บทที่ 301 หยุดพูดเหลวไหล มาสู้กันดีกว่า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 301 หยุดพูดเหลวไหล มาสู้กันดีกว่า

บรรดาผู้เข้าแข่งขันที่เดินทางกลับเข้าฝั่งมารับชมฉากเด็ดผ่านศิลาเก็บภาพ ล้วนแล้วแต่ตกตะลึงให้กับฝีมือของเฉาพั่วเถียน หลินเป่ยเฉินและเยว่เว่ยหยางด้วยกันหมดทั้งสิ้น

มันทำให้พวกเขาตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

ทั้ง 3 คนนั้นมีฝีมือในการต่อสู้น่ากลัวมากเกินไป

แม้ว่าพวกเขาจะอายุเท่ากัน อาจจะสูงต่ำดำเตี้ยไม่เหมือนกัน แต่จะอย่างไรก็จัดอยู่ในหมวดหมู่ผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน

แต่พวกของหลินเป่ยเฉิน เฉาพั่วเถียนและเยว่เว่ยหยางกลับแสดงพลังออกมาได้ยอดเยี่ยมมากกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้หลายเท่า

“เฉาพั่วเถียนมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 4 แล้วหรือ ?”

“ทำไมหลินเป่ยเฉินถึงได้มีร่างกายแข็งแกร่งอย่างนั้น ?”

“ข้ารู้สึกเหมือนพวกเขาไม่ได้มาแข่งกับเราเลย”

“ฝีมือของพวกเขาน่ากลัวมากเกินไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การแข่งขันชิงธงไม่เคยดุเดือดขนาดนี้มาก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงการปรากฏตัวของหลินเป่ยเฉินกับเฉาพั่วเถียน เอาแค่เยว่เว่ยหยางกับหวังซินอวี่หรือแม้แต่เซียวปิง พวกเขาก็สามารถเป็นผู้ชนะในการแข่งขันปีที่ผ่านๆ มาได้สบายแล้ว”

“อย่างนั้นจะไม่ให้พวกเราตกรอบได้อย่างไร”

เด็กหนุ่มเด็กสาวพร้อมใจกันประสานเสียงด้วยความเหลือเชื่อ

นับว่าการแข่งขันประจำปีนี้มีความตื่นเต้นและดุเดือดเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

โดยเฉพาะพลังของผู้เข้าร่วมการแข่งขันชื่อดัง ซึ่งมีความแข็งแกร่งทิ้งห่างผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ แบบไม่เห็นฝุ่น

หวังซินอวี่กับเซียวปิงมีคณะอาจารย์จากสำนักกระบี่ระดับสามัญมากมายมาห้อมล้อมยื่นข้อเสนอ

อาจารย์ใหญ่หลายท่านแทบจะคุกเข่าลงอ้อนวอนพวกเขาแล้ว

ณ ที่นั่งของแขกระดับสูง

ผู้ตรวจการมณฑลเฟิงอวี่ถังกู่จินมีสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ เขาเลิกคุยกับหลิงจุนเซวียนไปนานแล้ว บัดนี้กำลังนั่งเงียบๆ ใช้นิ้วมือเคาะที่วางแขนของเก้าอี้เบาๆ ดวงตายังคงจับจ้องไปที่หน้าจอการถ่ายทอดสดต่อไป

นั่นคือพฤติกรรมที่แปลกมากเมื่อเทียบกับบรรดาผู้ติดตามของเขา รวมถึงหลินเจิ้นหนานผู้ได้รับจดหมายจากเบื้องบน ที่พูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา

และในจังหวะนั้นเอง

“เริ่มขึ้นแล้ว” ใครบางคนได้ตะโกนขึ้นมา

บนหน้าจอถ่ายทอดสดขณะนี้ เรือร้านขายอัญมณีหลิวไคและเรือไป๋หยุนได้แล่นผ่านแสงอาทิตย์อัสดง ค่อยๆ เข้ามาเผชิญหน้ากันอย่างแช่มช้า และสุดท้ายพวกเขาก็มาอยู่ในระยะต่อสู้แล้ว

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์

ลมทะเลโชยมาปะทะใบหน้าและเส้นผมยาวสลวยของเขา

ยามที่จ้องมองไปยังเรือไป๋หยุน แววตาของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยจิตอาฆาตที่ไม่สามารถปิดบังได้ และหัวใจของเขาก็ร้อนรุ่มยิ่งกว่าถูกไฟเผา

ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงแล้ว

เวลาที่จะตัดสินผลแพ้ชนะและนี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย

ถึงจะไม่ทราบว่าเยว่เว่ยหยางตกรอบไปได้อย่างไร แต่การได้เผชิญหน้ากับเฉาพั่วเถียนก็คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว

นี่คือโอกาสที่หลินเป่ยเฉินจะได้บดขยี้ไอ้หัวทอง

โอกาสที่เขาจะได้ล้างแค้นด้วยตนเอง

นั่นคือสิ่งที่ลูกผู้ชายทำกัน

ในระหว่างที่เรือกำลังลดความเร็ว หลินเป่ยเฉินโคจรพลังลมปราณในร่างกาย เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้

“ทุกคนเตรียมตัว”

หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองลงไปที่สมาชิกกลุ่มของตนเอง

ไป๋ชินหยุน ฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียงและมี่หรู่หยานกำลังเงยหน้ามองขึ้นมาที่เขา

แววตาของทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจ

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากต่อสู้ร่วมหัวจมท้ายกันมาตลอดวันนี้

“เป้าหมายของเราไม่ได้อยู่ที่การแย่งชิงธงมาจากพวกมัน”

ริมฝีปากของหลินเป่ยเฉินบิดตัวเป็นรอยยิ้ม

เส้นผมสีดำขลับของเขาปลิวไสวไปตามสายลม เด็กหนุ่มยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ และพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเปี่ยมล้นว่า “เป้าหมายของเราคือการบดขยี้เศษขยะทั้ง 5 ตัวนั้นบนเรือไป๋หยุนให้พวกมันต้องร้องขอชีวิต ต่อให้เราแย่งชิงธงมาจากพวกมันได้ แต่หากไม่มีโอกาสได้สั่งสอนพวกมันเลย แล้วจะนับเป็นชัยชนะที่แท้จริงได้อย่างไร”

เมื่อรับฟังคำพูดของหลินเป่ยเฉิน ทุกคนก็รู้สึกจิตใจฮึกเหิมขึ้นมาแล้ว

แม้แต่ไป๋ชินหยุนที่ไม่ค่อยจะเชื่อฟังเขาสักเท่าไหร่ บัดนี้ นางก็มีความรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะจัดการพวกฝ่ายตรงข้ามที่สุด

“กลยุทธ์ของพวกเราในศึกครั้งนี้เรียบง่ายมาก เราจะเอาชนะพวกมันให้ได้ เฉาพั่วเถียนเดี๋ยวข้าจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนคุณหนูมี่จัดการหลินอี้ ศิษย์พี่ฮันจัดการตงฟางจัน น้องเยว่จัดการมู่อวี่ซุน ไป๋ชินหยุนฝ่ายตรงข้ามเหลือใคร เจ้าก็จัดการคนนั้นแหละ…”

หลินเป่ยเฉินรีบแจกแจงภารกิจของแต่ละคน

เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้ง 4 คนพยักหน้ารับคำ

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของเฉาพั่วเถียนก็ลอยมาจากเรือไป๋หยุน

“ฮ่าฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ในที่สุด เจ้าก็มีคุณสมบัติดีพอที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้า” เด็กหนุ่มผมทองยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ของเรือไป๋หยุน เสียงพูดของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามเย้ยหยัน “หนึ่งคนกับเศษเดนอีกสี่ชีวิต มาถึงขั้นนี้ได้ก็นับว่าน่าภูมิใจมากแล้ว เดี๋ยวจะหาว่าข้าใจร้ายมากเกินไป เอาเป็นว่าเรามาประกบคู่สู้กันตัวต่อตัวดีหรือไม่ ฝ่ายไหนสามารถชนะได้ 3 ใน 5 ให้ถือว่าเป็นผู้ชนะไปเลยก็แล้วกัน เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะเย็นชาตอบกลับไป

“ไม่เห็นด้วย”

เฉาพั่วเถียนคิดจะให้ประกบคู่สู้กันตัวต่อตัวอย่างนั้นหรือ?

ฝันไปเถอะ

ทำแบบนั้นก็ถือว่าตกหลุมพรางเอ็งแล้วน่ะสิโว้ย!

เมื่อได้ยินคำปฏิเสธจากหลินเป่ยเฉิน รอยยิ้มขบขันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเฉาพั่วเถียน ดูเหมือนว่านี่จะเป็นคำตอบที่เขาคาดคิดเอาไว้แล้ว “ทำไมล่ะ? หรือว่าเจ้ากลัว? ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรเลว อยากทำสิ่งใดก็ทำไปเถิด แต่ไม่ว่าเจ้าวางแผนอะไรอยู่ ขอให้รู้ไว้เลยว่าพวกเจ้ามันเป็นเพียงกระดาษแผ่นบางๆ ที่พวกข้าจะฉีกทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ หากยังไม่รีบคุกเข่ายอมรับความพ่ายแพ้เสียตอนนี้ อย่าหาว่าพวกข้าโหดร้ายเกินไปก็แล้วกัน”

หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไรอีกแล้ว

เขาหมุนวนสองมือในอากาศ

เกิดแสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ

แล้วธนูเหล็กไหลกับลูกศรมังกรบินก็ปรากฏขึ้นในมือซ้ายและมือขวาของเขาพร้อมๆ กัน

หลินเป่ยเฉินน้าวคันธนูและยิงลูกศรออกไปโดยไม่ลังเล!

ฟ้าว!

สายธนูดีดตัวเด้งดึ๋งดั๋ง

ลูกศรพุ่งผ่านอากาศเป็นเส้นตรงเหมือนสายฟ้าฟาด ทิศทางของปลายศรนั้นอยู่ที่กลางหน้าผากของเฉาพั่วเถียนเป็นแน่แท้

เฉาพั่วเถียนตกตะลึงแล้ว

เขามีเวลาเพียงเอียงศีรษะหลบ

วูบ!

เด็กหนุ่มผมทองสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่พุ่งวาบผ่านด้านข้างขมับของเขาไป

ผมกระจุกหนึ่งขาดสะบั้น

กลิ่นการเสียดสีตัวของอากาศลอยมาปะทะจมูก

ผึง!

ลูกศรมังกรบินพุ่งเข้าไปตัดสายเชือกข้างเสากระโดงเรือเส้นหนึ่งขาดออกจากกัน ก่อนที่ตัวมันจะปักเข้ากับเสากระโดงเรือ ในสภาพที่หางลูกศรยังสั่นไหวไปมาเหมือนกับหางมังกรเงิน

แล้วผืนผ้าใบด้านบนก็ร่วงหล่นลงมา

มันเป็นป้ายชื่อที่เขียนคำว่า “ไป๋หยุน” อยู่ด้านบน บัดนี้หล่นลงมาคลุมไปที่ห้องขับเรือที่อยู่ด้านล่างเสียอย่างนั้น

ป้ายชื่อประจำเรือแต่ละลำมีคุณค่าไม่ต่างจากผืนธงประจำเรือ

แต่มันกลับถูกลูกธนูของหลินเป่ยเฉินยิงขาดลงมาแล้ว

นี่คือการเหยียดยามในชนิดที่ให้อภัยไม่ได้จากหลินเป่ยเฉิน

เฉาพั่วเถียนยกมือขึ้นแตะข้างขมับของตนเอง ก่อนจะหันไปมองป้ายชื่อที่ร่วงหล่นลงมาในลักษณะกลับหัวกลับหาง หัวใจของเขาร้อนผ่าวด้วยความโกรธแค้น “หลินเป่ยเฉิน เจ้ากล้าลอบโจมตีข้าหรือ?”

ดวงตาของเขาเป็นประกายอำมหิต

ทันใดนั้นเอง หลินเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ของเรือฝั่งตรงข้ามก็ยกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียก

“หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว เก่งจริงก็มาสู้กันเลยดีกว่า”

เสียงของหลินเป่ยเฉินลอยมาตามลมทะเล

เฉาพั่วเถียนพุ่งตัวขึ้นไปในอากาศ ตัวคนเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานเข้าหาหลินเป่ยเฉิน

เมื่อพวกของหลินอี้เห็นว่าหัวหน้ากลุ่มของตนเองเปิดฉากโจมตีแล้ว พวกเขาก็ไม่รอช้าอีกต่อไป เด็กหนุ่มทั้ง 4 คนพลันกระโดดเข้าไปหาเศษเดนสี่ชีวิตที่อยู่บนเรือของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งในขณะนี้จอดทิ้งระยะห่างจากกันประมาณ 30 วา

“วันนี้แหละจะเป็นวันตายของพวกเจ้า”

หลินอี้หัวเราะเยาะ ชักกระบี่ออกมาโจมตีเข้าใส่มี่หรู่หยานที่พุ่งตัวเข้ามาหา

หลังดื่มน้ำยาเพิ่มพลังจากเฉาพั่วเถียน และโคจรพลังลมปราณเพื่อปรับสมดุลในร่างกายเรียบร้อยแล้ว ระดับพลังในตัวหลินอี้ก็เพิ่มพูนมากขึ้นกว่าเดิม ต่อให้มี่หรู่หยานเป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กอัจฉริยะประจำการแข่งขันปีนี้ แต่เขาก็มั่นใจว่ากระบี่ในมือของตนเองจะสามารถเอาชนะเด็กสาวได้อย่างแน่นอน!

มี่หรู่หยานดวงตาเป็นประกายแวววาว

กระบี่ในมือของนางเสือกแทงออกมา หนึ่งกระบี่มีสิบเงา

เคล้ง!

กระบี่สองเล่มปะทะกันอย่างดุเดือด

หลินอี้รู้สึกสะเทือนที่ข้อมือ ตัวคนต้องเซถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

พลังลมปราณที่แฝงมากับกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม หนักหน่วงรุนแรงเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” หลินอี้อุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ