บทที่ 101 ผู้ชายก็มีวันแบบนั้นในแต่ละเดือน

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เชอร์รีนขมวดคิ้วแน่นเป็นปม มองเขาแวบหนึ่งแล้วมองดูเวลา

เธอยังต้องเร่งไปทำงานอีกนะ ทว่าเขายังไม่ออกไป เธอก็ล็อคประตูไม่ได้ จึงต้องยืนรออยู่ตรงนี้

หางตาออกัสเหลือบเห็นเงาของเธอ ใบหน้าหล่อเหลาของเขายกคิ้วขึ้น รูปเรเดียนบนริมฝีปากบางอ่อนนุ่มอย่างฉายชัด ทว่ามือกลับยิ่ง ……แช่มช้า……

เขาค่อยๆลิ้มรสคำละนิดหน่อยไปเรื่อยๆ เขารู้ว่าจุดอ่อนของเธอคืออะไร……

ใบหน้าอันเย็นชาและเรียบเฉยของเธอเริ่มมีคลื่นอารมณ์แล้ว ขณะเดียวกัน ความหงุดหงิดในใจเขาก็จางหายเล็กน้อย

เขาทนมองเธอโกรธแล้วระเบิดอารมณ์ได้ ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่เห็นก็คือ เธอมักจะทำหน้าเย็นชา เรียบเฉยและห่างเหินอยู่ร่ำไป

เชอร์รีนเฝ้าดูเวลาล่วงเลยไป จากเวลาเจ็ดโมง ซึ่งเธอต้องถึงโรงเรียนในเวลาเจ็ดนาฬิกายี่สิบนาที ดังนั้นเหลือเวลาอีกเพียงแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น

ต้องใช้เวลาเดินทางจากที่พักไปยังโรงเรียนประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดนาที ทั้งยังต้องเซ็นชื่อเข้าทำงานอีก ถ้ายังไม่ไปก็คือสายสถานเดียว

ส่วนเขาไม่มีทีท่าจะออกไปเลย ยังคงลิ้มลองทีละคำอยู่อย่างนั้น

เชอร์รีนขมวดคิ้ว ไม่ได้กล่าวสิ่งใด จ้องแผ่นหลังเขาอย่างเย็นเยียบชั่วครู่ จากนั้นก็เดินออกจากห้อง

เธอเห็นเจ้าของตึกกำลังตากผ้าพอดี จึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับคลี่ยิ้ม “คุณน้า”

“คุณเชอร์รีนมีธุระอะไรคะ?”

“คุณช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมคะ?”

“ช่วยอะไรเหรอ?”

“คือฉันต้องรีบไปทำงานค่ะ แต่ยังมีคนอยู่ในห้อง ถ้าเขาออกมาแล้วคุณช่วยล็อคประตูห้องฉันหน่อยได้ไหมคะ?”

ได้ยินดังนั้น เจ้าของตึกก็ตกปากรับคำทันที“ได้จ้า”

“เออ อีกเรื่องหนึ่งค่ะคุณน้า เครื่องให้ความอุ่นในห้องเสียหรือเปล่าคะ รู้สึกไม่อุ่นเลยนะคะ?”

เจ้าของตึกโบกมือทั้งสองข้าง พูดว่า“เป็นไปไม่ได้ คืนนี้คุณลองใหม่อีกครั้งนะคะ ไม่แน่คืนนี้ก็ใช้ได้แล้วค่ะ”

ใกล้จะทำงานสายแล้ว เชอร์รีนไม่มีเวลาคุยต่อ จึงกำชับเพิ่มสองครั้งแล้ววิ่งออกจากชุมชนอย่างเร่งรีบ

เจ้าของตึกบ่นกระปอดกระแปดอยู่ด้านหลังอย่างไม่สบอารมณ์ ยังคิดจะใช้เครื่องให้ความอุ่นอีก ไม่เพิ่มค่าเช่าแล้วก็อย่าหวังเลย

เมื่อวิ่งออกจากตรอกซอย รถยนต์แลนด์โรเวอร์สีดำเงางามก็จอดข้างๆเธอ

จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาที่มืดครึ้มปรากฏสู่สายตาเธอ มีสองคำลอยออกจากริมฝีปากบางของเขา “ขึ้นรถ!”

เธอคล้ายกับไม่ได้ยิน เดินผ่านรถคันดังกล่าวแล้วมุ่งหน้าเดินต่อไป

เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด อยากจะบีบคอเธอให้ตายไปเลย ทว่าก็เปิดประตู ก้าวเท้ายาวพลันยื่นมือใหญ่ไปคว้าข้อมือเธอไว้ จากนั้นก็ผลักเธอไปนั่งตำแหน่งด้านข้างคนขับ

เธอเตรียมจะทักท้วงอีกครั้ง ทว่าเมื่อครุ่นคิดดูแล้ว เหตุใดต้องทำเช่นนั้นด้วย?

ตัวเธอใกล้จะเข้างานสายแล้ว ตอนนี้มีรถที่ให้นั่ง ทำไมจะต้องเล่นตัวด้วย ไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวเหรอ?

เธอไม่ชอบขี้หน้าเขา ไม่ใช่รถสักหน่อย

เชอร์รีนไม่พูดจาละสายตาไปมองนอกหน้าต่างรถ

รถขับเคลื่อนบนท้องถนนที่มั่นคงได้มาตรฐาน ริมฝีปากของออกัสเม้มเป็นรูปเส้นตรงตลอดทาง พลางแผ่ไอหนาวเหน็บสุดขั้วออกจากเรือนร่าง

ตั้งแต่เมื่อคืนถึงตอนนี้ เขาอยู่กับเธอได้สิบสามชั่วโมงกว่าแล้ว ทว่าเธอไม่แม้แต่ชายตามองเขาสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องหวังให้เธอมาคุยด้วยเลย

เมื่อครู่เธอรีบไปทำงาน ทว่าเขาจงใจกินโจ๊กอย่างเชื่องช้า เขาจงใจถ่วงเวลา

คิดว่าเธอจะเดือดดาล แต่ที่ไหนได้ เธอกลับออกไปแล้วเอากุญแจให้เจ้าของตึกแทน

เธอไม่อยากคุยกับเขาแม้แต่คำเดียวขนาดนี้เลยหรือ?

เมื่อคิดได้ดังนี้ สีหน้าก็ยิ่งมืดครึ้มอย่างไม่อาจต้านทาน กระทั่งนัยน์ตาก็ประกายความโหดเหี้ยมอำมหิตออกมา สภาพจิตใจย่ำแย่ถึงขีดสุดอีกครั้ง

ซึ่งเชอร์รีนไม่มีทางสนใจว่าเขาจะอารมณ์ดีหรือไม่อย่างไร ทันทีที่รถจอด เธอก็รีบลงจากรถ แม้เพียงหางตาก็ไม่เหลียวมองเขา

เขาชำเหลือบมองร่างเธอหายลับไป เมื่อลูกกระเดือกขยับ ออกัสก็เหยียบคันเร่งเต็มเหวี่ยง รถจึงพุ่งออกไปราวกับลูกธนูดีดตัวออกจากธนู เพลิงโทสะในใจไม่อาจระบายให้หมดสิ้น ตอนนี้เขาอยากย่ำยีเธอ อยากบีบเธอตายให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย

ช่วงนี้พนักงานระดับสูงของสิริไพบูรณ์กรุ๊ปอกสั่นขวัญแขวนกันทั่วหน้า เกรงว่าหากไม่ระวังจะทำให้ท่านประธานเหนือหัวเกรี้ยวโกรธได้!

พนักงานไม่รู้ว่าช่วงนี้ท่านประธานเป็นอะไรไป พวกเขาเห็นมีคนรับเคราะห์กันทุกวัน รู้สึกช่วงนี้ท่านประธานจะอารมณ์ร้ายเป็นพิเศษ

หรือว่าท่านประธานก็เหมือนกับผู้หญิงที่มีวันแบบนั้นทุกเดือน?

……

บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์

หยาดฝนกำลังดื่มกาแฟอยู่ คนใช้ก็ถือหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดเข้ามา

ทุกๆปีบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ก็จะจองทั้งหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับข่าวธุรกิจ ข่าวสังคม และข่าวบันเทิง สิ่งนี้คล้ายกับกลายเป็นกิจนิสัยของบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ไปแล้ว

“เอาหนังสือพิมพ์มาค่ะ” หยาดฝนมองพร้อมกับพูดกับคนรับใช้

ขานรับหนึ่งเสียง คนใช้ก็วางหนังสือพิมพ์วางข้างมือเธอ หยาดฝนจึงดื่มกาแฟไปพลาง อ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง

เมื่อสายตาหยุดอยู่ที่พาดหัวข่าว เธอก็ต้องชะงักงัน นัยน์ตาเธอวูบไหว เผยความประหลาดใจที่ผสมปนเปกับความตกตะลึงออกมา

บังเอิญที่เวลานี้สุนันท์เดินเข้าห้องรับแขกพอดิบพอดี เธอเห็นหนังสือพิมพ์ในมือหยาดฝนพลันเลิกคิ้วรูปใบหลิวขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาถาม“หยาดฝน ทำไมฉันเห็นมีรูปออกัสในหนังสือพิมพ์ด้วย มีข่าวอะไรเกี่ยวกับเขาเหรอ?”

หยาดฝนวางหนังสือพิมพ์ลงอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอซ่อนเร้นอารมณ์เสร็จก็กล่าวเสียงใสว่า “ไม่มีข่าวอะไรหรอกค่ะ พี่สะใภ้ดูผิดแล้ว”

“ฉันจะดูผิดได้ยังไง?ฉันเห็นออกัสแน่ เธอเอาหนังสือพิมพ์มาให้ฉันดูหน่อย”

สุนันท์ไม่เชื่อ เธอเป็นคนหลอกง่ายซะที่ไหน เมื่อกี้เห็นรูปออกัสในหนังสือพิมพ์เต็มสองตา ทั้งยังกินพื้นที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ใบหน้างดงามและอ่อนโยนของหยาดฝนเปลี่ยนไป ความลังเลและความลำบากใจถาโถมเข้าหา

สุนันท์กวาดสายตาอันปราดเปรียวเธอปราดหนึ่ง ย่อมเห็นอะไรนิดอะไรหน่อยที่เป็นเบาะแสได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อคืนออกัสกลับมาไหม?”

“เหมือนไม่ได้กลับค่ะ……” หยาดฝนเอ่ยเสียงเบา แววตามีความหม่นหมองเล็กน้อย ทว่าก็ไม่เด่นชัด มองไม่ค่อยออก

เชอร์รีนไม่กลับสองวัน และเขาก็ไม่กลับสองวันเช่นกัน……

ไม่รู้ว่าทั้งสองไปพักด้วยกันที่ไหน หรือว่าไปสถานที่ใดกัน?

เธอแอบคาดเดาในใจตลอด ทว่ากลับไร้คำตอบ ความเสียใจยิ่งไม่อาจพรรณนาได้ ประหนึ่งหัวใจโดนแมวข่วนก็ไม่ปาน

“เชอร์รีนล่ะ?” เธอเอ่ยปากถามอีกครั้ง

“สองวันนี้ไม่ได้กลับมาค่ะ” หยาดฝนกวาดสายตามองหนังสือพิมพ์ด้วยแววตาลุ่มลึก หนักอึ้งและลึกซึ้งยากจะหยั่งถึงอีกครั้ง

“นับวันยิ่งทำตัวเหลวไหลกันใหญ่แล้ว ฉันไม่ว่าก็ยิ่งไม่รู้จักกฎระเบียบมารยาทเอาเสียเลย”

ระหว่างที่กล่าว สุนันท์เดินไปข้างโต๊ะอาหาร จากนั้นก็หยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมา และแล้วสายตาก็ต้องจ้องถมึงทึงอยู่อย่างนั้น

หัวข้ออักษรขนาดใหญ่สีแดงและรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์ปรากฏสู่สายตา สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปกะทันหัน ซึ่งเป็นที่หน้าที่ดูไม่ได้เลย

เธอบีบหนังสือพิมพ์แน่นขนัด เคลื่อนสายตาลงทีละบรรทัด อ่านด้วยท่าทีตั้งใจ ขึงขังและฉุนเฉียว

หยาดฝนที่อยู่ด้านข้างสีหน้ายิ่งลุ่มลึกสุดหยั่งมากขึ้น ยิ่งไม่อาจอ่านแววตาได้เลย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ……