บทที่ 300 ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละนะ
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
เด็กหนุ่มทั้งสองแลกหมัดกันต่อเนื่องหนักหน่วง
เซียวปิงไม่อาจรับไหวอีกต่อไปแล้ว
“พี่ชาย กระดูกของท่านแข็งแกร่งเกินไป”
เขารู้สึกร่างกายร้อนผ่าวเหมือนตกลงไปอยู่ในหม้อน้ำเดือด กล้ามเนื้อทุกสัดส่วนเจ็บปวดแสบร้อน
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้าอยากจะฝึกวิชาที่ทำให้มีร่างกายแข็งแกร่งเหมือนข้าไหมล่ะ? ในฐานะพี่ใหญ่ เดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าเอง”
ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น
เซียวปิงก็นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นดาดฟ้าเรือ ดวงตาของเขาแดงก่ำ หอบหายใจแรง ลมหายใจสีขาวพวยพุ่งออกมาจากรูจมูก “พี่ชาย ขอเวลาให้ข้าพักก่อนได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้ายิ้มแย้มตอบว่า “น้องอ้วน หากไม่ตั้งใจฝึกฝน เมื่อไหร่เจ้าจะแข็งแกร่งเล่า”
พูดจบ เขาก็ใช้วงแหวนวารีครอบคลุมตนเองหน้าตาเฉย
ความเหนื่อยล้าของร่างกายหายวับไปในพริบตา
สภาพร่างกายกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง
ระดับชีพจรกลับมาเต้นเป็นปกติ
เซียวปิงเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
“พี่ใหญ่… แบบนี้มันโกงกันนี่นา”
เขารู้สึกหัวเสียขึ้นมาในทันที
หลินเป่ยเฉินหัวเราะด้วยความชอบใจ “นี่เรียกว่าข้ามีความสามารถพิเศษต่างหาก”
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
ทั้งสองคนแลกหมัดกันอีกพักใหญ่
เซียวปิงมีเหงื่อไหลท่วมกาย หอบหายใจหนักหน่วง ยกมือขึ้นโบกสะบัดไปมา “ข้าสู้ไม่ไหวแล้ว พี่ใหญ่ ข้าขอยอมแพ้…”
“น้องอ้วน เจ้าต้องอดทนให้มากกว่านี้สิ จะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร”
หลินเป่ยเฉินเดินควงหมัดเข้ามาหา แล้วรอยช้ำสีดำเข้มก็ปรากฏขึ้นรอบดวงตาทั้งสองข้างของเซียวปิง เด็กหนุ่มร่างอ้วนล้มคะมำไปบนพื้น หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นคร่อม และต่อยหมัดใส่รัวๆ
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
หลินเป่ยเฉินกำลังรู้สึกสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง
เซียวปิงส่งเสียงร้องโหยหวน พยายามตะเกียกตะกายหลบหนีออกมาจากหลินเป่ยเฉิน
“ฮ่าฮ่าฮ่า จะหนีไปไหน?”
หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นขี่หลังเซียวปิง
เด็กหนุ่มร่างอ้วนแทบจะร้องไห้แล้ว “พี่ใหญ่ สมองของท่านคงใช้การไม่ได้จริงๆ ข้ายอมแพ้แล้ว อย่าทำอะไรข้าเลยนะ หากท่านทุบตีข้าไปมากกว่านี้ ท่านแม่ของข้าจะต้องเสียใจมากแน่ๆ…”
เอ๋?
ยอมแพ้แล้วอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเขินเล็กน้อยที่ตนเองไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายยอมแพ้แล้ว แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียหน้า เขาจึงต่อยออกไปอีกหลายหมัดก่อนจะคำรามว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ายอมแพ้จริงๆ หรือไม่ ตกลงว่าบัดนี้ เจ้าจะยอมแพ้จริงๆ แล้วใช่ไหม?”
เซียวปิงน้ำตาจะไหลแล้ว
หลินเป่ยเฉินฟังภาษามนุษย์ไม่เข้าใจหรืออย่างไรนะ?
เขาก็พูดออกไปชัดเจนขนาดนั้นแล้ว ยังจะไม่แน่ใจว่าไม่ยอมแพ้จริงๆ อีกหรือ?
“ข้ายอมแพ้แล้ว ข้ายอมแพ้แล้วขอรับ!”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนกลั้นหายใจ
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืน ปล่อยตัวคู่ต่อสู้และพูดว่า “รีบส่งธงประจำเรือของเจ้ามาเดี๋ยวนี้…”
“ไม่จำเป็นต้องส่ง เพราะว่าเราเอามาแล้ว”
เสียงของไป๋ชินหยุนตะโกนมาจากเรืออีกลำหนึ่ง
เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าในมือของนางบัดนี้มีธงประจำเรือเซียวปิงอยู่นับสิบผืน เด็กสาวหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “เป็นอย่างไรเล่า ธงทุกผืนอยู่ในมือของข้าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกลอกตามองบนด้วยความเหนื่อยใจ “ทำไมมันถึงได้มีเยอะแยะขนาดนั้น?”
ไป๋ชินหยุนตอบว่า “ธงพวกนี้เป็นเขาทำขึ้นมาเองกับมือ นับว่าเจ้าอ้วนนั่นมีฝีมือในการเย็บปักถักร้อยดีไม่ใช่เล่น”
เซียวปิงยกมือปิดบังใบหน้า ลุกขึ้นยืนมาอธิบายว่า “ครอบครัวของข้าต้องพบกับความลำบากมาตั้งแต่เด็ก บิดาของข้าเสียชีวิต ข้ากับมารดาต้องอพยพออกไปจากเมืองหยุนเมิ่ง ข้าวปลาอาหารได้กินอย่างอดมื้อกินมื้อ แต่ด้วยความที่ข้าเป็นคนกินจุ จึงต้องฝึกฝนทักษะพิเศษเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว…”
พูดมาถึงตรงนี้ เซียวหยุนหลงที่นั่งดูการถ่ายทอดสดอยู่บนที่นั่งระดับสูงก็มีสีหน้าเครียดคล้ำขึ้นมา
ผู้อาวุโสตระกูลเซียวพ่นลมผ่านทางจมูกด้วยความไม่พอใจ
“ท่านพ่อขอรับ เดี๋ยวข้าจะต้องจัดการเรื่องนี้แน่นอน”
เซียวหยุนหลงรีบรับปากโดยเร็วไว
กลับมาที่ดาดฟ้าเรือของหลินเป่ยเฉิน เขารับผืนธงมากมายเหล่านั้นมาดูและถามว่า “ฝืนไหนเป็นของจริง?”
เซียวปิงชำเลืองมองเพียงเล็กน้อยก็ดึงธงผืนหนึ่งออกมาจากในกลุ่มธงนั้น
ทุกคนหันมองหน้ากัน
ให้ตายสิ
ธงที่เขาหยิบออกมามันไม่ได้แตกต่างไปจากธงผืนอื่นๆ เลย
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปถามเยว่หงเซียง “เจ้าพอจะดูออกไหมว่าผืนไหนเป็นของจริง?”
เยว่หงเซียงกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนตอบ “ข้าดูไม่ออกหรอกเจ้าค่ะ แต่ตอนที่เห็นเขาพยายามส่งมอบธงให้ท่านในตอนแรก ข้าสังเกตเห็นว่าสมาชิกร่วมกลุ่มของเขาพยายามกลั้นยิ้มเต็มที่ นั่นเองข้าถึงได้รู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลและธงผืนนั้นน่าจะเป็นของปลอม”
เซียวปิงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ทักษะการเล่นละครของสมาชิกกลุ่มของเขาเลวร้ายเกินไปจริงๆ ด้วย
เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ก็เพราะเจ้าสี่คนนั้นแท้ๆ
รู้อย่างนี้น่าจะเก็บค่าเข้าร่วมกลุ่มมากกว่านี้ก็ดีหรอก
เซียวปิงหันกลับไปมองที่เรือของตนเอง
แล้วก็ได้เห็นภาพที่ไม่น่าเชื่อ
เพราะเขาพบว่าสมาชิกกลุ่มของตนเองนอนน้ำลายฟูมปาก หมดสติอยู่บนดาดฟ้าเรือกันหมดแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
ไป๋ชินหยุนยกมือกอดอก หัวเราะออกมาด้วยความสะใจ “นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาตะกละตะกลามมากเกินไป จนรับประทานขนมเคลือบยาพิษเข้าไปโดยไม่รู้ตัว”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
นี่มันควรเป็นวิธีการของเขาคนเดียวไม่ใช่หรือ?
ไป๋ชินหยุนร้ายกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เวลาที่รับประทานอะไรจากมือของไป๋ชินหยุน เขาต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นเสียแล้ว
ยิ่งเห็นสภาพสมาชิกกลุ่มของเซียวปิงนอนชักกระตุกน้ำลายฟูมปาก หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
“พี่ใหญ่ ครั้งนี้ข้าไม่ได้โกหกท่านจริงๆ” เซียวปิงพูด “ในอนาคต ท่านจะช่วยสอนวิทยายุทธ์ให้แก่ข้าได้หรือไม่?”
เขายอมรับความพ่ายแพ้ต่อหลินเป่ยเฉินแล้ว
นี่คือครั้งแรกที่เซียวปิงถูกเอาชนะด้วยกำปั้นล้วนๆ และภาพที่หลินเป่ยเฉินโยนวงแหวนสีฟ้าครอบคลุมร่างกายของตนเองเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ก็เป็นสิ่งที่เซียวปิงสนใจอย่างยิ่ง
“ไม่มีปัญหา ต่อจากนี้เจ้าอย่าออกนอกรั้วสถาบันก็แล้วกัน เพราะว่าข้าจะไปดัก…เอ๊ย เพราะว่าข้าจะไปหาเจ้าเอง”
หลินเป่ยเฉินเกือบจะพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาแล้ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเซียวปิงกลับพูดออกมาว่า
“พี่ใหญ่ ให้ข้าไปหาท่านที่สถานศึกษากระบี่ที่สามไม่ดีกว่าหรือ? ทำไมท่านต้องมาดักรอข้าอยู่หน้าสถาบันด้วย? แบบนั้นมันน่ากลัวเกินไปแล้วนะ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจเหยียดยาว “เฮ้อ เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นหรอก”
และแล้วทุกอย่างก็จบลง
เซียวปิงกระโดดกลับไปที่เรือของตนเอง
เรือรบทั้งสองลำแล่นห่างออกจากกัน
เด็กหนุ่มร่างอ้วนนำถังน้ำเย็นมาเทรดสมาชิกร่วมกลุ่มของตนเองทั้งสี่คน
กลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านั้นสะดุ้งตื่น แต่เมื่อพบกับใบหน้าที่บวมช้ำเหมือนหัวหมูไหว้เจ้าของเซียวปิง ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ป้ายผ้าที่เขียนข้อความเอาไว้ว่า ‘บดขยี้หลินเป่ยเฉิน’ โบกสะบัดตามแรงลม
กลับกลายเป็นว่ามันคือถ้อยคำที่ทิ่มแทงใจพวกเขาเสียเอง
เซียวปิงไม่ได้บดขยี้หลินเป่ยเฉิน แต่กลับถูกหลินเป่ยเฉินบดขยี้ต่างหาก
“เฮ้อ” เซียวปิงถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า “ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละนะ”
…
การแข่งขันยังดำเนินต่อไป
อีกไม่ถึง 1 ชั่วยามก็จะได้เวลาอาทิตย์อัสดงแล้ว
อันดับผู้ทำคะแนนนำในตอนนี้ปรากฏออกมาชัดเจน
เนื่องจากเฉาพั่วเถียนสามารถเอาชนะเยว่เว่ยหยางได้สำเร็จ ธงทุกผืนที่นางได้มาจึงกลายเป็นของเขาไปโดยปริยาย และเมื่อนำธงเหล่านั้นมารวมเข้ากับธงที่เฉาพั่วเถียนได้มาจากคู่ต่อสู้คนอื่น นั่นก็ทำให้ขณะนี้เด็กหนุ่มผมทองมีผืนธงอยู่ในครอบครองถึง 6 ผืนแล้ว
หลินเป่ยเฉินมีธงอยู่เพียง 4 ผืนเท่านั้น
ส่วนเรือลำอื่นตกรอบไปหมดแล้ว
การแข่งขันในขณะนี้ เหลือเรือรบอยู่เพียง 2 ลำ
นับตั้งแต่ที่เข้าสู่รอบชิงธง เฉาพั่วเถียนก็แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาได้น่ากลัวมาก
แต่เมื่อดำเนินมาถึงขั้นนี้ จำนวนธงก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกแล้ว
เพราะในท้ายที่สุด ผู้ชนะก็จะได้ผืนธงทั้งหมดไปครอบครองอยู่ดี
บัดนี้ ผู้เข้าแข่งขันที่อยู่บนเรือรบอีก 8 ลำdHได้เดินทางกลับถึงท่าเรือด้วยการโดยสารเรือลำเล็กเรียบร้อยแล้ว จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้รับชมการถ่ายทอดสดอยู่บริเวณท่าเรือ
ระหว่างนั้น ทุกคนก็ได้รับชมฉากเด็ดของการแข่งขันที่ผ่านๆ มาผ่านทางศิลาบันทึกภาพ
และบรรดาคณะอาจารย์จากสำนักกระบี่ระดับสามัญชื่อดัง ต่างก็พากันเดินเข้ามายื่นข้อเสนอที่น่าสนใจให้แก่พวกเขา
ผู้เข้าแข่งขันที่เนื้อหอมที่สุดคงหนีไม่พ้นหวังซินอวี่กับเซียวปิง
ตามมาด้วยซูเสี่ยวหยาน โจวเค่อ และคนอื่นๆ ตามลำดับ
การแย่งชิงลูกศิษย์คนใหม่มีความดุเดือดไม่แพ้การแข่งขันในท้องทะเล
และในขณะนี้ เรือร้านขายอัญมณีหลิวไคกับเรือไป๋หยุนก็ได้แล่นมาเจอกันแล้ว
การต่อสู้ครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น !!!!