ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 36 งานประลอง (8)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบบริเวณ เสวียนจีเห็นสัตว์ประหลาดท่าทางดุร้ายเช่นนี้ แม้แต่มกรยังไม่กลัว ในใจอดวุ่นวายไม่ได้ เห็นมกรคว้าคางสัตว์ประหลาดนั่นไว้ พยายามง้างปากมัน ครึ่งท่อนร่างเปื้อนเลือดกระโดดขึ้นกลางท้องฟ้า สัตว์ประหลาดนั่นได้ลิ้มรสเลือดแล้ว จะยอมไปได้อย่างไร ไล่ตามหลังเขาเหมือนเงาตามตัว หางยาวและหนาของมันสะบัดไปมาพุ่งแทงเขาทุกครั้ง แต่ก็ไม่โดน 

 

 

เสวียนจีมองการต่อสู้นี้อย่างตกใจ เกรงว่ามกรไม่ทันระวังจะถูกมันกัดเข้าจริงๆ พลันได้ยินเจ้าหุบเขาหรงข้างๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ในเมื่อเป็นสัตว์ภูตเจ้า ทำไมเจ้ามองดูเฉย? สัตว์ประหลาดนั่นไม่ธรรมดา! ไม่กลัวน้ำไฟ ไฟมกรไม่มีผลต่อมัน!” 

 

 

เสวียนจีตกใจ ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าหุบเขาหรงรู้ว่าคืออะไร” 

 

 

เจ้าหุบเขาหรงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้านี่มีหน้าเหมือนคน เห็นชัดว่าเป็นเทาเที่ย[1]ที่มีนิสัยตะกละกินอย่างที่สุด! ใต้หล้าไม่มีอะไรที่มันไม่กิน! ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อกล้ามาก! ถึงกับปล่อยเทาเที่ยที่เป็นสัตว์ภูตออกมา!” 

 

 

เสวียนจีเหมือนเริ่มนึกออกว่าในสมุดรายชื่อปีศาจมีบันทึกถึงเทาเที่ย มันตะกละตะกรามขึ้นชื่อทั่วหล้า ยามหิวแม้แต่ก้อนหินดินโคลนก็กลืนลงท้องไปหมด เจ้าสำนักเส้าหยางก่อนๆ เคยใช้พู่กันจุ่มชาดวงไว้พร้อมเขียนระบุว่าหากโชคร้ายเจอมัน รีบหนี ไม่เช่นนั้นต้องตาย 

 

 

ต้องตาย! ต้องตาย! เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ในใจเต้นแรง เลือดมกรไหลรดราวฝนหลั่งยามเคลื่อนไหว เทาเที่ยไม่กลัวไฟ ไฟมกรไม่อาจทำอะไรมันได้ มิน่าเขารับมือไม่ได้! ใต้หล้ามีสัตว์ที่ข่มกัน สัตว์เทพก็มีเวลาที่โดนมารปีศาจข่มเช่นกัน 

 

 

นางไม่อาจทนดูมกรถูกเทาเที่ยกินได้! ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี?! 

 

 

ขณะที่ภายในกายร้อนดังเพลิงเผา เจ้าหุบเขาหรงพลันผลักนางอย่างแรง แผ่นหลังมีลมกระพือมาอย่างแรง เสียงอาวุธปะทะกันบาดหู เสวียนจีสะดุดไปหลายก้าว พอหันกลับไปก็เห็นกระบี่เจ้าหุบเขาหรงกันเทาเที่ยไว้ ไม่ใช่สิ! ไม่ใช่แค่ตัวนั้นที่ไล่ตามมกร! ยังมีออกมาใหม่อีกตัว! เงาร่างเฮ่าเฟิ่งถึงกับเลี้ยงเทาเที่ยสองตัว! 

 

 

“บังอาจ! กฎงานชุมนุมปักบุปผาพวกเจ้าลืมแล้วหรือ?! ไม่อาจปล่อยสัตว์ภูตทำร้ายคนอื่น! รีบเก็บมันกลับไป!” กระบี่เจ้าหุบเขาหรงปัดเทาเที่ยตัวที่สองออก ตวาดดุดัน 

 

 

เฮ่าเฟิ่งทำราวไม่ได้ยิน เขายืนนิ่งบนลานประลอง เงาดำใต้ฝ่าเท้าค่อยๆ ขยายวง กินไปครึ่งค่อนเวทีประลอง “เฮ่าเฟิ่ง! ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อเฮ่าเฟิ่ง!” เจ้าหุบเขาหรงตะโกนเรียกชื่อเขาอย่างหัวเสียมาก เทาเที่ยนั่นเบียดขึ้นมา เขาได้แต่ฝืนทนสะกดไม่ให้มันขึ้นมากัด “หากยังไม่เก็บคืน ข้าก็จะประกาศว่าทุจริตในการประลองครั้งนี้!” 

 

 

เฮ่าเฟิ่งพลันหัวเราะดังลั่น กล่าวดังก้องว่า “งานชุมนุมปักบุปผากระจอกๆ เจ้าประกาศไปเลย!” เขาพลันผิวปากเสียงแหลม เทาเที่ยตัวที่สองยิ่งกระโจนแรงคร่อมเจ้าหุบเขาหรงกับพื้น อ้าปากจะงับ 

 

 

เสียง ตึง ดังขึ้น ที่มันงับไปไม่ใช่ร่างคน แต่เป็นกระบี่แข็งเย็นเยียบ เสวียนจียัดกระบี่เปิงอวี้เข้าปากมัน ก่อนตะโกนว่า “ล่วงเกินแล้ว” ใช้ขาเตะเจ้าหุบเขาหรงที่หมดสติออกไปอีกทางหนึ่ง เทาเที่ยนั่นไม่สนใจอะไร กัดกินกระบี่เปิงอวี้ไปหลายคำ รู้สึกว่ากัดไม่ลง ก็ได้แต่คายออกมา หันไปมองเสวียนจีคนเป็นๆ ที่ยืนอยู่อีกทาง มันแหงนหน้าคำรามดังราวอาวุธโลหะกระทบเสียดสีกัน ปากก็มีน้ำลายไหลยืดเป็นสาย ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง 

 

 

เสวียนจีกระโดดถีบหน้าน่าเกลียดของมันจนหน้าหงาย หันกลับไปมองเห็นเฮ่าเฟิ่งยืนนิ่งอยู่บนสนามประลองเรียบร้อย ที่กล่าวว่าจับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน ดังนั้นเทาเที่ยสองตัวยากรับมือเช่นนี้ ไม่สู้จับเขาไว้ก่อน! คิดถึงตรงนี้ นางก็รีบพุ่งลงไป ผู้ใดจะรู้ว่าพอเท้าเหยียบเงาดำนั่น ใต้ฝ่าเท้าถึงกับว่างโล่ง! เสวียนจีตกใจ รีบชักเท้ากลับ ใต้เงานั่นไม่มีพื้นจริง! เป็นความว่างเปล่า! เหตุการณ์เกิดอย่างกะทันหันชั่วพริบตา เทาเที่ยอีกตัวก็พุ่งตามหลังมา เสวียนจีตวัดกระบี่บีบให้หลบ กลับถูกน้ำลายมันรดโดนแขนเสื้อ สะอิดสะเอียนอย่างมาก 

 

 

นางรีบเหินกระบี่ขึ้น เทาเที่ยนั่นไล่ตามมาไม่ลดละ ไล่ตามปลายกระบี่นางไม่เลิก อย่างไรก็ไม่อาจเอาแต่วิ่งหนีเช่นนี้! นางเงยหน้ามองมกร เขาไม่วิ่งหนีแล้ว หากหันสู้กับเทาเที่ย ตัวเขาถูกกัดเข้าไปไม่รู้กี่แผล ผมสีเงินยวงก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสดๆ น่าอนาถยิ่ง ในใจนางร้อนใจยิ่ง ทำให้อดหยุดชะงักไม่ได้ เทาเที่ยที่ไล่ตามมาด้านหลังงับลงคำหนึ่งทันที เสียง เคร้ง ดังขึ้น นางใช้กระบี่ที่ไว้เหินกระบี่ยัดเข้าปากมัน งับไปมาไม่นานก็กลืนลงไปอย่างไม่สนใจอะไร 

 

 

ขณะเสวียนจีกำลังร้อนใจอยู่นั้นก็ทุ่มกำลังสุดแรง หันกายแต่ไม่ถอยก่อนจะสะอึกเข้าแทงลงไปยังใบหน้าประหลาดนั่น เจ้างั่งไม่รู้จักดีชั่ว หันกลับมางับกระบี่เปิงอวี้กระบี่ยังคงงับไม่ลง เสวียนจีชักออกหลายทีก็ชักไม่ออก ขณะตกใจและโมโหอยู่นั้น ก็น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เดรัจฉานรนหาที่!” กล่าวจบก็ถีบลูกตามัน เทาเที่ยเจ็บปวดจนร้องเสียงโหยหวนปล่อยปากทันที เสวียนจีแทงใส่ใบหน้ามัน แต่มันหลบไว จึงแค่ฝากรอยบากยาวไว้ที่ใบหน้ามันรอยหนึ่ง 

 

 

เทาเที่ยเจ็บ หันหลังคิดหนี เสวียนจีพุ่งโดดขึ้นคร่อมหลังมัน กระชากแผงขนบนหัวมัน ยกกระบี่เปิงอวี้แทงลงไป! ไม่คาดคิดว่าหนังเทาเที่ยจะหนามาก กระบี่เปิงอวี้แทงลงได้แค่สองสามนิ้วก็แทงไม่ลงอีก เทาเที่ยเจ็บจนแผดเสียงร้องบ้าคลั่ง กลิ้งไปมากลางอากาศ เลือดสดเหนียวข้นก็ทะลักออกมากองโต 

 

 

เสวียนจีถูกมันสะบัดไปมาจนตาลาย ได้แต่ปล่อยมือโดดลงจากหลังมัน หันไปมองมกร แขนครึ่งหนึ่งถูกเทาเที่ยอีกตัวกลืนเข้าปากไปแล้ว ใบหน้าเขาเปื้อนไปด้วยเลือดสดๆ ใบหน้าบิดเบี้ยวดูไม่ได้ กำลังใช้แรงง้างฟันมันออก เสวียนจีรับตะโกนเรียก “มกร!” ก่อนจะพุ่งเข้าไปคิดช่วย มกรน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าถอยไปห่างๆ! ข้าไม่ตายหรอก!” ยังกล่าวไม่ทันจบก็ส่งเสียงร้องเจ็บปวด เห็นชัดว่าเจ็บปวดอย่างที่สุด 

 

 

เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าไม่ใช่ขี้โม้ว่าตนเองอันดับหนึ่งหรือ ทำไมแค่เทาเที่ยก็รับมือไม่ไหว! วันหน้าอย่าขี้โม้อีกเลย!” 

 

 

ในใจมกรโมโหมาก ในยามคับขันไม่ได้ร่วมมือรับมือมารปีศาจกับนาง เทาเที่ยไม่กลัวไฟ เขาจะทำไรมันได้ คืนร่างเดิมปล่อยไฟเผามันก็เผาไม่ตาย แต่กลับจะทำให้คนโดยรอบตายแทน เขากัดฟันถลึงตาใส่ เทาเที่ยที่ราวกับดาวมารข่ม อย่าว่าแต่เขา เทพเซียนอื่นใต้หล้าก็ปวดหัวกับมันมาก แค่ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อคนเดียว ถึงกับเลี้ยงเทาเที่ยสองตัว เรื่องนี้วันหน้าเขาต้องรายงานไป๋ตี้ ให้ส่งคนมาตรวจสอบ 

 

 

เขาพลันออกแรง ใช้แรงกระชากแขนที่ถูกมันกลืนลงไปออกมา ตวาดดุดันว่า “ทำลายดวงตาเดรัจฉานนี่ก่อน!” เขาลุกขึ้นสะบัดเลือดสาดใส่ดวงตากลมโตของเทาเที่ย เลือดมกรร้อนราวน้ำมันเดือดปุด แต่ถึงกับไม่มีผลกับมัน ได้แต่ตกตะลึงกะพริบตาปริบ มกรกางนิ้วทั้งห้าแทงเข้าในตามัน ยามนี้มันจึงได้ตกใจกระโดดยกตัวขึ้น ถีบอุ้งตีนออกเตะมกรออกไปไกลมาก ลอยคว้างจะลงปักพื้น เสวียนจีรีบเข้าไปคว้าร่างเขาไว้ เห็นโลหิตทั่วร่างเขาแล้ว ในใจก็อดเสียใจไม่ได้ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ข้าผิดไปแล้ว! ไม่ควรให้เจ้ารับมือเทาเที่ยคนเดียว!” 

 

 

“หุบปาก!” มกรเห็นเทาเที่ยบาดเจ็บตัวนั้นพุ่งเข้ามา ไหนเลยมีเวลาฟังนางเศร้าใจ ร้อนใจกล่าวว่า “เอากระบี่ให้ข้า!” 

 

 

เสวียนจีรีบส่งกระบี่เปิงอวี้ให้เขา มกรโมโหกล่าวว่า “ไม่ใช่อันนี้! เท้าเจ้ายังมีอีกอันนี่?!” 

 

 

“ให้เจ้า ข้าก็ร่วงสิ!” เสวียนจีร้อนใจ 

 

 

“ร่วงไปไม่ตายหรอก!” มกรผลักนางลงจากกระบี่ ก้มลงคว้ากระบี่นั่นขึ้นมา ตวัดใส่เทาเที่ยตัวทางซ้ายให้ถอยไปก่อน ตามมาตีลังกา อีกมือคว้าเอวเสวียนจี อุ้มนางขึ้นแนบข้างกายตนเอง 

 

 

เสวียนจีรู้สึกได้ถึงเลือดสดร้อนบนร่างเขา ร้อนทะลุเสื้อผ้าออกมา นางตกใจจนขนลุกชัน ทนไม่ไหว ได้แต่ร้องดังขึ้นว่า “เจ้าปล่อยข้าลงไปนะ!” 

 

 

มกรโมโหกล่าวว่า “เจ้านายเช่นเจ้าช่างไม่รับผิดชอบ! ถ่ายทอดพลังวัตรให้ข้าไม่ได้ ให้ข้าทำงานให้เจ้าฟรีๆ หรือ?!” 

 

 

“ถ่ายทอดพลังวัตรอย่างไร แต่ไรมาเจ้าไม่เคยบอกข้านี่!” เสวียนจีเห็นเทาเที่ยสองตัวพุ่งเข้ามา ก็รีบใช้กระบี่เปิงอวี้ไล่ออกห่างพลางคำรามลั่น 

 

 

“ข้าก็ไม่ใช่เจ้านายเจ้า จะรู้ได้อย่างไรว่าถ่ายทอดพลังวัตรอย่างไร!?” มกรคำรามใส่นางอย่างดูมีเหตุผลยิ่งกว่า 

 

 

เสวียนจีไร้วาจาจะกล่าว เห็นมองเทาเที่ยสองตัวตามตอแยไม่เลิก ในใจนางพลันเหี้ยม น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ข้าไม่เชื่อว่าจะจัดการพวกมันไม่ได้!” นางแย่งกระบี่จากมือมกรมา เหินกระบี่ขึ้นไป กระบี่เปิงอวี้ในมือวาดวงรัศมี นิ้วมือค่อยๆ ลูบผ่านมัน ลำตัวกระบี่พลันเปล่งประกายเพลิงเจิดจ้า นางพุ่งลงไปตวัดกระบี่ใส่หัวเทาเที่ย ฟันลงไปทันที มกรร้องตะโกน “พวกมันไม่กลัวไฟ! ไร้ประโยชน์!” วาจากล่าวจบ กลับเห็นกระบี่เปิงอวี้ฟันหน้าอกเทาเที่ยราวฟันแตง 

 

 

เสวียนจีน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ข้าไม่เผามัน! ข้าจะสับมันให้เละ!” มือฟันเต็มแรง หลังเทาเที่ยถูกกระบี่ฟันก็ขาดสองท่อน มันไม่ทันได้ส่งเสียงครางก็กลิ้งไปกับพื้น ลอดเข้าไปใต้เงาร่างเฮ่าเฟิ่งแน่นิ่งไป 

 

 

เทาเที่ยอีกตัวเห็นท่าไม่ได้การ หันหลังคิดกลับเข้าสู่เงา มกรรีบร้องตะโกน “ลองใช้ไฟเทวะเก้าชั้นเผามัน!” 

 

 

อะไรคือไฟเทวะเก้าชั้น? เสวียนจีหันกลับไปคิดถาม ไม่ได้สนใจ เขาคว้ามือนาง น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เร็ว! เรียกชื่อข้า!” เสวียนจีเรียกชื่อมกรงุนงงขึ้นเสียงหนึ่ง กระบี่เปิงอวี้ในมือพลันมีปฏิกิริยาสั่นไหวรุนแรงขึ้นมาทันทีราวกับเกาะกุมจิตใจจนเต้นโครมครามรุนแรง 

 

 

“ตวัดกระบี่สิ! โง่เง่า!” มกรหงุดหงิดไฟแทบจะลุก 

 

 

ในใจเสวียนจีพลันได้สติ ยกกระบี่เปิงอวี้ขึ้นด้วยสัญชาตญาณ กระบี่ตวัดออกไป ร่างมกรก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ปีกเพลิงบนหลังกระพือออก แต่ไม่ใช่สีแดงฉานราวสีเลือดอีกแล้ว ปีกเพลิงลุกโชนนั้นเป็นสีฟ้าแทบจะโปร่งแสง ไม่ใช่ไฟบรรลัยกัลป์ของมกร ไม่ใช่แสงของอัคคีสมาธิจิต มันลุกไหม้อย่างเงียบๆ ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย แสงเย็นเยียบ ราวกับไม่มีความอุ่นอันใด 

 

 

เมฆขาวเหนือศีรษะพริบตาก็กระจายออกเหมือนถูกคนใช้มือยักษ์ปัดกระจาย ปีกเพลิงใหญ่แสนสวยของเขาก็ค่อยๆ กระพือราวกับสองปีกคู่รักกัน โอบเทาเที่ยอีกตัวไว้ 

 

 

เสียง ฟุ่บ ดังขึ้นเบาๆ ถึงกับไม่ทันมีปฏิกิริยา เทาเที่ยตัวนั้นก็กลายเป็นควันสีเขียว แม้แต่ชิ้นเนื้อก็ไม่มีให้เห็น หายวับไปเช่นนี้เอง 

 

 

นี่ก็คือไฟเทวะเก้าชั้น! เสวียนจีมองจนหน้าเซ่อซ่า ในใจพลันวุ่นวาย ที่หูได้ยินเสียงวิ้งๆ สุดท้ายก็เงียบกริบไปหมด เหลือเพียงเสียงหายใจของคนสองคนกับเสียงเต้นของหัวใจโครมคราม ในสมองมีภาพวาบไหวไม่หยุด เวียนวน… 

 

 

ชนะแล้ว? นางมองมกรงงๆ เขาเองก็เหมือนงงเล็กน้อย ถลึงตาใส่นาง  

 

 

 เฮ่าเฟิ่งบนเวทีพลันหัวเราะเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ร้ายกาจ!” 

 

 

“เจ้าบ้านี่บ่นอะไร?!” มกรถูกเทาเที่ยกัดจนปวดไปทั้งตัว จึงชักสีหน้าใส่เขา แทบอยากจะใช้ ไฟเทวะเก้าชั้นเผาเขาทิ้งเสียเลย 

 

 

เฮ่าเฟิ่งไม่สนใจเขา ได้แต่เก็บดาบคู่คืน หันกายจากไป เงาด้านล่างค่อยๆ กลับคืนสู่ขนาดปกติ เสวียนจีร้องดังขึ้นว่า “ช้าก่อน! แพ้ชนะยังไม่ตัดสิน!” พลันคิดถึงเจ้าหุบเขาหรงที่สลบไป เกรงว่าการตัดสินแพ้ชนะจะไม่มีคนออกหน้า ในยามนั้นไม่ทันสังเกต เฮ่าเฟิ่งไม่หันกลับมา หากหัวเราะกล่าวว่า “ยามนี้แล้ว ยังแบ่งแยกแพ้ชนะอันใดอีก!” 

 

 

อะไรเรียกว่ายามนี้? ทั้งสองต่างไม่เข้าใจ กำลังคิดจะถาม พลันได้ยินลานประลองมีเสียงฮือฮาดัง ตามมาด้วยเสียงก้องกังวาน “เจ้าสำนักทุกท่านก็ว่างจริง! ไม่มีสำนักเซวียนหยวนร่วมงานชุมนุมปักบุปผา ยังเรียกงานชุมนุมปักบุปผาหรือ” 

 

 

เสวียนจีได้ยินเสียงไม่ประหลาดแต่ก็รู้สึกคุ้นหู นางและมกรรีบมองลงไปด้านล่างเวที เห็นเพียงลานประลองวุ่นวายไปหมด หลายคนถอดเสื้อตัวนอกออก เผยให้เห็นชุดดำ ที่เอวแขวนห่วงเหล็กขาว คนที่พูดคนนั้นหน้าตาออกสีม่วงคล้ำ เป็นนักพรตจู้สือ เจ้าสำนักเซวียนหยวน เวรยามเกาะฝูอวี้คิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้ที่ปลอมตัวเข้ามาถึงกับเป็นคนสำนักเซวียนหยวน ยามนั้นจึงวุ่นวายกันราวหม้อโจ๊ก ชักกระบี่ออกมาก็มี ยืนอึ้งกับที่ก็มี 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] สัตว์ลึกลับในตำนาน ร่างเป็นแพะหน้าเป็นคน