สี่ทิศเกาะฝูอวี้ล้อมด้วยทะเล การวางระเบิดบนเกาะเห็นชัดว่าต้องการฆ่าตัวตาย ทันทีที่เกาะระเบิดแยกออก ทุกคนก็คงได้แต่ถูกทะเลกว้างกลืนกินจบชีวิต แม้เหินกระบี่ได้ แต่คนไม่อาจลอดผ่านแหกระบี่ด้านบนเกาะฝูอวี้ได้ ผู้ใดจะคิดว่าแหกระบี่ที่มีอานุภาพป้องกันแข็งแกร่งนี้ สุดท้ายจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้เป็นจุดจบของทุกคน ตอนนี้ทุกคนบนเกาะก็เหมือนกับมดที่ถูกอัดลงขวดแก้ว ยามนี้หากไม่รีบสังหารศัตรูก็คงได้แต่รอความตายสถานเดียว
ฉู่เหล่ยทั้งตกใจทั้งโมโห น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าบ้าไปแล้ว! ถึงกับฝังระเบิด?! เจ้ารู้ไหมทันทีที่เกาะฝูอวี้ระเบิด พวกเจ้าเองก็ตาย?!”
นักพรตจู้สือหัวเราะเสียงแหบพร่ากล่าวว่า “ทุกคนตายด้วยกันหมดก็สะใจดี!” ทุกคนมองใบหน้าบิดเบี้ยวของเขา สองตาแดงก่ำฉายแววน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ก็อดตกใจไม่ได้ ฉู่อิ่งหงพลันตะโกนดังขึ้นว่า “ถุย! สำนักเซวียนหยวนรักตัวกลัวตาย สุนัขสุกรก็ไม่ปาน! หากพวกเจ้ายังมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ทำไมไม่เป็นแกนนำไปรับมือมารปีศาจ?!”
นักพรตจู้สือไม่สนใจแม้แต่น้อย เอาแต่ยิ้มชั่วร้ายกล่าวว่า “เจ้าหอฉู่ ข้าจำได้ว่าปากคอเจ้าเราะราย ไม่ต้องมาใช้วิธีการยั่วยุข้า สำนักเซวียนหยวนของข้าถูกทำลาย ก็ต้องลากสี่สำนักที่เหลือให้ตายตกตามกันไปด้วย มีเพียงพวกเราถูกทำลายไปด้วยกัน ถึงจะทำใจยอมรับได้!”
ที่แท้ความหมายของเขาก็คือ เพราะโซ่หมุดทะเล สำนักเซวียนหยวนถูกอูถงบีบ ไม่ยอมทำตามจึงถูกทำลาย สำนักเซวียนหยวนไม่อาจทนรับว่าสำนักตนเองถูกทำลายสำนักเดียว ดังนั้นจึงร่วมมือกับมารปีศาจ ออกเป็นแนวหน้าให้พวกเขา อย่างไรก็ต้องตาย ทุกคนก็ตายด้วยกัน อย่างไรก็ดีกว่าพวกเขาตายฝ่ายเดียว ความคิดนี้ช่างชั่วร้ายเลวทรามต่ำช้ายิ่งนัก ทำเอาทุกคนได้แต่อ้าปากมองตาค้าง ฉู่อิ่งหงถูกวาจาเขาตอกกลับ ถึงกับไม่รู้ควรกล่าวอันใดต่อ
นักพรตจู้สือกล่าวอีกว่า “พวกเจ้าคิดว่าสำนักเซวียนหยวนกลัวตาย? ผิดแล้ว! ผิดมหันต์! พวกเรากลัวแค่ตายคนเดียว ตอนนี้ทุกคนร่วมหัวจมท้าย! เช่นนี้จึงเรียกว่าสะใจ!”
ฉู่เหล่ยมองเกาะฝูอวี้สะเทือนไหว เห็นชัดว่าแรงระเบิดเมื่อครู่ยังคงอยู่ ดีที่ตัวฐานเกาะแน่นหนา ไม่ได้มีทีท่าจะแตกออกในทันที เขาไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับสำนักเซวียนหยวนอย่างไร้ประโยชน์อีก จึงสั่งให้ทุกคนในสำนักเส้าหยางไปต้านศัตรูที่หน้าประตูใหญ่
ผู้ใดจะรู้ว่านักพรตจู้สือกล่าวอีกว่า “ทำอะไรก็ไร้ประโยชน์ พวกเจ้ารอความตายอย่างสงบดีกว่า! วันนี้ห้าเจ้าสำนักใหญ่ใต้หล้าจบชีวิตกลางท้องทะเล ทุกคนเป็นอาหารให้ปลากุ้ง ผู้ใดก็อย่าได้ดูแคลนผู้ใด!”
วาจากล่าวจบ พลันฉู่เหล่ยได้ยินเสียงเย็นเยียบกล่าวจากด้านหลังว่า “ผู้ใดว่าคนห้าสำนักใหญ่จะตายเป็นอาหารปลาเป็นเพื่อนเจ้ากัน มีแต่พวกเจ้าสี่สำนักเท่านั้น!” ฉู่เหล่ยพลันสะดุ้งรีบหันกลับไป รู้สึกเพียงแค่แสงเย็นเยียบเบื้องหน้า พริบตากระบี่ก็แทงมาตรงหน้า เขาสะอึกถอยหลัง กระบี่แทงผ่านคางเขาไป แต่ความคมก็ยังตัดเอาเคราไปแถบหนึ่ง ฉู่อิ่งหง เหอหยาง อาวุโสเหิงซง อาวุโสเจียง ตงฟางชิงฉีข้างๆ หลายสิบคนต่างพากันชักกระบี่ฟันใส่คนผู้นั้น
เบื้องหน้าพลันมีแสงทองเจิดจ้าส่องประกาย ทุกคนรู้สึกเพียงแค่แสบตามาก ไม่อาจไม่กุมปิดใบหน้าถอยหลังไปหลายก้าวได้ ตามมาด้วยแรงกระแทกด้านหน้า ถึงกับไร้แรงต้านทาน กระแทกบรรดาอาวุโสหลายสำนักปลิวกระดอนไป อาวุโสเหิงซงฝืนลืมตาท่ามกลางแสงทอง เห็นปีกทองคำยักษ์คู่หนึ่งสยายปีก ปีกนั่นไม่เหมือนกับปีกนกทั่วไป ปลายปีกมีก้านปีกแยกหกก้าน ทั้งยาวและหนา แต่ละปีกราวกับหลอมด้วยทองคำ ไม่มีรอยตำหนิแม้แต่น้อย กระพือเบาๆ กลางท้องฟ้า งดงามทำให้คนแทบลืมหายใจ
ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งท่ามกลางแสงทอง รูปรางสูงสง่า เพียงแต่มองไม่เห็นใบหน้า ปีกทองยักษ์สองปีกด้านหลังเขากระพือเบาๆ เงยหน้าส่งเสียงร้องเพลง น้ำเสียงราวฤดูใบไม้ผลิแรกแยมแย้มนุ่มละมุนละไม ราวกับเสียงร้องพร้อมกันของนกเฟิ่งหวงในหุบเขาคุนหลุน ราวกับเสียงร้องเพลงคลอของเงือกในทะเล สุดท้ายค่อยๆ เริ่มแหลมแสบแก้วหูดุดัน ทำเอาคนตกใจตัวสั่น เสียดลึกถึงกระดูกราวกับถูกหลอม แรงพอจะทำให้โลหะและก้อนหินปริแตก
ฉู่เหล่ยกัดฟันยกกระบี่เข้าโจมตี ได้ยินเสียงคนตะโกนดังว่า “เจ้าสำนักฉู่อย่าวู่วาม! รีบหลบเร็ว!” ทุกคนได้ยินคนผู้นั้นตะโกนอย่างตกใจ อดรับคำพร้อมกันไม่ได้ เห็นอวี่ซือเฟิ่งเหินกระบี่ลงมาจากบนเวทีประลองอย่างรวดเร็ว สีหน้าเขาซีดเผือด เหอหยางร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าลงมาทำไม?! รีบพาพวกเสวียนจีไปหลบให้ดี!”
อวี่ซือเฟิ่งน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ไม่! ไม่…ทุกท่านถอยไป! นั่นคือมารปีศาจ…อันตรายมาก! มนุษย์ธรรมดาไม่ใช่คู่ต่อสู้!”
ทุกคนมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ เห็นชัดว่าร้อนใจอย่างที่สุด แต่ก็ราวกับเหมือนกำลังหวาดกลัว ต่างรู้สึกไม่เข้าใจ พลันมีลมพัดหอบขึ้น บีบให้พวกเขาถอยหลังไปหลายก้าว ปีกทองคำยักษ์คู่นั่นพลันกระพือสองปีกขึ้น ค่อยๆ ตีร่างอาวุโสเจียง สีหน้าเขาแปรเปลี่ยน ส่งเสียงร้องดังเจ็บปวด พ่นโลหิตออกมาทันที ก่อนจะกระเด็นออกไปตกลงในค่ายกระบี่สำนักเซวียนหยวนที่ไกลออกไป พริบตาก็ถูกศิษย์ชุดดำกลบมิด
ทุกคนเห็นเขาร้ายกาจเพียงนี้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเห็น ก็พากันตกตะลึง เห็นปีกนั้นยังมุ่งไปทางฉู่เหล่ย อวี่ซือเฟิ่งพุ่งกายลงไปผลักฉู่เหล่ยออกเต็มแรง ปีกทองงดงามผืนนั้นก็ค่อยๆ วาดผ่านแผ่นหลังเขาไป พวกฉู่เหล่ยทั้งสามในยามนั้นตกใจ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาเพียงยืนโงนเงนวูบหนึ่งก่อนโลหิตไหลออกจากมุมปาก เงยหน้าสายตาลุกโชนมองพวกเขา กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “รีบไปเร็ว!”
ฉู่อิ่งหงว่องไวสุด คว้าตัวเหอหยางกับฉู่เหล่ยหันหลังวิ่งทันที พลางตะโกนว่า “อาวุโสเหิงซง! เจ้าเกาะ! ไปจากที่นี่กันก่อน! ไปจัดการกันมารปีศาจหน้าประตู!”
คนเหล่านั้นจึงได้สติรีบลุกขึ้นวิ่ง ได้ยินเสียงจากในเงาลึกของแสงทองดังมา คนผู้นั้นกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ซือเฟิ่ง เจ้านับวันยิ่งไม่เชื่อฟังแล้ว!” อวี่ซือเฟิ่งร้องเรียกเสียงสั่นขึ้นเสียงหนึ่ง “อาจารย์!…” มองไม่เห็นด้านหลังอีก ทุกคนต่างหวาดกลัวและตกใจ อวี่ซือเฟิ่งเรียกเขาว่าอาจารย์ หรือว่าคนผู้นั้นคือเจ้าตำหนักหลีเจ๋อ?! เจ้าตำหนักหลีเจ๋อทำไมมีปีกงอก? ทำไมเป็นมารปีศาจ?!
ในเวลากระชั้นชิด ไม่อาจมีเวลาให้พวกเขาได้คิดนานนัก ยามนั้นได้แต่นำพาศิษย์ตนไปสกัดมารปีศาจที่ทะลักเข้ามาทางหน้าประตูใหญ่ สองฝ่ายยกกำลังปะทะกัน อาวุธโรมรันส่งเสียงดังไม่หยุด แสงกระบี่พุ่งทะยานทั่วทิศ พวกฉู่เหล่ยเห็นมารปีศาจที่มาไม่ได้มีความสามารถเท่าไร ต่อสู้กันพักหนึ่งก็พบว่า พวกเขาไม่ใช่มารปีศาจอะไร ล้วนเป็นคนสำนักเซวียนหยวน! เป็นอุบายอูถงดังคาด ไม่ต้องใช้คนตัวเอง ให้พวกเขาฆ่าฟันกันเอง!
แม้ทุกคนในสำนักเซวียนหยวนไม่ยากรับมือ แต่พวกเขากรูกันมา คนทั้งสำนักออกโรง ศิษย์เฝ้าประตูหน้าทั้งหมดถูกสังหาร แม้แต่หมู่บ้านฝูอวี้ก็ถูกกวาดล้างราบคาบ คนแต่ละสำนักที่เดิมมาชมงานชุมนุมปักบุปผาบ้างก็หนีออกไปไม่ทัน ถูกค่ายกระบี่สำนักเซวียนหยวนแทงตาย ที่เหลือไร้ที่หลบ ได้แต่ตามพวกฉู่เหล่ยตีฝ่าวงล้อมออกไป
ฉู่เหล่ยตวัดกระบี่ฟันใส่ศิษย์สำนักเซวียนหยวนสามสี่คนที่ปรี่เข้ามา ในสมองพลันมีความคิดผุดขึ้นมา เข้าใจถึงที่มาที่ไปของแผนการร้ายนี้แล้ว วันนั้นจงหมิ่นเหยียนเห็นมารปีศาจปลอมตัวเป็นฉู่เหล่ย ต่อมาอวี่ซือเฟิ่งยังว่าวันนั้นตอนบ่ายมีคนปลอมเป็นตนเองนำบรรดาศิษย์ใหม่เข้ามา ตงฟางชิงฉีบนเกาะจึงได้จัดคนออกตรวจ มีช่องโหว่หนึ่งที่พวกเขาต่างคิดไม่ถึง อีกฝ่ายสังหารศิษย์เกาะฝูอวี้ โยนศพลงทะเล ตนเองปลอมตัวเป็นศิษย์เกาะฝูอวี้ ดังนั้นวันนั้นแม้ว่าพวกเขาทำร้ายมารปีศาจแปลงกายได้ตนนั้นบาดเจ็บ แต่จริงๆ แล้วแค่รับมือเขาคนเดียว ที่เหลือถูกเขาส่งขึ้นเกาะฝูอวี้มาอย่างยากตรวจพบ!
พรรคพวกมารปีศาจต้องแอบเคลื่อนไหวฝังระเบิดบนเกาะ คิดว่าระหว่างนี้ต้องมีการแอบนำคนขึ้นเกาะมากมาย ให้พวกสำนักเซวียนหยวนปลอมตัวเข้ามาเป็นศิษย์ดูแลแขกที่หมู่บ้านฝูอวี้! พวกเขาคิดกันไปเองว่านอกจากเป็นปีศาจปลอมตัวแล้วก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว ถึงกับเป็นความผิดมหันต์ พวกเขาประมาทเกินไป ผู้ใดก็ไม่ทันคิดถึงเรื่องราวเล็กๆ ตอนบ่ายวันนั้นที่อวี่ซือเฟิ่งได้ยินมา
จากนั้นที่ทำให้คิดไม่ถึงก็คือ ตำหนักหลีเจ๋อถึงกับคิดการไม่ซื่อ! หรือว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับอูถงและพวกเดียวกับมารปีศาจนั่น? ไม่ ไม่…หรือว่าพวกเขาเดิมก็เป็นมารปีศาจ?! คิดถึงบนหลังเจ้าตำหนักนั่นมีปีกทองน่ากลัวแล้ว ฉู่เหล่ยอดหลั่งเหงื่อเย็นไม่ได้ ทุกอย่างล้วนเป็นตำหนักหลีเจ๋อแอบวางแผน? สำนักเซวียนหยวนก็แค่หมากในมือพวกเขา?
ในเมื่อพวกเขาเป็นมารปีศาจ มีพลังปีศาจมากมาย เหตุใดจึงแปลงร่างเป็นคน เก็บงำกลิ่นอายปีศาจ ยอมทำตัวสงบเสงี่ยมเป็นพวกสำนักบำเพ็ญเซียนมาหลายปี?
คำถามพวกนี้ฉู่เหล่ยคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ตอนนี้ไม่เหมาะกับการคิดมากมาย เห็นศิษย์สำนักเซวียนหยวนทะลักขึ้นเกาะมายิ่งมาก พวกเขาสามสำนักก็เริ่มรับมือไม่ไหว พวกเขามีแต่ศิษย์อายุน้อยในวัยร่วมงานชุมนุมปักบุปผา เดิมก็มิได้มีพลังวัตรลึกล้ำ ล้วนอาศัยกำลังบรรดาอาวุโสของแต่ละสำนักจึงยันมาถึงตอนนี้ได้ ฉู่เหล่ยเห็นศิษย์คนโตตู้หมิ่นหังรับมือพวกเขายังพอไหว พวกรุ่นอักษรหมิ่นทั้งเจ้าสามเจ้าสี่ก็ล้วนเริ่มอ่อนแรง อดร้อนใจขึ้นมาไม่ได้
พลันได้ยินนักพรตจู้สือตะโกนดัง ในมือสะบัดธงคำสั่งสีต่างๆ ศิษย์สำนักเซวียนหยวนที่ขึ้นเกาะมาก็กระจายตัวออก พอถูกเขาตวาดด่าไปสองสามคำ ก็เรียงแถวกันใหม่อย่างเป็นระเบียบ เสียงเอะอะดังไม่นานก็ล้อมพวกฉู่เหล่ยไว้ แย่แล้ว! พวกเขาถูกค่ายกระบี่ล้อมแล้ว!
มีคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้นำพาสำนักตนเหินขึ้นแหวกค่ายกระบี่ซ้ายขวา ไม่นานก็ถูกค่ายกระบี่ตีพ่ายกระจัดกระจาย ถูกแทงร่วงลงพื้น เหอหยางรู้ความร้ายกาจดี กล่าวเสียงดังว่า “ทุกท่านอย่าลนลาน! รวมตัวกันไว้! หันหลังชนกัน อย่าแยกกัน!”
ทุกคนมารวมกัน มองไปรอบๆ เส้าหยางกับหุบเขาเตี่ยนจิงเหลือแค่ไม่ถึงห้าสิบคน ศิษย์เกาะฝูอวี้แม้ว่ามากแต่ถูกค่ายกระบี่ตีแตกกระจาย ยังมีคนตกไปตามที่ต่างๆ บนเกาะ แม้เข้ามาก็ถูกม้วนกลืนเข้าค่ายกระบี่ไป สำนักเซวียนหยวนมีหลายร้อยคน พวกเขาถูกล้อมในค่ายกระบี่เช่นนี้อันตรายยิ่ง ดีไม่ดีคงได้ตายกันหมดที่นี่ เหอหยางร้อนใจพยายามคิดหาทางรับมืออยู่นั้น พลันได้ยินด้านหลังมีเสียงคนหวีดร้องดัง หันไปมอง เห็นคนปีกทองยักษ์ลอยพลิ้วขึ้น ในมือคว้าคนไว้คนหนึ่ง คนผู้นั้นกำลังดิ้นรนไม่หยุด เป็นอวี่ซือเฟิ่ง