ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 35 งานประลอง (7)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เจ้าหุบเขาหรงกล่าวเสียงกังวานว่า “ข้าบอกข้อห้ามการประลองก่อน ไม่อนุญาตให้ทำร้ายถึงแก่ชีวิต ไม่อนุญาตให้ใช้วิชาเซียนต้องห้าม ยิ่งไม่อนุญาตให้ทำร้ายผู้ชมโดยรอบ หากเกิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็จะถอดคุณสมบัติการประลองทันที” 

 

 

เขามองไปยังทั้งสองบนสนาม เห็นพวกเขาเงียบไร้วาจา ก็ยกมือขึ้นโบก “งานชุมนุมปักบุปผาเป็นการประลองฝีมือที่ยุติธรรม ข้าหวังว่าทุกท่านจะรักษากฎระเบียบ” กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุด “เตรียมพร้อม เริ่มได้!” 

 

 

พอเริ่ม ทั้งสองก็ยังไม่ขยับ เป็นนานเฮ่าเฟิ่งจึงค่อยๆ ประสานมือคารวะเสวียนจี ก่อนจะพลิกข้อมือเผยอาวุธ ไม่ใช่กระบี่ แต่เป็นดาบคู่ หนึ่งสั้น หนึ่งยาว หนึ่งดำ หนึ่งขาว มีลักษณะพิเศษมาก พวกสำนักบำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ล้วนใช้กระบี่ น้อยมากที่จะมีคนใช้อาวุธอื่น โดยเฉพาะอาวุธแปลกประหลาดเช่นนี้ยิ่งน้อยมาก เสวียนจีอึ้งไป วินาทีถัดมาเขาก็เข้าจู่โจม ดาบคู่ในมือกวัดแกว่งดุดันได้เปรียบมาก 

 

 

เสวียนจียกกระบี่กันไว้ รู้สึกเพียงแค่อีกฝ่ายไม่ใช่คนมีแรงมาก ปัดดาบคู่เบาของเขาออกได้ไม่ยาก คนผู้นั้นตามเข้ามาติดๆ ทั้งสองพริบตาก็ปะทะกันไปสามสี่กระบวนท่า เสวียนจีพลันออกแรง กระบี่เปิงอวี้ฟันลงไปทางดาบสีดำ ได้ยินเสียง เคร้ง ดังขึ้น ดาบในมือเฮ่าเฟิ่งสั่นสะเทือนอย่างแรง แต่ถึงกับไม่หัก เสวียนจีตกใจยิ่ง ตรงหน้าพลันมีไอเย็นจู่โจมมา เป็นดาบสั้นสีขาวในมือเขาวาดฟันมา  

 

 

นางถอยหลังไปสองก้าว ใจเริ่มสับสน ประมือกับเขาอีกสิบกว่ากระบวนท่า วิชาดาบเขาไม่แยบยลเท่าไร แม้แต่นางเองก็ยังมองเห็นช่องโหว่ตลอด แต่ไม่ว่านางใช้แรงอย่างไรก็ไม่อาจฟันดาบคู่นั้นหักได้ หลังจากประมือไปหลายกระบวนท่า เห็นๆ ว่านางได้เปรียบ แต่หากจะเอาชนะเขา ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในทันที 

 

 

เสียงกระบี่ดังเคร้งคร้างกระทบโสตประสาทหูไม่หยุด เสวียนจีต่อสู้จนค่อยๆ ลืมเวลา รู้สึกเพียงแค่ดาบคู่ขาวดำเขาประสานกันราวกับผีเสื้อกางปีก การเคลื่อนไหวแปลกประหลาดทำให้รู้สึกถึงความงดงามอย่างบอกไม่ถูก มองอยู่นานจนจิตวิญญาณเหมือนถูกดูดเข้าไปด้วย 

 

 

แสงอาทิตย์ลอดผ่านชั้นเมฆออกมาสาดแสงลงบนเวทีเสาศิลายักษ์ ดาบสั้นสีขาวนั้นก็ยิ่งสะท้อนแสงระยิบ ไม่อาจจ้องมองต่อได้ เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่หน้ามืดตาลาย พลังอีกฝ่ายถ่ายทอดลงบนดาบคู่ก็ยิ่งแรงกล้า ตั้งแต่เริ่มต้นที่ถอยห่างได้ง่ายดาย มาถึงตอนนี้ค่อยๆ รับกระบวนท่าได้อย่างกินแรงขึ้น ตอนนี้ทุกครั้งที่กระบี่เปิงอวี้ปะทะดาบคู่เขา ง่ามมือนางก็จะปวดชาดิก ปะทะกระบวนท่ากันยิ่งนานก็ยิ่งเห็นว่าไม่ใช่ทางของดรุณีน้อยเช่นนาง นับประสาอันใดกับอีกฝ่ายกายบึกบึน ชายวัยฉกรรจ์ พอสู้กันนานเข้า ในที่สุดแรงนางก็เหมือนไม่พอแล้ว ฝืนรับดาบคู่เขาสักพักก็ต้องถอยหลัง 

 

 

คนผู้นั้นก็ไม่ยอม ยังรุดขึ้นหน้าเข้าใส่ เหมือนจะอาศัยจังหวะนางถอยหลังเข้าสยบนางให้ได้ในทันที เสวียนจีอึ้งมองหน้ากากอสุราเขา คิดถึงพวกอวี่ซือเฟิ่งที่ว่าคนผู้นี้สถานะน่าสงสัย เดิมนางคิดว่าพอขึ้นมาเขาก็จะปล่อยสัตว์ภูตยักษ์ของเขาออกมาทำให้สนามประลองแตกตื่น หากเช่นนั้น นางก็ย่อมมีความมั่นใจที่จะชนะ แต่เขาเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเช่นนี้ ใช้กระบวนท่าที่นางไม่เชี่ยวชาญที่สุดก่อนเพื่อให้นางหมดแรง ต้องการชนะนางด้วยกระบวนท่าอย่างไร้ข้อกังขา! 

 

 

เห็นการจู่โจมเบื้องหน้าของเขา เสวียนจีไม่อาจไม่ตีลังกากลับหลัง ผู้ใดจะรู้ว่าปลายเท้าพลันถูกอะไรรั้งไว้อย่างแรง ในยามนั้นนางยืนไม่มั่น หงายไปด้านหลัง แสงไฟพลันวาบขึ้น นางก้มหน้าหรี่ตามอง เห็นเพียงเงาดำที่เท้าเขาค่อยๆ ขยับไหวราวกับมีชีวิต ที่เงานั้นมีศีรษะใหญ่มากยื่นออกมา เป็นใบหน้ากระจ่างชัด หน้าตาแปลกประหลาดมาก สองตากลับหัว ปากยังมีเขี้ยวยาวเหมือนสัตว์ป่าดุร้าย สัตว์ประหลาดนั่นงับกระโปรงนางไว้ น้ำลายไหลยืดลงมาไม่หยุด มองนางอย่างตะกละเหมือนนางเป็นอาหารรสเลิศ 

 

 

แต่ไรมาเสวียนจีไม่เคยเห็นใบหน้าที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน ตกใจส่งเสียงร้องดัง ก้นจ้ำเบ้ากับพื้น กระบี่ในมือก็ฟาดฟันใส่ศีรษะประหลาดไร้ที่มานั่นเปะปะไปหมด เจ้านั่นกะพริบตาแล้วก็หายไปในเงาเขา กระบี่เปิงอวี้ฟันพื้นอย่างแรงจนเป็นรอยบากมากมาย 

 

 

นางเพิ่งผ่อนลมหายใจได้ พลันได้ยินลมจากเหนือศีรษะ รู้ว่าเฮ่าเฟิ่งฉวยโอกาสออกกระบวนท่าแล้ว นางจึงกลิ้งไปทางซ้ายหลบดาบนั่น ผู้ใดจะรู้ว่าเพิ่งจะลุกขึ้น ส้นเท้าก็เหมือนถูกอะไรกัด หันกลับไปมอง เป็นหน้าตาน่ากลัวนั่นอีกแล้ว มันกัดรองเท้านาง ปากก็พ่นไอร้อนรดเท้านาง ทำเอานางขนลุกชันไปทั้งตัว 

 

 

“มกร!” เสวียนจีร้องเสียงหลงขึ้นทันที ดิ้นรนสะบัดรองเท้าทิ้ง วิ่งเท้าเปล่าออกมาได้สองสามก้าว หัวก็ขนเข้ากับร่างมกร นางรีบคว้าแขนเขาไว้ ร้องดังขึ้นว่า “มีสัตว์ประหลาด! หัวคน! ในเงานั่น! กัดข้า!” เสวียนจีเดิมไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เมื่อครู่หน้าประหลาดนั่นน่ากลัวมากจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็น นางตกใจอย่างที่สุด 

 

 

มกรหัวเราะหึๆ เสียงเยียบเย็น ผลักหลังนาง โวยวายดังขึ้นว่า “นังหญิงหน้าเหม็นไม่ได้เรื่องดังคาด! มา ข้ารับมือมารปีศาจนี่เอง!” วาจากล่าวจบ เขาก็พุ่งตัวออกไปเร็วราวดาวตก ไปยังเบื้องหน้าเฮ่าเฟิ่ง เงาร่างพลันลงต่ำ มือใหญ่กดเงาเขาไว้ ถึงกับทะลุลงไปได้! 

 

 

ดาบคู่ในมือเฮ่าเฟิ่งสะบัดลงไป ฟันลงกลางหลังเขาเต็มแรง รู้สึกเพียงแค่ฟันก้อนหิน ไม่มีปฏิกิริยาอะไรแม้แต่น้อย แม้แต่เส้นผมมกรก็ไม่อาจฟันขาดได้ มกรยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “เจ้าซ่อนของดีไว้ไม่น้อยนะเนี่ย! ให้ข้าดูหน่อยว่ามีอะไร!” กล่าวจบก็โดดยกตัวขึ้น พริบตาก็ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง เงานั้นถูกเขาคว้าลากออกมาได้ตัวใหญ่ ยาวราวคนสิบกว่าคนต่อตัวกัน เกล็ดสีแดงดังสีเลือดส่องประกาย เป็นสัตว์ภูตงูเหลือมยักษ์ที่วันนั้นเฮ่าเฟิ่งปล่อยออกมา ยามนี้สัตว์ยักษ์ถูกมกรคว้าเอาเขี้ยวหนึ่งในปากไว้ ลากมันออกมาอย่างง่ายดาย ถึงกับไม่กล้าขยับ ตัวสั่นเทาไม่หยุด หางม้วนไปทางเฮ่าเฟิ่งราวกับขอความช่วยเหลือ 

 

 

เฮ่าเฟิ่งเงยหน้ามองมกร ผมขาวราวหิมะของเขาต้องแสงตะวันส่องประกาย หน้าตาบอกว่าข้าคืออันดับหนึ่งใต้หล้า ท่าทางอวดเบ่งมาก เฮ่าเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ท่านคือ…” 

 

 

ปีกเพลิงยักษ์คู่หนึ่งบนหลังมกรตั้งขึ้น ราวแพรบางแดงสดหลายชั้นสยายแผ่สะท้อนแสงอาทิตย์งดงามยากอธิบาย ปีกเพลิงนั่นพัดผ่านร่างงูเหลือมยักษ์เบาๆ เพลิงแดงฉานล้อมมันไว้ “คืนงูเน่าให้เจ้า!” มกรคว้างูเหลือมยักษ์ถูกเผาโยนคืนไป งูเหลือมยักษ์ยาวหลายจั้งถูกเขายกขึ้นเหมือนไม่ต้องใช้แรงอันใด 

 

 

มองมองสัตว์มหึมาไฟลุกโชนกำลังปาใส่หัวคน เฮ่าเฟิ่งกับเสวียนจีก็รีบโดดหลบ เสียง ตึง ดังสนั่น งูเหลือมยักษ์ร่วงลงบนเวที ดิ้นรนพักหนึ่งถูกไฟเผาเป็นเถ้าดำ เหลือแค่รอยสีดำเส้นหนึ่ง 

 

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เจ้ายังมีปีศาจอะไร เอาออกมาให้หมด ให้ข้าเล่นหน่อย! เร็ว!” มกรหัวเราะบ้าคลั่ง ปีกเพลิงบนหลังสยายออกและหุบเข้าตลอด งดงามราวภาพฝัน ตอนนี้ทุกคนล้วนรู้แล้ว ของนี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าไฟสังหารที่ในฝันร้ายเสียอีก 

 

 

ผู้ชมบนหอไม้โดยรอบส่งเสียงฮือดังก่อนจะค่อยๆ เงียบลง หลิงหลงอ้าปากค้าง มองมกรอย่างคาดไม่ถึง แต่ไรมานางคิดว่าชายผมขาวก็แค่พวกไม่ได้เรื่องไม่เอาไหน ผู้ใดจะรู้ว่าเขาเป็นสัตว์ภูตจริง! ที่แท้ร้ายกาจเช่นนี้! 

 

 

เฮ่าเฟิ่งเงียบอยู่เป็นนาน จึงได้กล่าวว่า “นี่คืองานชุมนุมปักบุปผา ไม่ใช่การประลองสังหารชีวิต เจ้าปล่อยเพลิงคลั่งเช่นนี้ เกิดทำคนอื่นบาดเจ็บทำอย่างไร” 

 

 

“กล่าววาจาเหลวไหลให้น้อยหน่อย” มกรไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้ำเสียงไม่พอใจของเขาเลย หันไปกระดิกนิ้วเรียกเขา “ปล่อยออกมาเร็ว เจ้าไม่ปล่อย ข้าจับเองก็ได้!” 

 

 

เฮ่าเฟิ่งแสร้งทำไม่ได้ยิน ยังคงกล่าวว่า “งานชุมนุมปักบุปผามุ่งหมายแค่ประลองฝีมือ ข้าไม่อยากเอาชีวิตเจ้า…” 

 

 

“พูดมาก!” มกรเริ่มรำคาญ พลันทะยานพุ่งไป ปีกเพลิงกระพือกลางท้องฟ้า พาเอาคลื่นความร้อนราวไฟสวรรค์แผ่กำจายทั่ว อย่าว่าแต่เฮ่าเฟิ่งถูกกดดันจนต้องกุมหัวลงนั่งยอง แม้แต่เจ้าหุบเขาหรงก็ไม่อาจทนได้ ต้องถอยไปอยู่ขอบเวที ก่อนจะฝืนตั้งสติได้ ร้องตะโกนดังขึ้นว่า “อย่าทำร้ายคน! อย่าทำร้ายคน!” 

 

 

เสียงร้องตะโกนเขาในหูมกรฟังแล้วเป็นเพียงวาจาเหลวไหล เขาบินสู่พื้นอย่างรวดเร็ว หันไปจู่โจมใส่เงาร่างเฮ่าเฟิ่ง ครั้งนี้เฮ่าเฟิ่งหลบไว ยกดาบคู่ป้องกันจุดสำคัญไว้ น่าเสียดายเขาคาดการจู่โจมของมกรผิดไป เป้าหมายเขาอยู่แค่เงาร่างเขา ไม่ใช่ตัวเขา พริบตา มกรก็คว้าเงาเขาไว้ได้ ควานมือลงไปหา ควานอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าพลันประหลาด ตีลังกาขึ้นท้องฟ้า 

 

 

เงาที่เท้าเฮ่าเฟิ่งพลันเริ่มกระจายออกราวน้ำหมึกดำสาดกะจายบนกระดาษขาว ค่อยๆ ปกคลุมไปทั่ว ในนั้นเหมือนมีสิ่งอะไรบางอย่างที่กำลังจะปะทุออกมา เสวียนจีรู้สึกเพียงว่าศีรษะใหญ่นั่นประหลาดมาก ตกใจจนผงะถอยไปหลายก้าว กลัวว่าจะโดดออกมากัดนาง 

 

 

เฮ่าเฟิ่งพลันเก็บดาบคู่ กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “ในเมื่อเจ้าจะประลองสัตว์ภูต เช่นนั้นก็สู้กันสักตั้ง! เป็นหรือตาย แล้วแต่สวรรค์!” 

 

 

กล่าวจบพลันตีลังกากลับหลัง เงาร่างยักษ์นั่นเปล่งเสียงคำรามก้องโสตประสาทราวกับกองทัพม้าหมื่นตัวโจนทะยาน ยังราวกับเสียงอาวุธเหล็กนับไม่ถ้วนเสียดสีกัน กระดูกและเส้นเอ็นทั่วร่างราวกับถูกเสียงคำรามดังฉีกออก ตามมาด้วยเสียงคำรามนั่นกลายเป็นเสียงครางน้อยๆ น่าสงสาร ขาดๆ หายๆ ราวกับจะขาดใจได้ตลอดเวลา 

 

 

เสวียนจีกำลังตกใจสงสัยอยู่นั้น ก็เห็นเพียงเงานั้นมีสัตว์ขนาดมหึมาออกมาตัวหนึ่ง กลิ่นคาวคละคลุ้งแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มันทะยานวิ่งอยู่บนเวที พลันพุ่งเข้าใส่มกรกลางอากาศ แสงอาทิตย์กระทบตา มองไม่ชัดว่าแท้จริงแล้วหน้าตามันเป็นอย่างไร รู้สึกเพียงแค่มีสี่เท้าเหมือนสัตว์ป่า แต่ลำคอมีใบหน้าคนขนาดใหญ่ ขนดกหนารุงรัง มีเขาบนหัว ด้านหลังยังมีหางยาวและหนา โบกสะบัดไปมา เหมือนหนามอ่อนก้านหนึ่ง 

 

 

มกรราวกับเกรงกลัวมัน เลือกหลบกับการโจมตีครั้งแรกของมัน ไม่เลือกปะทะ ฟุ่บ ปีกเพลิงบนหลังสยายออกราวกับจะห่อหุ้มมันไว้ สัตว์ประหลาดนั่นไม่กลัวเพลิงไฟทะยานฟ้าแต่อย่างใด กลับกระโดดอ้าปากกัดปีกเพลิงเขาทันที! มกรรีบกระพือปีกเพลิงหนี บินวนรอบอย่างว่องไวกลางท้องฟ้า ก่อนจะเก็บปีกเพลิงทันทีและลงสู่พื้น 

 

 

เสวียนจีเห็นเขาหลบได้หวุดหวิด ก็รีบวิ่งเข้าไป ร้อนใจกล่าวว่า “นั่นมันอะไร เจ้าก็กลัวหรือ” 

 

 

สีหน้ามกรซีดเผือดเล็กน้อย ลมหายใจแรงอย่างมาก “เจ้าสิกลัว! ใต้หล้านี้มีสิ่งที่ข้ากลัวด้วยหรือ?! เจ้าไปแอบข้างๆ คอยดูแล้วกัน! อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล!” 

 

 

ขณะที่พูดนั้น สัตว์ประหลาดนั้นก็ไล่ตามลงมา หมุนตัวพ่นเอาน้ำเหนียวข้นออกมาทั่วพื้น เป็นใบหน้าประหลาดที่กัดกระโปรงเสวียนจีเมื่อครู่ เห็นๆ ว่าร่างเป็นสัตว์ แต่หัวเป็นคน อวัยวะทั้งห้าบิดเบี้ยวประหลาด ปากยังมีเขี้ยวโง้งราวดาบ น้ำลายจากมุมปากหยดลงพื้นเหนียวหนึบ หัวนั่นเหมือนใหญ่กว่าหัวคนสามเท่าได้ ไม่ว่าสัตว์ประหลาดใดก็ไม่มีใบหน้าที่น่ากลัวไปกว่าหน้ามันอีกแล้ว 

 

 

เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ทั่วร่างชาดิก รีบผลักมกรขึ้นหน้า “เจ้าไม่กลัว เช่นนั้นเจ้ามารับมือ!” 

 

 

“นังหญิงหน้าเหม็น!” มกรโมโหสบถด่าขึ้นเสียงหนึ่ง มองหางสัตว์ประหลาดนั่นชี้ยาว สะบัดเร็วราวไฟแลบมา หากถูกมันแทงเข้า ร่างกายต้องมีรูแน่ เขาคว้าเสวียนจีขึ้นโดดหลบ ก่อนจะโยนนางออกไปไกลๆ อีกทาง ไปยืนด้วยกันกับเจ้าหุบเขาหรง “เจ้ายืนนิ่งๆ! อย่าขยับ!” เขาเพิ่งกล่าวจบก็รู้สึกเพียงแค่ด้านหลังมีควันดำลอยมา ตามมาด้วยความเจ็บบนไหล่ หน้าประหลาดนั่นกัดทีหนึ่ง เขี้ยวยาวโง้งมากมายนับไม่ถ้วนแทงทะลุร่างกายราวเหล็กไหลของเขา