“ทุกคนหยุด!” ตงฟางชิงฉีบนเวทีสูงตะโกนดังขึ้น ศิษย์เกาะฝูอวี้พากันเก็บกระบี่ แต่ก็ยังล้อมพวกสำนักเซวียนหยวนเอาไว้ กลัวว่าพวกเขาจะลงมือ เขาเห็นว่าลานประลองยุทธ์เต็มไปด้วยศิษย์สำนักเซวียนหยวน ก็อดตกใจไม่ได้ รู้สึกผิดที่ภายหลังผ่อนคลายความเข้มงวดลง แต่ไม่ว่าผ่อนคลายเป็นอย่างไรก็ไม่ควรมีคนต้องสงสัยมากมายเพียงนี้ในเวลาฉับพลันเช่นนี้ หรือว่าบนเกาะมีไส้ศึก
“เจ้าสำนักจู้สือ สำนักท่านมาช้าไปก้าว และไม่ได้ส่งสมุดรายชื่อศิษย์ งานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้เกรงแต่ว่าคงไม่มีชื่อคนสำนักเซวียนหยวนแล้ว” เขากล่าวน้ำเสียงนิ่ง ไม่เปิดโปงที่พวกเขาร่วมมือกับมารปีศาจ
นักพรตจู้สือยิ้มกล่าวว่า “ไร้เหตุผลสิ้นดี! งานชุมนุมปักบุปผาไม่ใช่เจ้าครองคนเดียว! ห้าสำนักใหญ่ใต้หล้าร่วมกันจัดงาน จะขับสำนักเซวียนหยวนออกได้อย่างไร!”
“เจ้าสำนักจู้สือกล่าวผิดไปแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาขัดขึ้น ทุกคนเงยหน้ามองไปยังฉู่เหล่ยผู้มีสีหน้าเรียบเฉยที่ยืนอยู่ข้างตงฟางชิงฉี
“อ๋อ? เจ้าสำนักฉู่มีข้อคิดเห็น?” นักพรตจู้สือกล่าวเสียงนิ่ง
ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ใต้หล้าสี่สำนัก พวกเราเป็นพวกสำนักบำเพ็ญเซียนปกติ ไหนเลยกล้าร่วมเป็นห้าสำนักใหญ่กับสำนักเซวียนหยวน!” เขากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร พวกสมองนิ่มก็ฟังออก แต่ไรมาฉู่เหล่ยไม่จอมปลอมและวกวนอ้อมค้อม วาจาดูแคลนไม่ปิดบังแม้แต่น้อย นักพรตจู้สือในยามนั้นสีหน้าเก้กัง หากเยาะกล่าวว่า “ไม่เจอกันนานวัน เจ้าสำนักฉู่ล้อเล่นเป็นแล้วสินะ ฮา ฮา! ฮา ฮา!”
ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “ล้อเล่นนั้นคงไม่ แต่ปีนี้งานชุมนุมปักบุปผาไร้รายชื่อสำนักเซวียนหยวน วันหน้าก็ย่อมไม่มี! ทุกท่านหากต้องการชมก็เชิญ หากคิดมาก่อกวน เราสี่สำนักใหญ่ไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!”
วาจานี้กล่าวจบ ทั่วลานพลันเงียบราวป่าช้า เสวียนจีเห็นบรรยากาศไม่ได้การ รีบหันไปผลักเจ้าหุบเขาหรง ร้องดังขึ้นว่า “เจ้าหุบเขาหรง! ฟื้นเร็ว! คนสำนักเซวียนหยวนมาก่อเรื่องแล้ว!” เรียกดังอย่างไรเขาก็ไม่ตอบสนอง เสวียนจีไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่จับเขาแบกขึ้นหลังกำลังจะโดดลงจากเสาศิลาเวที ก็พลันได้ยินด้านล่างมีคนตะโกนเรียกชื่อนางดังมาก “เสวียนจี! เจ้ายังดีอยู่ไหม” นางก้มหน้าลงมองเห็นเป็นพวกอวี่ซือเฟิ่ง พากันเหินกระบี่ขึ้นมา หลิ่วอี้ฮวนเองก็คว้าเก้าอี้เข็นถิงหนูแบกขึ้นบ่ามาท่าทางเป็นห่วงอย่างเกินเลยไปมาก สองเท้าเหยียบอยู่บนกระบี่แคบๆ เหินโงนเงนขึ้นมา
พออวี่ซือเฟิ่งขึ้นมาบนเวทีได้ก็รีบดึงนางมาเบื้องหน้า ตรวจรอยบาดเจ็บตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นนางไม่บาดเจ็บอะไรหนักหนาก็อดถอนใจคลายกังวลไม่ได้ ถอนใจกล่าวว่า “คนผู้นั้นร้ายกาจมาก!” หลิงหลงน้ำตานองหน้า โผเข้ากอดคอนางไว้ ตะโกนดังขึ้นว่า “พวกเราอยู่ข้างล่างร้อนใจแทบตาย! เห็นคนผู้นั้นปล่อยสัตว์ประหลาดออกมา พวกเราตั้งใจขึ้นมาช่วยเจ้า แต่ท่านพ่อกับท่านอาตงฟางไม่อนุญาต บอกว่าการประลองยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ! สู้กันจนขั้นนี้แล้ว จะมีผลแพ้ชนะไรกัน? หรือว่าต้องให้พวกเรามองดูเจ้าโดนรังแกเฉยๆ กัน”
เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ ท่านพ่อทำได้ถูกต้อง หากพวกเจ้ายื่นมือเข้ามาก็จะบาดเจ็บได้! แม้แต่มกรก็รับมือเทาเที่ยไม่ได้…” นางหันกลับไปมองหลิ่วอี้ฮวนกับถิงหนูกำลังตรวจดูอาการบาดเจ็บให้มกร แผลเขาก็แล้วไปเถอะ เมื่อครู่เขาถูกเทาเที่ยกัดแขนสาหัสมาก เลิกแขนเสื้อขึ้นดู รอยแผลลึกถึงกระดูก แต่เขากลับไม่ร้องสักแอะ
“ข้าบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร!” มกรถูกสองคนตรวจตั้งแต่บนลงล่างอย่างละเอียดก็รำคาญแทบตาย กระชากแขนกลับมา บนพื้นนองไปด้วยเลือดกองโต ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “บาดเจ็บเช่นนี้ สัตว์เทพก็ต้องประมาณสามสี่วันจึงจะรักษาหายแต่บนเกาะยามนี้ดูท่าไม่ได้การแล้ว หากเจ้าดื้อดึงไม่ยอมรักษาอีก ถึงตอนนั้นคงได้เป็นตัวถ่วงเสวียนจี”
“ข้า?! ตัวถ่วงนาง?!” มกรชี้หน้าตนเอง ร้องประหลาดดังขึ้นว่า “เมื่อครู่ผู้ใดตัวถ่วงผู้ใด?!”
เสวียนจีเดินเข้าไปคว้าแขนเขาไว้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เอาน่า อย่าโวยวาย ข้าใส่ยาพันแผลให้เจ้าเอง แม้ว่าเจ้าว่าไม่เป็นไร แต่บาดแผลก็คงเจ็บไม่ใช่หรือ”
มกรแต่ไรก็ไม่ยอมคนบังคับ เห็นนางไม่ตะโกนใส่ตน ยามนั้นก็คำรามไม่ออก ยื่นแขนให้นางใส่ยาพันแผลตามสบายด้วยท่าทางเก้กังยิ่ง พลางบ่นไม่หยุด “ก็บอกพวกเจ้าแล้วว่าไม่เป็นไร…เรื่องมากจริง!”
เสวียนจีทำแผลให้เขาอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วจึงได้กล่าวว่า “สำนักเซวียนหยวนครั้งนี้มาก่อกวน ต้องมีแผนมาก่อนแน่ พวกเราไม่อาจมัวแต่อยู่ตรงนี้ แบกเจ้าหุบเขาหรงลงไปก่อนเถอะ” นางกล่าวจบก็มองอวี่ซือเฟิ่งที่กำลังมองลงไปด้านล่างเวที ไม่ตอบ อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “ซือเฟิ่ง? ทำไมหรือ”
เขาหันกลับไปกล่าวว่า “ไม่…ข้าเห็นอาจารย์…เมื่อครู่เขายังนั่งอยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว”
หลิงหลงโมโหกล่าวว่า “อาจารย์อะไร! คนตำหนักหลีเจ๋อเลวร้ายเช่นนี้ เจ้ายังเรียกเขาว่าอาจารย์?! จะว่าไปนะ เฮ่าเฟิ่งนั่นแท้จริงคือใครกัน เห็นชัดว่าต้องการชีวิตเสวียนจี! ข้าไม่ปล่อยเขาไว้แน่!”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่รู้เขาคือใคร…แต่ไรมาไม่เคยได้ยินชื่อนี้” เฮ่าเฟิ่ง เฮ่าเฟิ่ง…แม้ว่าเขาไม่เคยได้ยิน แต่…เหตุใด ในสัญชาติญาณเขารู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นเคยยิ่ง แท้จริงคือใครกันแน่ เขาหันกลับไปมอง เฮ่าเฟิ่งลงจากเวทีไปแล้ว ค่อยๆ เดินไปรวมตัวกับบรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ
เขาหันกลับมาเงียบๆ แบกเจ้าหุบเขาหรงไว้บนหลังกล่าวว่า “ลงไปกันก่อนเถอะ”
ทันทีที่กล่าวจบ ก็ได้ยินนักพรตจู้สือด้านล่างพลันหัวเราะดังขึ้น เสียงหัวเราะบาดหูมาก ราวกับเป็นเสียงอีกาหลายพันหมื่นตัวส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมกัน เสียงนั่นแว่วมาทำให้ในใจทุกคนรู้สึกเริ่มปวดปลาบขึ้นเล็กน้อย ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าสำนักจู้สือไยหัวเราะ”
นักพรตจู้สือยังคงหัวเราะ ก่อนจะกล่าวเสียงก้องดังว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ บุกงานชุมนุมปักบุปผาแล้ว! ดูสิว่าพวกเจ้าสี่สำนักใหญ่ร้ายกาจหรือว่าสำนักเซวียนหยวนเราร้ายกาจ!”
ทุกคนได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็ตกใจยิ่ง คิดไม่ถึงว่าสำนักเซวียนหยวน สำนักเดียวโดดเดี่ยวกล้าต่อกรกับสี่สำนักใหญ่ วาจาแข็งกร้าวตอนนี้ฟังแล้วดูเหลวไหลมาก นักพรตจู้สือน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ตั้งค่าย! พลิกฟ้า! มังกรเขียวประสาน หงส์แดงจูเชวี่ย!” วาจาจบลง บรรดาศิษย์ชุดดำในลานประลองยุทธ์ยามนั้นก็กระจายตัวออกอย่างมีระเบียบแบบแผน ยกกระบี่เดินไปมา สามคนเป็นหนึ่ง หรือไม่ก็ห้าคนเป็นหนึ่ง หมุนเวียนไปมา เปลี่ยนแปลงยากคาดเดา จากข้างบนมองลงไป รู้สึกเพียงแค่จุดดำไม่รู้เท่าไรไปซ้ายทีขวาที พลันบนทีล่างที เดาแนวทางการเปลี่ยนแปลงไม่ออก
ทุกคนรู้ในใจว่าเป็นยุทธ์วิธีสังหารที่ร้ายกาจที่สุดของสำนักเซวียนหยวน ศิษย์พวกเขาสู้ตัวต่อตัว ความสามารถอาจไม่สู้สำนักอื่น ทว่าสำนักเซวียนหยวนเน้นเรื่องยุทธวิธี มักจะสิบกว่าคนรวมเป็นค่ายกลหนึ่งกระบี่ อานุภาพร้ายกาจเหลือคณา หากมีเกินร้อยคน เช่นนั้นก็เป็นค่ายกระบี่ใหญ่ อานุภาพสังหารก็ยิ่งใหญ่ตาม หากไม่ระวังตกในวงล้อมค่ายกระบี่ แม้ความสามารถเทียมฟ้าก็ยากหลุดรอดออกมาได้ สุดท้ายก็จะถูกสังหารโดยกระบี่ ตอนนี้ศิษย์สำนักเซวียนหยวนบนเกาะฝูอวี้นับดูก็หลายร้อยคนแล้ว ค่ายกระบี่ตั้งเสร็จ มีศิษย์เกาะฝูอวี้ที่วู่วามหลายคนถูกสังหารในวงล้อมแล้ว วงล้อมคนชุดดำพลันขยายวง จากข้างบนมองลงไป เห็นเพียงศิษย์เกาะฝูอวี้ชุดขาววงนอกอยู่ๆ ก็ถูกวงล้อมดำใหญ่กว่าเข้าม้วนรอบอย่างน่าแปลก พริบตาก็ค่อยๆ กลืนหายไป
ตงฟางชิงฉีเห็นสถานการณ์ไม่ได้การแล้ว ก็รีบตะโกนดังขึ้นว่า “อย่าเข้าใกล้ค่ายกระบี่! ถอยออกมาให้หมด! ถอย!” ดีที่ค่ายกระบี่นั่นมีความสามารถมากที่สุดก็แค่ล้อม ไม่ใช่โจมตี ขอเพียงไม่เข้าใกล้พวกเขาก็ไม่บาดเจ็บ
นักพรตจู้สือยิ้มชั่วร้ายกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าไม่โจมตีพวกเราก็ไม่เป็นไร?” เขายกข้อมือขวาขึ้นทันที ในมือกุมธงคำสั่งสีแดงสดไว้ผืนหนึ่ง น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เต่าดำอุดรแปลงเสือขาวประจิม[1]! ดาวจิ้งจอกเชษฐะแปลงดาวกระต่ายอนุราธะ[2]!” พลันเห็นค่ายกลเริ่มเปลี่ยนนูนขึ้น พื้นที่ราบมีคนชุดดำมากมาย เหินกระบี่ขึ้นท้องฟ้า แต่ละคนในมือลากหน้าไม้เหล็กขนาดใหญ่กระจายตัวออก เสียงดังรอบทิศ พริบตาก็ไม่รู้ยิงลูกดอกหน้าไม้เหล็กออกมามากมายเท่าไร รอบทิศกระจัดกระจาย พลันมีเสียงดังโหยหวนขึ้นจากสนามประลอง ไม่รู้คนโดนยิงกันไปเท่าไร
หลายคนบนเวทีประลองมองเห็นลูกดอกเหล็กสิบกว่าดอกยิงขึ้นมา แม้ว่ากำลังน้อย แต่ก็มาอย่างเร็ว เห็นชัดว่าเป็นอาวุธที่คมมาก จึงยกกระบี่สะบัดทิ้ง หลิงหลงเก็บลูกดอกได้หลายลูก ร้องดังขึ้นว่า “ซือเฟิ่ง เอาหนังสติ๊กเจ้ามาหน่อย! พวกเรายิงคืน!”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นลูกดอกยาวราวข้อมือก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ใช้ไม่ได้ หนังสติ๊กยิงไม่ไหว ต้องใช้หน้าไม้จึงจะได้” คำพูดหลิงหลงทำให้เขาได้สติ รีบควักเอาลูกเหล็กออกมา ยกหนังสติ๊กยิงยิงออกไปกำหนึ่ง เดิมคิดว่าอย่างน้อยคงโดนเข้าสักสามสี่คน ผู้ใดจะรู้ว่าค่ายกลนั่นแยบยลมาก ไม่ทันจะยิงโดน ตำแหน่งก็พลันเปลี่ยน ทั้งกำปักลงพื้นหมด
พวกหลิงหลงก็พากันปาลูกดอกกลับคืนไปก็ไร้ประโยชน์ พลันได้ยินตงฟางชิงฉีตวาดว่า “ตั้งค่ายกล! ยิงธนู!” หอไม้โดยรอบก็มีเสียงดังครืน ศิษย์เกาะฝูอวี้ที่จัดตำแหน่งไว้ก่อนหน้าก็เรียงแถวขึ้นน้าวสายธนู พอมีคำสั่ง ลูกธนูก็พุ่งแหวกอากาศไปพร้อมกัน ลูกธนูนับไม่ถ้วนยิ่งไปยังค่ายกระบี่บนลานประลอง เสียงดังก้องนี้คาดว่าน่าจะยิงคนปักพื้นได้ครึ่งหนึ่ง
ได้ยินเสียงนักพรตจู้สือดังแหบพร่าขึ้นว่า “สายฟ้าล่างห้า วายุบนสาม!” ค่ายกระบี่พลันรวมตัวกัน ศิษย์ชุดดำมากมายเหินลอยขึ้น แสงกระบี่แสงลูกธนูกระทบกันก่อประกายไฟไปทั่ว พริบตา จบลงที่แทงปักคนตายไปสิบกว่าคน ลูกธนูมากมายถูกค่ายกระบี่ฟันหัก ทุกคนมองธนูราวห่าฝนไม่มีผลต่อพวกเขา ก็อดรู้สึกหนาวเหน็บในใจไม่ได้
นักพรตจู้สือหัวเราะเหอะๆ กล่าวว่า “จะทำให้พวกเจ้าไร้ที่หลบซ่อน! ดาวมังกรจิตราแปลงดาวมังกรสวาติ[3]!” ค่ายกระบี่พลันแยกตัวบนล่าง คนชุดดำมากมายเหินกระบี่ขึ้น ก่อนจะลากดึงหน้าไม้เหล็กออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่ลูกดอกเหล็ก หากเป็นธนูไฟลุกโชน ตงฟางชิงฉีแอบร้องว่าไม่ได้การแล้ว หันกลับไปตะโกนดัง “รีบไปจากที่นี่!” วาจาไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงฉึกๆ ดังนับไม่ถ้วน ลูกธนูไฟนับไม่ถ้วนยิงมาหนาแน่น แม้ไม่ทำให้ใครบาดเจ็บ แต่ก็ทำให้หอไม้โดยรอบไหม้ ไม้โดนไฟก็ย่อมลุกไหม้ ยิงมานับไม่ถ้วนเช่นนี้ หอไม้ใหญ่โดยรอบในยามนั้นก็ติดไฟกลายเป็นหอเพลิง เปลวไฟลุกโชน ศิษย์แต่ละสำนักที่หนีไม่ทันก็ส่งเสียงร้องดังโหยหวน บ้างก็เหินกระบี่ขึ้น บ้างก็ตกใจโดดลงจากหอไม้ ล้วนถูกลูกดอกเหล็กยิงตายทีละคน
นักพรตจู้สือหัวเราะบ้าคลั่ง “เป็นอย่างไรบ้าง? พวกเจ้าสี่สำนักยังไม่ยอมแพ้? เจ้าเกาะตงฟาง! วันนี้จะเผาเกาะฝูอวี้เจ้าเสียเลย! สี่สำนักใหญ่ ผู้ใดก็อย่าคิดหนี!”
ตงฟางชิงฉีกำลังจะตอบ พลันได้ยินเสียง ฟิ้ว เสียงดังก้องกลางท้องฟ้า ดอกไม้เพลิงสีแดงสดยิงขึ้นท้องฟ้า สวยสดงดงาม ก่อนจะกระจายออกเป็นรอยเลือด สีหน้าเขาแปรเปลี่ยน หลุดร้องออกมาว่า “ประตูหน้าแตกแล้ว!”
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากประตูหน้า มารปีศาจชุดดำมากมายทะลักเข้ามาราวสายน้ำ ฝ่าเวรยามหน้าประตูบุกเข้ามา ยามนี้เหตุการณ์รุนแรงอย่างที่ผู้ใดก็คาดไม่ถึง ตงฟางชิงฉีแทบพูดไม่ออก ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อาวุโสทุกท่าน สี่สำนักใหญ่แยกกันจัดการ! สำนักเส้าหยางจัดการศัตรูประตูหน้า พี่ชิงฉีคุ้นเคยสภาพพื้นที่เกาะฝูอวี้ พาศิษย์ได้รับบาดเจ็บไปหาที่ปลอดภัยก่อน! ขอผู้อาวุโสหุบเขาเตี่ยนจิงทุกท่านรักษาบริเวณโดยรอบนี้ สังหารมารปีศาจที่เล็ดรอด ค่ายกระบี่แข็งแกร่งเกินไป อย่าได้เข้าปะทะโดยตรงเด็ดขาด!”
ทุกคนกำลังตกใจจิตใจสับสน เห็นเขานิ่งสงบเช่นนี้ก็พากันทำตามคำสั่ง ไม่ร้อนรน ไม่แตกตื่น พากันพยักหน้ารับคำ ฉู่เหล่ยกล่าวอีกว่า “ขอเจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อแจ้งสามพรรค เกาะฝูอวี้เกิดภัย!” ที่แท้บนเกาะส่วนใหญ่ก็คือศิษย์ที่เข้าร่วมประลอง ไม่อาจนำพาศิษย์ทั้งสำนักมาได้ ศิษย์อาวุโสส่วนใหญ่ก็จะเฝ้าอยู่ที่สำนักตน ไปแจ้งข่าวพวกเขาเพื่อขอความช่วยเหลือด่วน
ผู้ใดจะรู้ว่าเขาพูดสองรอบ ตำหนักหลีเจ๋อก็ไม่มีคนตอบ หันกลับไปมอง เห็นคนตำหนักหลีเจ๋อต่างไปรวมกันอีกมุมหนึ่งไม่ขยับ เจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนักไม่รู้ไปไหน ฉู่เหล่ยตกใจถามขึ้น “เจ้าตำหนักพวกเจ้าล่ะ?!” ผู้ใดจะรู้ว่าไม่มีคนตอบเขา บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อราวกับไม่ได้ยิน
สถานการณ์คับขัน ทุกคนไม่อาจสนใจศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อน่าประหลาดพวกนี้ ได้แต่ละทิ้งความคิดที่จะขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากพวกเขา แบ่งกำลังคนกันเอง ทำหน้าที่ตนเองไป พลันได้ยินนักพรตจู้สือหัวเราะดังกล่าวว่า “เจ้าพวกหนูตัวน้อยๆ! จะสอนให้พวกเจ้ารู้ความร้ายกาจเสียบ้าง!”
วาจากล่าวจบ ก็ได้ยินเสียง บึ้ม บึ้ม ดังนับไม่ถ้วน ค่ายกระบี่ปล่อยพลุออกไปมากมาย ทะยานพุ่งขึ้นท้องฟ้า ควันเขียวตลบอบอวลไปทั่ว ทุกคนยังไม่เข้าใจว่าต้องการอะไร พลันรู้สึกใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือน ยืนไม่อยู่ แม้แต่ฉู่เหล่ยเองก็โงนเงนเกือบล้ม ตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือนที่ถึงกับรุนแรงยิ่งขึ้น ราวกับมือยักษ์คว้าเอาเกาะน้อยๆ นี้เอาไว้เขย่าไปมาอย่างแรง แม้แต่เสาศิลาบนเวทีก็ยืนไม่อยู่ หลิงหลงลื่นไถลร่วง จงหมิ่นเหยียนรีบเหินไปประคองนางไว้ ค่ายกระบี่ยักษ์บนลานประลองถูกแรงสั่นสะเทือนทำลายค่ายที่เรียงตัวกัน รอบทิศเสียงก้องกัมปนาท ลมพัดหอบฝุ่นตลบบ้าคลั่ง ม้วนหอบทุกสิ่ง กระแสลมหมุนวนไปมาทันที ทุกอย่างราวกับโดนลมเป่าเข้าอย่างจัง
[1] 28 ดาวนักษัตรแบบจีนแบ่งออกเป็นสี่ทิศ ทิศละ 7 ดวง แต่ละดวงมีภาพเป็นสัตว์เทพต่างๆ
[2] ชื่อดาวใน 28 ดาวนักษัตรแบบจีน
[3] ชื่อดาวใน 28 ดาวนักษัตรแบบจีน