บทที่ 302 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่แสนจะดุเดือด
มี่หรู่หยานเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย
หลินอี้มีพลังมากกว่าที่นางคิดเอาไว้
แต่ไม่ใช่ว่านางจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
ก็ในเมื่อหลินเป่ยเฉินมีวิชาพิเศษที่สามารถแบ่งปันพลังลมปราณในตัวเขาให้กับคนอื่นๆ ได้ เฉาพั่วเถียนซึ่งเป็นลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนก็น่าจะทำได้เช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้ นางต้องเป็นฝ่ายชนะ
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อหลินเป่ยเฉินหรือเพื่อตัวนางเองก็ตาม
เด็กสาวหยุดเล็กน้อย ก่อนที่จะโคจรพลังปราณธาตุลมครอบคลุมทั่วร่างกาย
พลังลมปราณลักษณะกึ่งโปร่งแสงสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกมารอบบริเวณ มันหลอมละลายกลายเป็นสายลมในฤดูใบไม้ผลิยามตะวันตกดิน แต่สายลมนั้นมีพลังกดดันหนักหน่วงคุกคามรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตาเปล่าไม่สามารถสังเกตเห็นได้เลย
มวลอากาศเกิดความปั่นป่วน
สำหรับมี่หรู่หยาน ผู้มีพลังปราณธาตุลม การได้ต่อสู้อยู่กลางทะเลซึ่งมีสายลมโชยพัดอยู่ตลอดเวลา ยิ่งช่วยเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของนางมากยิ่งขึ้น
กระบี่ในมือและตัวมี่หรู่หยานเคลื่อนไหวเหมือนหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
มี่หรู่หยานร่อนถลาไปกับสายลม โจมตีเข้าใส่หลินอี้
หลินอี้สูดหายใจลึกและระเบิดพลังลมปราณ ร่างกายของเขาพลันปกคลุมด้วยม่านพลังสีแดง ไอความร้อนแผ่ออกมาจากร่างกาย นี่คือพลังปราณธาตุไฟ แล้วเปลวไฟก็ลุกโชติช่วงขึ้นมาเป็นเกราะกำบังป้องกันร่างกายของเขา
ในขณะเดียวกัน กระบี่ไฟเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเด็กหนุ่ม
“รับกระบี่”
หลินอี้รวบรวมพลังตะโกนออกไป
ครั้งนี้เขาไม่กล้าประมาทอีกแล้ว
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
ภายใต้แสงตะวันตกดิน ประกายไฟสาดกระจายเมื่อคมกระบี่ปะทะกัน
บรรยากาศที่เคยเงียบงันกลับเต็มไปด้วยเสียงปะทะหักล้างไม่มีที่สิ้นสุด
เงาร่างของหลินอี้กับมี่หรู่หยานถูกปกคลุมด้วยเงากระบี่ พวกเขาหมุนวนรอบดาดฟ้าเรือ ไม่ทราบเลยว่าใช้ออกมาแล้วกี่กระบวนท่า
ทั้งสองคนต่างก็มีสถานะเป็นรองหัวหน้ากลุ่ม ได้รับความเคารพจากสมาชิกร่วมกลุ่มเป็นอย่างสูง ทั้งยังมีฝีมือกระบี่เลิศล้ำ เมื่อกระบี่อยู่ในมือ เขาและนางก็สามารถใช้ออกมาได้ทุกกระบวนท่า ไม่ว่าจะเป็นฟัน แทง ทะลวง สะบัด ฟาด สับ และด้วยฝีมือที่สูงส่งของหลินอี้กับมี่หรู่หยานนี่เอง ชาวเมืองจึงแทบลืมไปแล้วว่าพวกเขาเป็นเพียงมือกระบี่รุ่นเยาว์เท่านั้น
จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้หลินเป่ยเฉินแสดงฝีมือที่น่าเหลือเชื่อไว้มากมาย
แต่ส่วนใหญ่แล้วเด็กหนุ่มจะโดดเด่นในด้านร่างกายที่แข็งแกร่งกับพลังลมปราณที่มากล้น
หลินเป่ยเฉินยังไม่เคยแสดงทักษะการใช้กระบี่ออกมาอย่างจริงๆ จังๆ
ไม่ว่าจะเป็นชาวเมือง ลูกศิษย์และคณะอาจารย์จากสถาบันต่างๆ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณท่าเรือ พวกเขาต่างก็อุทานออกมาว่า นี่แหละคือการแข่งขันที่ทุกคนอยากจะเห็น
ในขณะเดียวกันนั้น
ฮันปู้ฟู่กำลังรับมืออยู่กับตงฟางจัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ามันเป็นแค่สุนัขรับใช้ของหลินเป่ยเฉิน กล้าดีอย่างไรจะรับกระบี่ของข้า?” ตงฟางจันหัวเราะอย่างชั่วร้าย ไม่เห็นฮันปู้ฟู่อยู่ในสายตา
ฮันปู้ฟู่ไม่ตอบรับคำใด เขาชักกระบี่ออกมาและเตรียมตัวใช้กระบวนท่ากระบี่ตัดภูผา
เมื่อเห็นดังนั้น ตงฟางจันก็แสยะยิ้มใส่ “ครั้งที่แล้วพี่ใหญ่เฉาต้องการทรมานเจ้าเล่นๆ เท่านั้นเอง คิดหรือว่าเขาจะสลายม่านกระบี่ของเจ้าไม่ได้ อย่าบอกนะว่าวันนี้เจ้ายังคิดว่าตนเองจะมีโอกาสเอาชนะข้า? นี่เจ้าไร้เดียงสาถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ฮันปู้ฟู่มองหน้าตงฟางจัน
แววตาของเขาแข็งกร้าวราวกับเหล็กกล้า
สีหน้าเยือกเย็นสงบสุขุม
ฮันปู้ฟู่เปรียบเสมือนภูเขาสูงใหญ่ที่ยืนหยัดต้านทานพายุฝนลมแรงได้โดยไม่สะทกสะท้าน
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถยั่วโมโหฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ ตงฟางจันกลับเป็นฝ่ายที่เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเองแล้ว
เพราะความเงียบของฮันปู้ฟู่ ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นตัวตลก
เช้ง!
กระบี่ถูกชักออกมาจากฝัก
ตงฟางจันโคจรพลังลมปราณลงไปที่ตัวกระบี่
“เตรียมตัวรับมือ! เจ้าจะได้รู้จักความอันตรายของข้าบัดเดี๋ยวนี้” ตงฟางจันตะโกนลั่น
กระบี่ของพวกเขาปะทะกันโดยทันที
ตงฟางจันต้องการที่จะบดขยี้ฮันปู้ฟู่ให้ทุกคนได้เห็น
เขาจะพิสูจน์ให้ชาวเมืองได้รู้ว่าฮันปู้ฟู่เป็นเพียงเศษเดนไม่มีค่าอันใด
เสียงคมกระบี่เสียดสีกันในอากาศ
เปลวไฟสาดกระจายภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น
แต่ภาพที่ฮันปู้ฟู่ล้มลงไปนอนอยู่บนพื้นดาดฟ้าเรือ กระอักเลือดออกมาเพราะว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ปรากฏขึ้นตามที่ทุกคนคาดคิด
กลับกลายเป็นว่าฮันปู้ฟู่สามารถตอบโต้ได้อย่างเหลือเชื่อ เขาถึงกับทำให้ตงฟางจันต้องเซถอยหลัง มีเลือดไหลซึมมาจากมุมปากและรูจมูก สุดท้ายตงฟางจันก็ต้องล้มลงไปบนดาดฟ้าเรือด้วยความพิศวงงงงวยไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ตงฟางจันรีบลุกขึ้นมาจ้องหน้าฮันปู้ฟู่และกล่าวว่า “เจ้า…แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ฮันปู้ฟู่ไม่ตอบคำใด
เขายังถือกระบี่อยู่ในมือ และใช้มืออีกข้างลูบสันกระบี่ ก่อนจะย่างสามขุมตรงเข้าไปหาตงฟางจัน
ตงฟางจันรู้สึกได้ถึงมวลพลังกดดันมหาศาลที่คุกคามเข้ามาเบื้องหน้า มันทำให้เขาต้องถอยหลังต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทางเลือก
ตงฟางจันไม่อยากจะเชื่อแล้วว่านี่คือความจริง
อีกด้านหนึ่ง
เยว่หงเซียงกำลังใช้วิชากระบี่หัวใจแก้วออกมาอีกครั้งเพื่อหยุดยั้งมู่อวี่ซุน
ก่อนหน้านี้ มู่อวี่ซุนมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 1 เขาเพิ่งเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้สำเร็จ ในกลุ่มของเฉาพั่วเถียน จัดว่าเขาเป็นผู้ที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างคนอื่นเสมอ
หลังได้ดื่มน้ำยาเพิ่มพลังจากเฉาพั่วเถียนก่อนเริ่มการแข่งขัน มู่อวี่ซุนก็สามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาจนอยู่ในขั้นเดียวกันกับปรมาจารย์ระดับที่ 2 เรียกได้ว่าพลังของเขาสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด
แต่จะมาเทียบเคียงกับเยว่หงเซียงที่ได้รับสัญญาณไวฟายโดยตรงจากหลินเป่ยเฉินได้อย่างไร?
เพราะนอกจากมีพลังเทียบเท่ากับปรมาจารย์ระดับ 2 แล้ว เยว่หงเซียงยังมีความเข้าใจในวิชากระบี่หัวใจแก้วอย่างลึกซึ้ง กระบวนท่าการโจมตีของนางจึงลื่นไหลและรุนแรง ทั้งพละกำลังในร่างกายยังมหาศาลหลายพันชั่ง
เมื่อพวกเขาต่อสู้กันไปได้หลายสิบกระบวนท่า สุดท้าย มู่อวี่ซุนก็ถูกคมกระบี่ในมือของเยว่หงเซียงแทงเข้าไปบริเวณหัวไหล่เป็นบาดแผลฉกรรจ์
“อ๊าก…”
เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องโหยหวนและรั้งกระบี่กลับคืนมา
ห่างออกไปไม่ไกล ก็กำลังเกิดเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังอยู่เช่นกัน
นั่นเป็นเพราะว่าเจิ้งโจว เด็กหนุ่มร่างกายสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลา ต้องล้มกลิ้งลงไปเมื่อยกกระบี่ขึ้นปะทะกับดาบใหญ่ในมือของไป๋ชินหยุน บัดนี้ กระบี่ในมือเขาปรากฏรอยแตกร้าวคล้ายกับว่ามันพร้อมที่จะแตกสลายลงไปได้ทุกเมื่อ
ทุกคนไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดเด็กสาวที่มีร่างกายบอบบางอย่างไป๋ชินหยุนถึงได้มีเรี่ยวแรงมหาศาลขนาดนี้ ดาบในมือของนางหมุนควงเหมือนกังหันลม ต่อให้ใช้ออกมาด้วยกระบวนท่าที่เรียบง่ายยิ่ง แต่พลังลมปราณที่แฝงมาจากตัวดาบนั้น ก็ทำลายจิตวิญญาณความกล้าหาญในตัวเจิ้งโจวผู้มีฝีมืออ่อนด้อยมากที่สุดในเรือไป๋หยุนแหลกสลายหมดสิ้น
ก่อนหน้านี้เจิ้งโจวเคยวางท่าใหญ่โต
บัดนี้เขาได้แต่อับอายแทบโดดน้ำทะเลหนีแล้ว
ระดับพลังของเขาตามหลังมู่อวี่ซุนอยู่เล็กน้อย และยังไม่สามารถเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้สำเร็จ
แต่ด้วยความช่วยเหลือจากน้ำยาเพิ่มพลังของเฉาพั่วเถียน เจิ้งโจวก็มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 1 แล้ว
แต่ในส่วนของไป๋ชินหยุน เมื่อนางรับสัญญาณไวฟายมาจากตัวของหลินเป่ยเฉิน เด็กสาวก็เพิ่มพลังขึ้นมาจนอยู่ในระดับเดียวกับปรมาจารย์ขั้นที่ 2 และด้วยความที่เป็นคนมีเรี่ยวแรงมหาศาลอยู่แล้ว นางจึงสามารถเอาชนะเจิ้งโจวได้โดยไม่ต้องอาศัยพลังลมปราณด้วยซ้ำ
มู่อวี่ซุนกับเจิ้งโจวเป็นผู้ที่มีฝีมืออ่อนด้อยที่สุดในกลุ่มของเฉาพั่วเถียน เพียงเริ่มสู้ได้ไม่นาน พวกเขาก็พ่ายแพ้อย่างขาดลอย
สถานการณ์ของตงฟางจันก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ดูจากรูปการณ์แล้ว อีกไม่นานเขาจะต้องพ่ายแพ้ให้แก่ฮันปู้ฟู่แน่นอน
ทางด้านการต่อสู้ของรองหัวหน้ากลุ่ม เพียงระดับพลังดั้งเดิมของหลินอี้ก็มีความแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว เมื่อเขาดื่มน้ำยาเพิ่มพลังเข้าไปด้วย ระดับพลังก็ยิ่งสูงล้ำมากขึ้น การต่อสู้กับมี่หรู่หยานมองเพียงผิวเผินเหมือนเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ในใจจริงแล้ว หลินอี้กำลังรู้สึกกดดันและไม่มั่นใจว่าจะชนะได้อีกต่อไป
และที่ฝั่งหนึ่งบนเรือร้านขายอัญมณีหลิวไค
เฉาพั่วเถียนกระโดดมาทิ้งตัวยืนอยู่ห่างจากหลินเป่ยเฉินไม่กี่วา เมื่อยืนเผชิญหน้ากัน สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น หลินเป่ยเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง เหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมทองอย่างรุนแรง นั่นส่งผลให้เฉาพั่วเถียนหมุนคว้าง 360 องศา ก่อนที่จะล้มลงไปกระแทกพื้นดาดฟ้าเรือเสียงดังโครม!
บรรดาชาวเมืองที่รับชมการถ่ายทอดสดต่างก็ส่งเสียงฮือฮาออกมาด้วยความตกตะลึง
หนังหัวของพวกเขารู้สึกชายิบ