมาย! นางเป็นสหายข้า ข้าจะทนดูนางถูกขังในกรงนี่ได้อย่างไร?!”
ฉู่เหล่ยไม่ตอบ เดินก้าวเข้ามามองจิ้งจอกม่วงในกรง เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เจ้าช่วยนางออกมา แล้วอย่างไรต่อ”
เสวียนจีอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เอ่อ ช่วยออกมา…แน่นอนพานางไปจากเกาะฝูอวี้ ไม่ให้รองเจ้าตำหนักจับนางได้อีก”
ฉู่เหล่ยขมวดคิ้วแน่น กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ลองไม่กล่าวถึงว่าทำไมรองเจ้าตำหนักต้องจับนางมา ในใจเจ้า งานชุมนุมปักบุปผาแท้จริงแล้วคืออะไร บุปผาที่เตรียมไว้ถูกเจ้าแอบปล่อยหนีไป ถึงกับทำให้ศิษย์เกาะฝูอวี้สลบกันหมด! เจ้ามายืนตรงนี้ในสถานะอะไร และทำความผิดมหันต์นี้ด้วยสถานะอะไร?!”
“ข้า…” เสวียนจีถูกถามจนอ้ำอึ้ง ไม่รู้ควรตอบเช่นไร
“ตอนนี้เจ้าเป็นคนสำนักเส้าหยาง ไม่ใช่ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว! เหตุที่เจ้าก่อในวันนี้ วันหน้าก็ย่อมเป็นผลที่คนทั้งเส้าหยางต้องมารับแทนเจ้า ยามเจ้าคิดเอาแต่ใจ ควรต้องไตร่ตรองก่อนว่าตนเองคือใคร เรื่องที่ทำไปจะนำความเดือดร้อนมาสู่ผู้อื่นหรือไม่”
เสวียนจีเหงื่อเย็นหลั่งท่วมใบหน้า พึมพำกล่าวว่า “ข้า…ไม่เคยคิด แต่ข้าทำคนเดียว เกี่ยวอะไรกับสำนักเส้าหยาง…”
“เจ้ายังว่าไม่เกี่ยว?”
บ่านางลู่ลง เป็นนานจึงได้กล่าวเบาๆ ว่า “แต่ ข้าไม่อาจทนเห็นสหายถูกขังในกรงนี้! จิ้งจอกม่วงเป็นสหายข้า หรือท่านพ่อทนเห็นสหายตนถูกขังในกรงโดยไม่ทำอะไรได้หรือ”
ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “คำว่าสหายใช้มั่วซั่วได้อย่างไร เจ้าลงเขาสองสามวัน? จริงใจกับคนเช่นนี้?”
เสวียนจีกล่าวว่า “สหายก็คือสหาย อาศัยเพียงวาสนา ชั่วยามเดียวก็เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายได้ ไร้วาสนา ชั่วชีวิตก็ไม่อาจเป็นสหาย!”
“หากนางไม่ได้ทำผิด คนตำหนักหลีเจ๋อจะจับนางมาอย่างไร้เหตุผลหรือ ใต้หล้ามีเรื่องมากมายที่ไม่อาจไร้คำว่าหลักการเหตุผล เจ้าไม่อาจเห็นแก่เรื่องส่วนตัวจนละเลยหลักการนี้”
“นางไม่ได้ทำผิด! รองเจ้าตำหนักผู้นั้นไม่ใช่คนดี!”
“เหลวไหล!” ฉู่เหล่ยโมโหทันที ยกมือจะตบหน้านาง
จิ้งจอกม่วงด้านหลังพลันร้องดังขึ้นว่า “ตาแก่! ทำไมดื้อรั้นจริง! เอาเถอะ เสวียนจี ข้าไม่อยากให้เจ้าลำบากใจ เจ้าไม่ต้องช่วยข้าแล้ว ฮึ ศิษย์สำนักบำเพ็ญเซียนเล็กๆ คิดทำร้ายข้า ฝันไปเถอะ! นี่ ตาแก่ ข้าเดิมไม่คิดทำร้ายคน แต่พวกเจ้าบีบบังคับข้าเอง ถึงตอนนั้นเด็ดบุปผงปักบุปผาอะไร อย่าหาว่าข้าลงมือไร้น้ำใจ!”
ฉู่เหล่ยมองนางแวบหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “หากเจ้าทำเช่นนี้ ก็ไม่สมควรเป็นสหายกับผู้ใดจริงๆ!”
จิ้งจอกม่วงโมโหทันที คุกรุ่นกล่าวว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลให้มันน้อยๆ หน่อย! ข้าไม่อาจลงมือ หรือว่าข้าต้องนอนแผ่ให้ฆ่า?! มารดาเจ้าไม่ได้โง่เง่าเช่นนั้นนี่!”
เสวียนจีกล่าวแทรกขึ้นว่า “ท่านพ่อ! อย่างไรข้าก็ต้องช่วยนางออกไป ข้าเล่าความเป็นมาเป็นไปให้ท่านฟังแล้ว หากท่านยังไม่เห็นด้วย ข้า…ไม่สนใจว่าเป็นอย่างไร ข้าต้องช่วยนางออกไป!”
ยามนั้นนางเล่าเรื่องที่ทุกคนรู้จักกับจิ้งจอกม่วงได้อย่างไร ไปเขาปู้โจวซานช่วยคนได้อย่างไร จิ้งจอกม่วงถูกรองเจ้าตำหนักจับตัวมาได้อย่างไรรอบหนึ่ง นางพูดสู้พวกหลิงหลงไม่ได้ แต่เรื่องราวเล่าได้ครบถ้วน สุดท้ายกล่าวว่า “ท่านพ่อ ตำหนักหลีเจ๋อแปลกมาก! ควรระวังพวกเขา?”
ฉู่เหล่ยนิ่งเงียบไม่กล่าวอันใด มกรข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้านี่นะ ชอบทำเรื่องให้ยุ่งยาก ตามความเห็นข้า ก็ปล่อยออกไปเลย ผู้ใดกล้าพูดจามากความ มาคนหนึ่งฆ่าคนหนึ่ง! สะใจดี!”
“เจ้าหุบปาก!” เสวียนจีค้อนใส่เขาทีหนึ่ง สบถเสียงด่าข้อเสนอเหลวไหลของเขา
ฉู่เหล่ยกล่าวว่า “ไม่ว่าเรื่องนี้ตำหนักหลีเจ๋อจะจัดการอย่างไร วันนี้เจ้าไม่อาจปล่อยนางออกไป”
“ท่านพ่อ!” เสวียนจีร้อนใจ ฉู่เหล่ยโบกมือให้นางหุบปาก กล่าวอีกว่า “หากเจ้าเห็นนางเป็นสหายจริง ก็ต้องอย่าทำเรื่องลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ชนะการประลองให้สง่าผ่าเผย ถึงตอนนั้นเจ้าอยากช่วยนางก็ดี ปล่อยนางก็ดี ล้วนเป็นเรื่องของเจ้า คนอื่นไม่อาจข้องเกี่ยว แต่หากเจ้าปล่อยนางไปในวันนี้ ข้าย่อมไม่เห็นด้วยเด็ดขาด!”
เสวียนจีกัดฟันกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ได้! เช่นนั้นข้าจะต้องชนะการประลองงานชุมนุมปักบุปผาให้ท่านพ่อคอยดู! แต่ทว่า ข้าก็ไม่อาจให้มกรนั่งดูเฉยๆ ได้แล้ว”
ฉู่เหล่ยสองมือไพล่หลัง ค่อยๆ ลงจากเวทีไป หันมากล่าวว่า “แล้วแต่เจ้าพอใจ ขอเพียงไม่ทำร้ายชีวิตผู้อื่น”
เสวียนจีอึ้งมองเขาจากไปไกล เงาร่างพลันหายไปท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด เป็นนานกว่าจะรู้สึกถึงเหงื่อชุ่มในฝ่ามือ นางเช็ดเข้ากับเสื้อผ้า หันกลับไปมองจิ้งจอกม่วงอย่างรู้สึกผิด กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ขอโทษ จิ้งจอกม่วง ข้าวันนี้ไม่อาจช่วยเจ้าออกไปได้แล้ว”
จิ้งจอกม่วงถอนหายใจ เอื้อมมือลอดราวกรงออกมาลูบศีรษะนางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ตั้งแต่ข้าถูกเจ้าวิปริตนั่นจับมา ก็เป็นห่วงว่าพวกเจ้าจะประสบเหตุร้าย ยามนี้ได้เห็นพวกเจ้าปลอดภัยดีก็วางใจแล้ว เจ้าอย่าได้มีเรื่องกับท่านพ่อเจ้าเพราะปีศาจอย่างข้าเลย เขา…เขาพูดได้มีเหตุผลนะ”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้ารอข้านะ ข้าต้องชนะการประลองทั้งหมด จากนั้นช่วยเจ้าออกไป”
จิ้งจอกม่วงขอบตาแดง ก้มหน้าลงเป็นนานก่อนจะกล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้า…เจ้าอย่าเสียแรงเลย ข้าก็แค่ปีศาจ เมื่อก่อนยังคิดทำร้ายพวกเจ้า”
เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อย่ากล่าวเรื่องที่ไม่มีความจริงพวกนี้ สรุปเจ้ารออยู่ที่นี่ให้สบายใจไปก่อน อย่างมากก็อีกสามสี่วัน ข้าจะพาเจ้าออกไป!”
จิ้งจอกม่วงปาดน้ำตา พลันหลุดหัวเราะออกมา เสวียนจีงุนงงกล่าวว่า “เจ้าหัวเราะอะไร…” จิ้งจอกม่วงคิกคักกล่าวว่า “เปล่า อยู่ๆ ข้าแค่นึกถึง…พวกเราเป็นเช่นนี้เหมือนวีรบุรุษช่วยสาวงามหรือไม่ ไม่ใช่สิ เจ้าเป็นสาวงาม ที่นี่ไม่มีงานของวีรบุรุษ เป็นสาวงามช่วยสาวงาม”
เสวียนจีอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะตาม ดึงมือนางมาพูดจาครู่หนึ่ง ก่อนจะพามกรออกจากเวทีประลองไป
“นี่ คนพวกนี้ทำอย่างไร” มกรชี้ไปที่บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อที่พื้น ถามขึ้น
เสวียนจีส่ายหน้า “จะไปสนใจพวกเขาทำไม ให้นอนนี่แหละ! อย่างไรพรุ่งนี้เช้าก็ตื่นเอง” นางเม้มปากแน่น ในสมองคิดแต่ว่าจะชนะงานชุมนุมปักบุปผาอย่างไร ครู่หนึ่งพลันกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “มกร หากมีเงื่อนไขว่าห้ามฆ่าคน เจ้าลงมือเต็มที่ได้ไหม”
มกรตาลุกวาว ร้องดังขึ้นว่า “ในที่สุดก็มีงานให้ข้าออกแรงแล้ว?” พลันคิดถึงอะไรขึ้นมา รีบส่ายหน้า “ข้าไม่เอาหรอก! งานเช่นนี้ ที่มาก็มีแต่เด็กตูดแดง แค่นิ้วมือเดียวก็ทำพวกเขาตายแล้ว ไม่น่าสนุก เจ้าลงมือเองแล้วกัน!”
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด เหินขึ้นบนเวทีสูง หันมากล่าวว่า “ได้! อย่างนั้นเจ้าก็คอยดูอยู่ข้างๆ ดูแล้วคันมือก็ค่อยลงมือด้วยกัน! หากข้าไม่ชนะการประลองนี้ ก็อย่าเรียกข้าว่าฉู่เสวียนจี!”
มกรได้ยินนางกล่าววาจาเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ อดหันไปมองนางไม่ได้ แววตาลึกๆ ของนางฉายประกายเย็นเยียบราวกับเกล็ดน้ำแข็ง ทำเอาขนลุกชัน ในใจเขาสั่นไหว เทพสงครามวันวานรบจนสร้างชื่อ สังหารมหาอสูรมารไปเกือบพัน แววตาตอนนั้นจะเป็นเช่นนี้หรือไม่
เรื่องนี้นี่จะเป็นการทุ่มกำลังไปกับเรื่องเล็กกระจิริดหรือไม่นะ เขาอยากถามเช่นนี้ แต่สายตานั้นทำเอาเขาพูดไม่ออกสักคำ
การประลองวันที่สองเหลือยี่สิบคน ยังคงจับสลาก เรียงตามลำดับขึ้นเวทีประลอง คู่ต่อสู้เสวียนจีวันนี้ก็คือศิษย์ชายเกาะฝูอวี้ ผู้ตัดสินการประลองก็คือรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อ พอเห็นคนผู้นี้ ความแค้นใหม่เก่าก็ปะทุขึ้นมา แทบอยากจะกระชากคอเขามาบี้ให้ตายคามือ
พวกหลิงหลงบนหอไม้ตะโกนดังกึกก้องให้กำลังใจนาง บรรยากาศให้กำลังใจนางเช่นนี้แทบกลบสำนักอื่นไปหมด สุดท้ายแต่ละคนก็มองมาทางสำนักเส้าหยาง บางคนไม่รู้ทำอย่างไร บางคนแอบบ่นไม่ยุติธรรม
ศิษย์เกาะฝูอวี้ตรงหน้าผู้นั้นหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เสียงปรบมือดังไม่เลวนี่ น่าตกใจจริง”
เสวียนจีรู้สึกเกรงใจ รีบกล่าวว่า “ขอโทษ…พวกเขาเสียงดังไปหน่อย…” คนผู้นั้นหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ก็ไม่มีอะไรนี่ ตะโกนดังก้องฟ้าก็ไม่ได้หมายถึงกำลังแข็งแกร่งนี่”
วาจานี้แฝงนัยยะเสียดสี เสวียนจีหุบยิ้มมองเขาอย่างสงสัย คนผู้นี้กล่าวอีกว่า “การประลองวันนี้ไม่ได้เหมือนวันเมื่อวาน พวกเจ้าศิษย์สำนักเดียวกันยอมให้กัน อย่าหวังว่าข้าจะยอมให้คุณหนูใหญ่เช่นเจ้านะ คิดดีๆ แล้วค่อยเริ่มประลองดีกว่านะ”
ในยามนั้นเสวียนจีหน้าแดง ความหมายเขาเห็นชัดว่านางชนะการประลองแรกก็เพราะตู้หมิ่นหังยอมให้นาง บอกว่านางไร้สามารถ อาศัยคนอื่นยอมอ่อนข้อให้ นางไม่ถนัดโต้เถียง จึงไม่กล่าวอันใด เพียงชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาลูบคมกระบี่
พัดในมือรองเจ้าตำหนักพัดไปมา ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้อยากพูดอะไร อยากทะเลาะอะไรก็รีบหน่อย เดี๋ยวการประลองเริ่ม ไม่อนุญาตให้พูดอีก!” เขายิ้มร่ามองไปคนนั้นทีคนนี้ที สุดท้ายถามว่า “พูดกันจบแล้วใช่ไหม เช่นนั้นเริ่มได้!” กล่าวจบก็โบกพัดในมือขึ้น
ศิษย์เกาะฝูอวี้ผู้นั้นยังชักกระบี่ชักช้า เห็นชัดว่าไม่เห็นเสวียนจีอยู่ในสายตา สุดท้ายจึงได้ตั้งกระบวนท่ากล่าวว่า “มาเลย หรือต้องให้ศิษย์พี่ใหญ่มาช่วยบอกกระบวนท่าเจ้า” กล่าวไม่ทันจบ เห็นเพียงเงาคนวูบมาตรงหน้า เร็วจนไม่ทันตั้งตัว ตามด้วยเสียง เคร้ง ดังขึ้น กระบี่ในมือเขาหักสองท่อนร่วงลงพื้นกระเด้งไปไกลมาก
ลำคอวาบเย็น กระบี่เสวียนจีพาดมาที่คอ เขามองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด ราวกับอยู่ๆ นางก็เปลี่ยนจากกระต่ายน้อยอ่อนแอเป็นปีศาจหน้าเขียวเขี้ยวยาว
“เจ้าแพ้แล้ว” เสวียนจีกล่าวเบาๆ
ในที่สุดนางก็ชนะการประลองนี้ได้อย่างไร้ข้อกังขา เสียงโห่ร้องบนหอไม้รอบๆ ดังกระหึ่ม ราวกับคลื่นทะเลโหมซัดสาด