ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 34 งานประลอง (6)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

หากกล่าวว่าการที่เสวียนจีชนะสองรอบแรกเป็นเพราะดวง เช่นนั้นหลังนางชนะการประลองรอบสองอย่างงดงามนี้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดว่านางชนะเพราะดวงอีก เคยมีศิษย์สำนักอื่นมายืมกระบี่เปิงอวี้ไปชม คิดว่ากระบี่นางมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่ ไม่เช่นนั้นทำไมจึงฟันอาวุธคนอื่นหักได้อย่างง่ายดาย นั่นไม่ใช่ว่าต้องใช้คนที่มีพลังหนักแน่นจึงจะทำได้หรอกหรือ นางดูแล้วก็นุ่มนิ่มปวกเปียก ไม่ใช่พวกที่มีพลังมหาศาลอะไรพวกนั้น 

 

 

แต่ปรากฏยังคงทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง กระบี่เปิงอวี้แม้ว่าคมมาก แต่พวกเขาลองใช้ฟันใส่อาวุธอื่น ก็ไม่อาจเหมือนนางที่ฟันหักได้อย่างง่ายดาย พวกเขาไม่เข้าใจ กระบี่เปิงอวี้มีเพียงอยู่ในมือเสวียนจีจึงจะเปล่งพลังแท้จริงออกมา คนอื่นใช้ก็เหมือนกระบี่มีคมทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้พิเศษอะไร 

 

 

ตอนนี้ศิษย์ที่เข้าร่วมแข่งขันถูกคัดออกไปจนเหลือแค่ห้าคน สำนักเส้าหยางเหลือแค่เสวียนจีคนเดียว ตำหนักหลีเจ๋อเหลือเพียงศิษย์ที่เรียกสัตว์ภูตออกมาได้คนนั้น อีกสองคนจากเกาะฝูอวี้ คนสุดท้ายเป็นศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิง จากคำพูดหลิงหลงกล่าวว่าศิษย์เกาะฝูอวี้ดูธรรมดาพวกนั้น ถึงกับมีหน้ามีตาใหญ่ในงานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้ได้ บางทีอาจเพราะได้เปรียบพื้นที่ บางทีอาจเพราะพวกเขาเก็บซ่อนไว้มิดชิด แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ชนะคนอื่นได้อย่างไร้ข้อกังขา 

 

 

เช้าตรู่วันนี้ ลานประลองก็ออแน่นไปด้วยคนมาชมการประลอง หลังการประลองวันนี้จบลง อีกหนึ่งวันก็จะเป็นการประลองรอบสุดท้าย ดังนั้นคนมาดูก็ยิ่งมากขึ้น บางทีอาจเพราะงานชุมนุมปักบุปผาดำเนินมาถึงตอนนี้ได้อย่างราบรื่น การดูแลในเกาะฝูอวี้จึงเริ่มหย่อนยานลงอยู่สักหน่อย แขกที่ขึ้นเกาะมาก็ไม่ค่อยได้ตรวจเข้มเท่าไร แม้เสวียนจีจะชนะงานชุมนุมปักบุปผามาอย่างไร้ข้อกังขา แต่พอเช้ามาได้เห็นคนมากมายมาออกันเนืองแน่นไปหมดก็อดตกใจไม่ได้ 

 

 

“ท่านอาตงฟางปล่อยคนขึ้นเกาะฝูอวี้มามากมายเช่นนี้เลย!” นางพิงราวหอไม้มองลงไป เนืองแน่นไปด้วยศีรษะคน “ยืนอยู่ด้านล่างจริงๆ แล้วมองไม่เห็นอะไรเลยนะ” 

 

 

“เชอะ โลกนี้อย่างไรก็มีแต่คนชอบมุงดูเรื่องสนุก วันหน้าออกท่องยุทธภพ อวดอ้างว่าตนเองเคยไปชมงานชุมนุมปักบุปผา ก็เป็นเรื่องไว้คุยโวได้มากเลยนะ” หลิงหลงด้านหลังรวบผมนางเกล้าให้อย่างแน่นหนา และยังจับที่เหลือมัดเปีย จะได้ไม่ถูกลมพัดจนยุ่งปิดหน้าปิดตา 

 

 

กำลังพูดอยู่นั้น อวี่ซือเฟิ่งกับจงหมิ่นเหยียนทั้งสองคนก็เดินเข้ามา หลิงหลงรีบกวักมือเรียก “ทางนี้ๆ! จองที่ไว้ให้พวกเจ้าแล้ว! ที่ดีที่สุดเลยนะ!” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนรู้นางชอบวุ่นวายกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ที่สุด จึงได้ยิ้มเดินเข้ามาโอบไหล่นาง มองนางกำลังทำผมให้เสวียนจี กล่าวอ่อนโยนว่า “ข้าไม่รู้นะเนี่ยว่าเจ้ามีฝีมือเช่นนี้ มวยผมนี้เกล้าได้ไม่เลว” กล่าวจบก็มองไปยังมวยผมนาง ยื่นมือไปลูบ 

 

 

หลิงหลงค้อนใส่เขา ส่งเสียงชิชะแสร้งไม่พอใจว่า “อย่ายุ่ง! หากเจ้าอยากได้ กลับไปข้าเกล้าให้เจ้าสักมวย รับรองว่างามงดกว่าเสวียนจีอีก!” 

 

 

“ปล่อยข้าไปเถอะ…” เขายิ้มเฝื่อน มองเสวียนจีหันหน้ากลับมา ตากลมโตจ้องมองผ่านหน้าตนเองไป ทำเอารู้สึกชาวาบ เขาก้มหน้าหลบ เขยิบเข้าไปกระซิบที่หูหลิงหลง กล่าวเบาๆ ว่า “ตื่นเช้าเช่นนี้ ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม ข้าเอาขนมมาด้วย เดี๋ยวกินด้วยกัน”  

 

 

หลิงหลงฮึเสียงใส่เขาแสร้งไม่พอใจ ก่อนจะหัวเราะขึ้นเบาๆ เสวียนจีรู้ว่าพวกเขาสองคนมีเรื่องคุยกันขึ้นมาย่อมทำเหมือนรอบข้างไร้ผู้คน จึงรีบถอยฉากออกมาไม่ขวางทางเขาสองคนอีก หันกลับไปเห็นอวี่ซือเฟิ่งนั่งอยู่กับหลิ่วอี้ฮวนและถิงหนู ทั้งสามสีหน้าหนักใจ ไม่รู้พูดอะไรกัน นางเข้าไปถามอย่างแปลกใจว่า “พี่หลิ่วไม่ค่อยได้ตื่นเช้าเช่นนี้นี่ มาดูข้าประลองหรือ” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น การประลองของเสวียนจีน้อย ข้าจะมาสายได้อย่างไร วันนี้ก็ต้องชนะให้สะใจนะ!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกวักมือเรียกนาง “เสวียนจี มานี่” เสวียนจีเดินมานั่งข้างเขา ได้ยินเขากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หากวันนี้จับสลากได้ปะทะกับคนตำหนักหลีเจ๋อ เจ้าอย่าได้เกรงใจ ให้มกรออกไปรับมือเขา” เสวียนจีตะลึงครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “ทำไมอยู่ๆ กล่าวเช่นนี้…” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คนคนนั้นไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา ตำหนักหลีเจ๋อตั้งใจให้คนไม่ตรงมาตรฐานเข้าร่วมการแข่งเพื่อก่อกวน แม้ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดทำอะไร แต่เจ้าต้องระวัง” 

 

 

เสวียนจีมองถิงหนูกับหลิ่วอี้ฮวน ทั้งสองพยักหน้าตามเงียบๆ ถิงหนูกล่าวว่า “ดวงตาสวรรค์พี่หลิ่วยังไม่กลับคืนมา แต่เขามองออกว่าไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา เกรงแต่ว่าเป็นระดับอาวุโส สัตว์ภูตครั้งก่อนก็แค่เอามาใช้อวดกับเรื่องเล็กๆ งานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้มีแต่เจ้าเข้าร่วม ดังนั้นพวกเราเดาว่าบางทีเขาเป็นคนที่ตำหนักหลีเจ๋อส่งมาหาเรื่องเจ้า ทว่าเราไม่มีหลักฐานชัดเจน ดังนั้นเจ้าต้องระวัง” 

 

 

เสวียนจีเงียบงัน อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “เสวียนจี ขอโทษ นี่คงเป็นเพราะข้าก่อเรื่อง…” นางรีบส่ายหน้ากุมมือเขาไว้แน่น ร้อนใจกล่าวว่า “ไยเจ้ากล่าวเช่นนี้! ข้า ข้าชอบแก้ปัญหาที่เจ้านำมามาก!” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวน “อ้อ อ้อ” ร้องขึ้น หยอกล้อว่า “หวานจริง สนิทสนมจริง! ก่อนการประลองเริ่มยังมีเวลานะ หรือว่าพวกเราไปหลบ ปล่อยพวกเจ้าสองคนคุยกันส่วนตัวหวานเชื่อมดีน้า” 

 

 

เสวียนจีหน้าแดงไปหมด กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “พี่หลิ่วก็ทำตัวไม่น่าเคารพเรื่อย!” 

 

 

ทุกคนหัวเราะดัง หลิ่วอี้ฮวนกำลังจะเล่นลิ้นหยอกล้อต่อ ก็พลันได้ยินเสียงกลองหนังขุยสี่มุมดังขึ้น ได้เวลาจับสลากแล้ว เสวียนจีลุกขึ้นเตรียมโดดลงจากหอไม้ อวี่ซือเฟิ่งพลันดึงนางไว้ นางอึ้งหันกลับไป ริมฝีปากรู้สึกอุ่นวาบ เขาจุมพิตนางแผ่วเบาทีหนึ่ง 

 

 

กล้าทำเช่นนี้กลางวันแสกๆ ทำเอารอบๆ พากันสะดุ้งเฮือก ในใจเสวียนจีเองก็เต้นโครมคราม อึ้งมองดวงตาดำขลับของเขา พึมพำว่า “เจ้า…ทำไมเจ้า…” เขาเพียงยิ้มเล็กน้อย ปล่อยมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าเพียงแค่อยู่ๆ ก็อยากทำเช่นนี้ก็เท่านั้น เสวียนจี ข้ารอเจ้ากลับมา” 

 

 

เสวียนจีพยักหน้าแรงๆ ยิ้มตอบกลับเขา ครั้งนี้จึงได้ตีลังกาลงจากหอไม้ไปร่วมจับสลากกับผู้เข้าประลองอีกห้าคน 

 

 

กรามหลิงหลงยังคงอยู่ในสภาพค้างเติ่งเหมือนเดิม มองอวี่ซือเฟิ่งเดินกลับมานั่งที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางติดอ่างกล่าวว่า “เจ้า เจ้าก็ช่าง ช่าง ใจกล้า!” อวี่ซือเฟิ่งยิ้มมองจงหมิ่นเหยียนแวบหนึ่ง ยกมือลูบริมฝีปากเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อืม กล้าอยู่สักหน่อยจริง” 

 

 

ไม่กล่าวถึงว่าวาจาอวี่ซือเฟิ่งกล่าวออกไปเช่นนี้ทำเอาคนกรามค้างไปเท่าไร อย่างไรเสวียนจีก็ไม่เห็นกล่องไม้ที่นางกำลังจะจับสลากกำลังเปิดออก พลันได้ยินรองเจ้าตำหนักตำหนักหลีเจ๋อยิ้มกล่าวว่า “อย่าบังเอิญต้องมาปะทะกับศิษย์เราเข้าล่ะ เสวียนจีน้อย” 

 

 

เสวียนจีน้อยอะไร! นางถลึงตาเย็นชาใส่เขา สามคำนี้ออกจากปากเขาแล้วเหมือนทำให้คนรู้สึกอึดอัด นางแกะกระดาษออกมองเห็นอักษรลายมือเรียบร้อยเขียนว่า ‘หนึ่ง’ ถึงกับเป็นอันดับหนึ่ง รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “หมายเลขอะไร? ให้ข้าดูหน่อย” 

 

 

เสวียนจีไม่คิดสนใจเขา แต่ทว่าวันนี้คนจัดการเรื่องจับสลากเป็นเขา ได้แต่ทำท่าไม่อยากจะส่งกระดาษนั้นให้เขา รองเจ้าตำหนักหรี่ตามอง “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ดูสิเนี่ย ข้าก็ปากอีกาจริง พูดได้ไม่ผิดเลย” เขายกสมุดตั้งขึ้น หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ดู เฮ่าเฟิ่งของข้าอยู่ที่สอง” 

 

 

ที่แท้คนผู้นั้นชื่อเฮ่าเฟิ่ง เสวียนจีเหลือบมองเขา กล่าวเบาๆ ว่า “นี่มันบังเอิญจริงหรือ” 

 

 

รองเจ้าตำหนักพัดไปมา ยิ้มกล่าวว่า “หมื่นเรื่องราวบนโลกนี้เดิมก็มีแต่ความบังเอิญต่างๆ นานาอยู่แล้ว เจ้าไม่เชื่อหรือ” 

 

 

ผีสิถึงเชื่อเจ้า! เสวียนจีหันหลังเดินออกมา เขากล่าวตามหลังมาอีกว่า “เฮ่าเฟิ่งร้ายกาจนะ เสวียนจีน้อยระวังด้วยล่ะ!” 

 

 

วาจากล่าวจบ กลองหนังขุยสี่ทิศก็ตีดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง การประลองเริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว เสวียนจีรีบเหินกระบี่ขึ้นไป ผู้ใดจะรู้ว่าอยู่ๆ เอวก็แน่นขึ้นเหมือนมีคนคว้าไว้ คนผู้นั้นกระโดดขึ้นราวกับเหินขี่เมฆ คว้าตัวนางวางบนเวทีทางใต้อย่างนุ่มนวล 

 

 

“มกร!” เสวียนจีหันกลับไปเห็นว่าเป็นเจ้าตัวชอบก่อเรื่อง อดปวดหัวไม่ได้ “เจ้ามาทำไม ไม่ใช่ว่าไม่คิดยุ่งเกี่ยวหรือ” 

 

 

มกรขยี้จมูก แค่นเสียงฮึกล่าวว่า “วันนี้ข้าอยากลงมือ ทำไม เจ้าไม่ให้?” 

 

 

เสวียนจียกเท้าถีบเขา มกรร้อนใจกล่าวว่า “นี่! เจ้าอย่าไม่รับน้ำใจนะ! ข้าแค่อยากช่วยเจ้า!” 

 

 

“ช่วย?” เสวียนจีรีบตะครุบคำกล่าวแสนโดนใจนี้ 

 

 

มกรมองไปยังเฮ่าเฟิ่งตรงข้าม เขาเหมือนก้อนหินก้อนโต ลมกระหน่ำพัดมาก็ไม่ขยับ ผมเผ้ากระจัดกระจายพันกันยุ่งเหยิงเหมือนงูพันกัน 

 

 

“ในเงาร่างคนผู้นี้เลี้ยงเจ้าตัวน่าสนใจไว้ แหะๆ ข้าอยากประมือดูหน่อย” 

 

 

ด้านในเหมือนมีมารปีศาจไม่ธรรมดาอยู่ตนหนึ่ง…เขามองเสวียนจี แม้ว่านางเป็นแม่ทัพเทพสงครามแต่เด็กผู้หญิงมีเลือดมีเนื้อคนหนึ่งต้องรับมือมารปีศาจเช่นนั้นน่าจะทนรับไม่ไหว เขาไม่อาจปล่อยให้นางตาย เพิ่งผูกพันธะสัญญาสัตว์ภูต หากนางเกิดตายไป เขาก็ไม่อาจมีชีวิต การค้าเช่นนี้ทำแล้วไม่คุ้มเลยจริงๆ 

 

 

ทั้งสองกำลังคุยกันไม่หยุด พลันได้ยินเจ้าหุบเขาหรงกลางสนามส่งเสียงดุว่า “การประลองต่อสู้ตัวต่อตัว ไม่ให้มีผู้ช่วย! ฉู่เสวียนจี รีบให้คนผู้นั้นออกไป!” 

 

 

เสวียนจีรีบอธิบาย “เจ้าหุบเขาหรง เขาไม่ใช่ผู้ช่วย เขาเป็นสัตว์ภูตข้า! แต่ปกติแปลงร่างเป็นคนเท่านั้น” 

 

 

เจ้าหุบเขาหรงขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหลวไหล! สัตว์ภูตจะแปลงร่างเป็นคนได้อย่างไร! ข้ารู้ว่าเจ้าอยากชนะ แต่วาจาพกลมเช่นนี้ เกรงว่าจะยากทำให้คนเชื่อได้!” 

 

 

เสวียนจียังไม่ทันได้กล่าวต่อ มกรกลับหัวเราะดังกล่าวว่า “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! กายมนุษย์ น่าสงสารจริง! เจ้ามองไม่เห็นข้า เอาเถอะๆ! เดี๋ยวข้าเปิดโลกทัศน์ให้เจ้า” กล่าวจบเขาก็กระโดดออกจากบนเสาศิลา ร่างไม่ร่วงลงมา หากลอยพลิ้วราวกับใบไม้ ยืนเหยียบอากาศอยู่นอกเวทีราวหนึ่งจั้ง มหัศจรรย์ขั้นนี้ ยามนั้นก่อให้เกิดเสียงฮือฮากระหึ่มโดยรอบ ผู้บำเพ็ญเซียนร้ายกาจเพียงใดก็ต้องเหยียบอยู่บนสิ่งของจึงจะลอยตัวได้ เขาคิดยืนก็ยืน คิดนอนก็นอนเช่นนี้ ร่างกายไม่ร่วงหล่นลงไป ล้วนไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน 

 

 

มกรกึ่งนอนอยู่กลางอากาศ ยันศีรษะกล่าวอีกว่า “ข้าดูอยู่ตรงนี้ ไม่เกะกะละกัน” 

 

 

เจ้าหุบเขาหรงตกใจกับฝีมือเขา พยักหน้าเบาๆ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หากท่าน…เป็นสัตว์ภูต ก็ย่อมไม่เกะกะ” 

 

 

มกรผิวปากขึ้นเสียงหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “เริ่มเลย เสวียนจีน้อย!” 

 

 

เขาได้ยินทุกคนล้วนเรียกเสวียนจีว่าเสวียนจีน้อยก็เลียนแบบบ้าง เสวียนจีถลึงตาใส่เขา หันกลับไปค่อยๆ ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมา