บทที่ 299 อย่าได้ออกมานอกรั้วสถาบันเด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินเค้นเสียงคำรามในลำคอ ยกมือขึ้นและกระแทกหมัดสวนกลับไป
เปรี้ยง!
มวลอากาศพริ้วไหวเป็นระลอกคลื่นรอบทิศทาง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงแรงปะทะที่กระแทกเข้ามา แล้วตัวของเขาก็เซถอยหลัง จนตกลงมาจากแท่นสังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือ
เซียวปิงลอยกระเด็นเหมือนติดสปริงไปด้านตรงข้าม
ความตกตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสอง
“ทำไมไอ้อ้วนมันถึงแรงเยอะแบบนี้เนี่ย?”
ในจังหวะที่หล่นลงมากลางอากาศ หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือออกไปจับสายข้างเสากระโดงเรือได้เส้นหนึ่ง เขาใช้มันดึงตัวเองขึ้น ก่อนจะหมุนตัวตรงเข้าไปหาเซียวปิง
“เขาแข็งแกร่งมากกว่าที่ข้าคิดอีกหรือนี่” เซียวปิงรู้สึกเจ็บปวดที่กำปั้นของตนเอง ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็คว้าเชือกเส้นหนึ่งและพุ่งตรงขึ้นไปหาหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
เสียงกำปั้นปะทะกันดังขึ้นในอากาศ
นี่คือการต่อสู้ด้วยหมัดลุ่นๆ
ทุกครั้งที่หมัดของพวกเขาปะทะกัน ในอากาศจะได้ยินเหมือนเสียงมวลพลังระเบิดตัว คลื่นอากาศเกิดความปั่นป่วน ทำให้ผู้ที่รับชมการถ่ายทอดสดเริ่มมองไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
สิ่งที่ทุกคนกำลังเห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนรางกำลังพัวพันกันอย่างดุดัน
เด็กหนุ่มทั้งสองคนต่างก็ต่อยหมัดออกมาหลายร้อยหมัด สุดท้ายก็ต้องทิ้งตัวกลับลงมายืนบนดาดฟ้าเรืออีกครั้ง เมื่อเท้าของพวกเขาสัมผัสพื้นดาดฟ้าเรือ มันก็ไม่ต่างกับมีก้อนหินใหญ่ยักษ์ถูกทิ้งลงมาจากกลางอากาศสองก้อน
เซียวปิงนวดกำปั้นของตนเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไม่คิดเลยนะว่ากระดูกของพี่ใหญ่หลินจะแข็งขนาดนี้”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า “กระดูกของข้ามันต้องแข็งอยู่แล้ว…”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนพลันขัดขึ้นมาทันทีว่า “พี่ชาย ข้ายังไม่ได้อนุญาตให้ท่านพูดสักหน่อย ท่านกลัวไม่ได้พูดหรืออย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุก พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขาจะต้องอัดไอ้อ้วนนี่ให้ได้
เด็กหนุ่มโถมกายออกไปด้วยความดุดันอีกครั้ง
เซียวปิงก็สวนหมัดกลับมาอย่างไม่กลัวเกรง
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้ต่างก็มีจิตใจตรงกัน พวกเขาไม่สนใจชักกระบี่ออกมาใช้งาน เพราะอยากจะใช้หมัดของตนเองเป็นสิ่งที่ตัดสินผลแพ้ชนะ
หมัดแลกหมัด ไม่มีใครยอมใคร
ผลั่ก!
หลินเป่ยเฉินเหวี่ยงหมัดออกไป
เซียวปิงซวนเซไปเล็กน้อย
พลังงานที่มองไม่เห็นพวยพุ่งออกมาจากสองหูของเด็กหนุ่มร่างอ้วน มันทำให้มวลอากาศในรัศมี 20 วาต้องปั่นป่วน และหากมีนกนางนวลที่ดวงซวยที่สุดบินผ่านมา พวกมันก็จะตัวระเบิดตายไปทันที!
พรึ่บ!
เซียวปิงกระโดดเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินใช้วิชาตัวเบาย่องหาโฉมสะคราญหลบหลีก
ด้านหลังของเขาในขณะนี้ มีนกนางนวลนับสิบตัวกำลังระเบิดตายพรึ่บพรั่บน่าสยดสยองอย่างยิ่ง
เจ้านกนางนวลที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ของไป๋ชินหยุนตัวสั่นเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า มันยกปีกขึ้นมาปิดตาของตนเอง …นี่คือภาพที่น่าสยองขวัญสำหรับมันยิ่งนัก
ทางด้านสมาชิกร่วมกลุ่มของเซียวปิงมีสีหน้าตกตะลึงและอยู่ในอาการหวาดกลัวยิ่งกว่าเจ้านกนางนวลของไป๋ชินหยุนเสียอีก
“ทำไมเจ้าอ้วนคนนี้… มันถึงได้เก่งแบบนี้นะ?” เด็กหนุ่มในกลุ่มคนหนึ่งพึมพำกับตัวเอง
ไป๋ชินหยุนหันไปมองและถามว่า “หมายความว่าอย่างไร? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าฝีมือที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“พวกเราไม่รู้เลย”
เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งตอบด้วยใบหน้าสับสน “พวกเราทั้งสี่คนต้องจ่ายเงิน 200 เหรียญทองคำเพื่อเป็นค่าเข้าร่วมกลุ่มให้แก่เขา เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเซียวปิงเป็นใครมาจากไหน”
“ว่าอย่างไรนะ?” มี่หรู่หยานอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “ที่พวกเจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้ ก็เพราะว่าจ่ายเงินเข้าร่วมกลุ่มอย่างนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มคนที่สามตอบโดยไม่ปิดบัง “ก็เจ้าอ้วนมีชื่อเป็นหนึ่งในสิบผู้เข้าแข่งขันรอบชิงธง เขามีสิทธิ์ที่จะรับใครเข้าร่วมกลุ่มก็ได้ ส่วนพวกเราสี่คนเป็นเศษเดนที่ไม่มีใครเอา การจ่าย 200 เหรียญทองคำเพื่อแลกประสบการณ์เข้าร่วมแข่งขันศึกชิงธง นับว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าอย่างยิ่งแล้ว”
ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงก้มหน้าลงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ
พฤติกรรมแบบนี้ทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆ จังเลยนะ
ถ้าพวกเขาไม่ได้มีสถานะเป็นเพื่อนสนิทของหลินเป่ยเฉิน ฮันปู้ฟู่แน่ใจว่าเจ้าแกะดำก็คงเก็บค่าสมาชิกเข้าร่วมกลุ่มเช่นกัน
อีกอย่าง ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินเป็นพวกหน้าเงินขนาดไหน
“พวกท่านพอจะบอกได้ไหมว่าใครจะเป็นผู้ชนะ?” สมาชิกคนสุดท้ายของเรือบดขยี้หลินเป่ยเฉินถามคำถามสำคัญออกมาในที่สุด
คำถามนั้นก่อให้เกิดการวิเคราะห์อย่างจริงจัง
เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้ง 8 คนเดินมายืนเกาะราวกั้นดาดฟ้าเรือบดขยี้หลินเป่ยเฉิน และจ้องมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนเรือร้านขายอัญมณีหลิวไค ซึ่งลอยลำอยู่ห่างออกไปประมาณ 30 วาเศษ
“ต่อยได้ดี”
“นั่นแหละ ฆ่ามันให้ได้”
“คุณชายหลิน หลบหมัดได้ยอดเยี่ยม”
“เจ้าหมูตอน รีบกลับบ้านไปกินนมแม่ได้แล้วไป”
เสียงตะโกนของทั้ง 8 คนดังสนั่นดาดฟ้าเรือ
“หืม? กินนมอย่างนั้นหรือ?”
ไป๋ชินหยุนผู้มีหน้าอกหน้าใจใหญ่โตมากที่สุด รู้สึกหิวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
นางมาจากตระกูลร่ำรวย มีเครื่องประดับที่ใช้เป็นที่เก็บของได้มากมาย เด็กสาวร่างเล็กพูดออกมาว่า “พวกเรามารับประทานเม็ดแตงโมดื่มสุราพลางชมการต่อสู้กันเถิด… บรรยากาศแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนะ มีใครอยากกินขนมบ้าง? จริงด้วยสิ ข้าเอาเตาย่างเนื้อมาด้วย…”
…
บริเวณท่าเรือ
ชาวเมืองที่กำลังรับชมการถ่ายทอดสดถึงกับงงงันไปทันทีเมื่อได้เห็นภาพเหล่านั้น
จะมีสิ่งใดแปลกประหลาดมากไปกว่านี้อีกไหม?
หัวหน้ากลุ่มว่าพิลึกแล้ว ผู้ติดตามของพวกเขาก็ทำตัวแปลกประหลาดไม่แพ้กัน
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินกับเซียวปิงกำลังต่อยกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สมาชิกของทั้งสองกลุ่มกลับนั่งตั้งวงรับประทานขนมขบเคี้ยว เหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายสิบปี
หลิงจุนเซวียนหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
บรรดาเจ้าหน้าที่จากจวนผู้ว่าก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้แล้ว
มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นทุกปี
แต่ปีนี้แปลกประหลาดมากที่สุด
มีใครจะคิดบ้างว่าบุคคลที่มีความสามารถและบุคลิกโดดเด่นอย่างหลินเป่ยเฉินกับเซียวปิงจะปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน?
พวกเขาพอจะรับทราบมาบ้างว่าหลินเป่ยเฉินมีระดับพลังสูงส่งแค่ไหน แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อเซียวปิงนั่นต่างหาก ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นใครมาจากไหน อยู่ดีๆ ก็มีชื่อติดเข้ามาเป็นผู้เข้าแข่งขันรอบสิบคนสุดท้าย มิหนำซ้ำ ยังมีร่างกายแข็งแกร่ง พละกำลังมหาศาลไม่แพ้หลินเป่ยเฉินอีกด้วย
บรรดาอาจารย์จากสำนักกระบี่ระดับสามัญชื่อดังล้วนรู้สึกสับสนไปหมดแล้ว
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเดินทางมายังเมืองหยุนเมิ่งได้ถูกที่ถูกเวลาพอดี ทุกคนเคยพบเจอยอดอัจฉริยะตามหัวเมืองใหญ่มากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถสร้างความตื่นเต้นได้เหมือนกับบรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวในเมืองเล็กๆ ติดชายทะเลแห่งนี้สักคน
ก่อนหน้านี้ หลายคนคิดว่าหวังซินอวี่แสดงฝีมือออกมาได้น่าทึ่งมากแล้ว
แต่กลับยังไม่น่าทึ่งเท่าเซียวปิง
หยุนเมิ่งกลายเป็นเมืองชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ที่นี่มีมือกระบี่อัจฉริยะรุ่นเยาว์อยู่เยอะมากเกินไปแล้ว
…
ในห้องลับห้องหนึ่ง
เสียงพูดที่เย็นชาและเรียบเฉยดังขึ้นว่า “ถ้าจับเจ้าเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้ลงสู่สนามรบ พวกเขาจะกลายเป็นนายทหารชั้นแนวหน้า เนื่องจากมีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ที่ไม่เหมือนใคร เจ้าจงไปคิดหาวิธีทำอย่างไรก็ได้ให้…”
…
กลับมาที่ดาดฟ้าเรือร้านขายอัญมณีหลิวไค
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป
เด็กหนุ่มทั้งสองคนยังคงไม่มีใครคิดยอมแพ้
“ไอ้อ้วนนี่มันเก่งขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย”
ยิ่งต่อยกันต่อไป หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งพบความประหลาดใจมากขึ้น
เด็กหนุ่มร่างอ้วนคนนี้มีความแข็งแกร่งมากเกินไป
ถ้าให้เปรียบเทียบฝีมือ ก็ต้องยอมรับเลยว่าเซียวปิงมีความน่ากลัวกว่าหวังซินอวี่หลายเท่า
“พี่ชาย บัดนี้ท่านยังมีโอกาสยอมแพ้ ทำไมไม่ฉวยโอกาสนั้นเอาไว้เล่า” เซียวปิงกัดฟันกรอด
หลินเป่ยเฉินกำหมัดด้วยความเดือดดาล คำรามว่า “เจ้ามีพลังแข็งแกร่งถึงระดับนี้ ทำไมไม่แสดงฝีมือออกมาตั้งแต่ต้น ยิ่งตอนที่แข่งขันยกกระถางทองคำ ข้าจำได้ว่าเจ้าทำคะแนนรั้งท้ายด้วยซ้ำ และในบททดสอบอื่นๆ เจ้าก็สามารถผ่านมาได้อย่างประคองตัวเท่านั้น”
เซียวปิงกระแทกหมัดใส่กำปั้นของหลินเป่ยเฉินพร้อมกับอธิบายว่า “พี่หลิน ท่านอาจทำเงินจากค่าโฆษณาได้เยอะกว่าข้าก็จริง แต่ท่านฉลาดไม่เท่าข้าหรอก เห็นไหมว่าเมื่อข้าเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เงียบๆ ก็ไม่ต้องตกเป็นเป้าหมายให้ใครเล่นงานแล้ว เมื่อทำคะแนนจนสามารถเข้าสู่รอบชิงธงได้สำเร็จ เวลาที่ข้าจะแสดงฝีมือที่แท้จริงก็มาถึง และข้าจะทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงจนดวงตาถลนเอง”
ไอ้อ้วนนี่มัน…
หลินเป่ยเฉินต้องยอมรับในการวางแผนการที่แยบยลจริงๆ
เขาไม่คิดเลยว่าเซียวปิงจะสามารถวางแผนได้ดีถึงขนาดนี้
“เจ้ามาจากสถาบันใด?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมา
เซียวปิงตอบด้วยน้ำเสียงติดสงสัยว่า “ข้ามาจากสถานศึกษากระบี่ที่สอง… ไม่ทราบว่าพี่หลินถามทำไมหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดว่า “เจ้าอย่าได้ออกมานอกรั้วสถาบันเด็ดขาด…เพราะนับจากวันนี้ไป ข้าจะไปดักรอเจ้าอยู่ที่หน้าประตู”
การต่อสู้ในขณะนี้ยังไม่จบลง
แต่หัวใจของหลินเป่ยเฉินลอยไปอยู่ที่หน้าประตูสถานศึกษากระบี่ที่สองแล้ว
ณ ตอนนี้ หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าเขาต้องการร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าขั้นกระบี่กระดูกเหล็ก เขาจำเป็นต้องมีคู่ซ้อมซึ่งมีฝีมือและร่างกายแข็งแกร่งทัดเทียมกัน เซียวปิงมีคุณสมบัติเหล่านั้นครบถ้วนทุกประการ หากผ่านวันนี้ไปได้ ถ้าเขาได้มีโอกาสจับคู่ซ้อมกับเซียวปิง หลินเป่ยเฉินคิดว่าร่างกายของตนเองก็จะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นแน่นอน
ดีไม่ดี เขาอาจจะชักชวนให้เจ้าอ้วนคนนี้มาฝึกวิชากระบี่เร้นกายด้วยกันก็ได้
หากพวกเขาช่วยกันฝึกซ้อม อย่าว่าแต่จะบรรลุขั้นกระบี่กระดูกเหล็กเลย ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะได้ค้นพบขั้นกระบี่กระดูกทองคำ กระบี่กระดูกเพชร หรือไปจนถึงกระบี่กระดูกจักรพรรดิเลยก็เป็นได้
ว่าแต่มันจะมีถึงระดับนั้นหรือเปล่านะ?
หืม?
หลินเป่ยเฉินฉุกใจคิดด้วยความไม่อยากเชื่อ
ทำไมเขาถึงได้มีความรู้สึกอยากฝึกวิชาอีกแล้วล่ะเนี่ย?