จากนั้นได้ยินเสียง“เพี๊ยะ——”หนึ่งเสียง สุนันท์เอาหนังสือพิมพ์ฟาดบนโต๊ะเต็มแรง
และแล้วพาดหัวข่าวตัวหนังสือสีแดงเบ้อเร่อก็เผยขึ้นมา——คุณนายน้อยตระกูลสิริไพบูรณ์แอบนัดเจอคนรัก ร่วมพลอดรักกัน
จากนั้นด้านล่างจะเป็นรูปแอบถ่าย ผู้ชายร่างสูงโปร่งอุ้มเชอร์รีนไว้ในอ้อมแขน โดยมีเสื้อกันหนาวสีดำคลุมบนกายเธอ เขาก้มหน้าคุยข้างหูเธอไม่หยุด ช่างเป็นภาพที่กระหนุงกระหนิงยิ่ง
รูปที่สองนั้น เชอร์รีนจับแขนผู้ชายด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เห็นได้ชัดว่าดื่มเหล้าไหลเข้าท้องไม่น้อย ทั้งสองคนเดินเข้าห้องตัวติดกันแน่นเช่นนั้น
คล้ายกับเป็นการจงใจเอารูปของออกัสประกอบด้านข้าง กลายเป็นภาพเปรียบเทียบที่ทิ่มตาทิ่มใจเหลือแสน
เป็นการกระชากเพลิงโกรธในใจสุนันท์ให้ลุกโชนขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ใบหน้างามบิดเบี้ยวเล็กน้อย
“มือถืออยู่ไหน ฉันจะโทรหาออกัส” ใบหน้ากราดเกรี้ยวของเธอเหมือนตระหนักอะไรได้ “ช่างเถอะ รอเขากลับมาแล้วค่อยว่ากัน”
เป็นคนไม่มีการศึกษาจริงๆ ชื่อเสียงของตระกูลสิริไพบูรณ์โดนหล่อนทำหน้าป่นปี้หมดแล้ว!
เธอคว้ากระเป๋าถือขึ้นมาพร้อมกับกล่าวกับคนรับใช้ว่า“บอกโชเฟอร์ขับรถออกมา ฉันไปจะออกไป”
หยาดฝนไม่ได้ซักถามอะไรมากมาย แค่เก็บหนังสือพิมพ์ให้เข้าที่แล้วเอ่ยเสียงใสว่า “พี่สะใภ้อย่าพึ่งใจร้อนไปเลย อาจจะเป็นการเข้าใจผิดก็ได้”
ทว่า ตอนนี้สุนันท์จะฟังเธอเกลี้ยกล่อมซะที่ไหน หมุนกายเดินออกจากห้องรับแขกด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธ
……
เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง องค์ชายก็โทรนัดเธอเชอร์รีนคุยการเรียนของหลานชาย ซึ่งเธอก็ตอบตกลงอย่างยินดีปรีดา
องค์ชายเป็นคนดีมาก เคยช่วยเธอหลายครั้งแล้ว เธอจึงไม่มีเหตุผลปฏิเสธอีกฝ่าย
ทั้งสองนัดเจอกันที่ร้านอาหารเหนือซึ่งอยู่ตรงข้ามโรงเรียน เมื่อเชอร์รีนไปถึงสถานที่นัดเจอกัน องค์ชายก็รอเธอก่อนแล้ว ข้างกายเขายังมีเด็กผู้ชายอายุประมาณสิบสี่ถึงสิบห้าปีนั่งอยู่ด้วย
เมื่อเห็นเธอ องค์ชายตบไหล่เด็กผู้ชายเบาๆ“เรียกคุณน้าสิ”
เด็กผู้ชายกลับซุกซน“ต้องเรียกพี่สาวสิครับ ไม่เรียกคุณน้าหรอก”
เชอร์รีนยิ้มแล้วนั่งตรงข้ามทั้งสอง บริกรก็ยื่นรายการอาหารมาให้
เธอให้องค์ชายสั่ง แต่เขากลับปฏิเสธ เธอเห็นว่าให้บริกรยืนรอก็ไม่งาม
จึงถามทั้งสองคนอย่างละเอียดว่าชอบกินอะไร แล้วสั่งเนื้อตุ๋น ข้าวซอย แกงฮังเลและไส้อั่ว
“ปีนี้เขาขึ้นม.2แล้วครับ ผลการเรียนอยู่ระดับกลางๆ อยู่เกณฑ์ระดับกลางติดระดับต้นๆ ถ้าอยากสอบเข้าโรงเรียนมอปลายอันดับหนึ่งในเมืองSคงยาก คุณพ่อคุณแม่เขารู้ว่าผมรู้จักคุณ เลยอยากให้คุณครูเชอร์รีนช่วยสอนเขาหน่อยครับ บอกว่าจะให้ค่าตอบแทนตามค่าจ้างสอนพิเศษท้องตลาดครับ สอนวันละหนึ่งชั่วโมงก็พอครับ”
เมื่อเขาเอ่ยปากขอร้องแล้ว เชอร์รีนก็ไม่สะดวกที่จะปฏิเสธ ยิ้มตอบว่า “ได้ค่ะ แต่ค่าแรงก็ไม่ต้องแล้วค่ะ”
เธอควรช่วยเหลือเพื่อนอยู่แล้ว
“ไม่ได้ครับ ต้องจ่ายค่าสอนครับ คุณไม่ต้องปฏิเสธหรอกครับ ไม่งั้น วันหลังผมก็ไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากคุณแล้วครับ” องค์ชายทำหน้าแน่วแน่ต่างจากปกติ
เชอร์รีนเห็นแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ“รีบกินกันค่ะ เดี๋ยวอาหารเย็นหมด”
เด็กผู้ชายดูเหมือนชอบกินเนื้อตุ๋นมาก คีบเนื้อตุ๋นไม่หยุด
องค์หญิงยกยิ้ม ทำท่าอ้ำอึ้ง คล้ายอยากพูดแต่ก็ไม่สะดวกที่จะพูด
เชอร์รีนดูออก จึงเอ่ยปากถามว่า“องค์ชายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่าครับ?”
หลังจากลังเลชั่วครู่ องค์ชายถึงจะเอาหนังสือพิมพ์ด้านข้างออกมาหนึ่งฉบับ จากนั้นก็ยื่นให้เชอร์รีน
เธอรับมาอย่างฉงนสนเท่ห์ เมื่อเห็นพาดหัวข่าวตัวหนังสือสีแดง เธอก็ต้องอึ้งตาค้าง จากนั้นไม่นานก็กลับมาเป็นสีหน้าปกติ
องค์ชายถูมืออย่างกระอักกระอ่วน “ผมทำให้คุณลำบากหรือเปล่าครับ?”
เชอร์รีนวางหนังสือพิมพ์ไว้ด้านข้าง พลางยิ้มบางเบาแล้วส่ายหัว“ไม่หรอกค่ะ นักข่าวไม่มีหลักฐานก็ชอบสร้างกระแส คนบริสุทธิ์ก็ย่อมบริสุทธิ์ค่ะ แต่พูดถึงลำบาก ฉันคงทำชื่อเสียงนายตำรวจองค์ชายเสียหายแล้วใช่ไหมคะ?”
“หา?” องค์ชายรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย
“นายตำรวจองค์ชายที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและสุขุมกลับเป็นข่าวกับผู้หญิงที่มีสามีอย่างฉัน ฉันเป็นตัวสร้างมลทิน ทำให้ภาพลักษณ์นายตำรวจองค์ชายในสถานีตำรวจเสียหายหรือเปล่าคะ? เธอยิ้ม ทว่ากลับพูดอย่างจริงจัง
ทว่าองค์ชายกลับทำหน้ามีเหตุผล“ผมรู้ว่าคุณเป็นคนแบบไหน เมื่อกี้คุณไม่ใช่บอกว่าคนบริสุทธิ์ก็ย่อมบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือครับ?”
เชอร์รีนจอ้งเขาสักพักพลันหัวเราะคิกคักออกมา“สมกับที่เป็นนายตำรวจองค์ชายที่ตรงไปตรงมาจริงๆค่ะ น้ำเสียงไม่เหมือนคนทั่วไปเลย น่าเกรงขามมากค่ะ!”
องค์ชายหน้าแดงก่ำอย่างช่วยไม่ได้ เด็กผู้ชายที่นั่งด้านข้างยังใส่สีตีไข่เพิ่มอีกว่า “ฮ่าๆ คุณอาองค์ชายทำไมหน้าแดงเหมือนก้นลิงไม่มีผิดเลยครับ!”
ได้ยินดังนั้น องค์ชายก็อดหน้าแดงขึ้นอีกไม่ได้ พลางยกมือดีดนิ้วบนหน้าผากเขาเบาๆหนึ่งครั้ง “พูดมากจริงๆเลยเรา รีบกินข้าวเถอะ!”
เห็นภาพนี้แล้วเชอร์รีนก็หัวเราะคิกคักออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะรู้สึกประหม่า แต่เมื่อองค์ชายก็หัวเราะร่าด้วย บรรยายทั้งสามจึงดูเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ทว่าเวลาเดียวกันก็มีรถสีดำจอดลง สุนันท์พลันเดินลงจากรถ เธอมองภาพดังกล่าวผ่านกระจกร้านอาหาร มือที่ทาเล็บมือสีแดงก่ำกระเป๋าถือไว้แน่นแล้วเดินเข้ามา
เมื่อเชอร์รีนเงยหน้ามองก็สบตากับสุนันท์ที่เดินเข้ามาพอดี จึงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่พบคนตรงหน้า ทว่าเมื่อรับรู้เพลิงโทสะที่ไหลทะลักออกจากกายอีกฝ่าย เธอก็เข้าใจทันทีทันใด
เธอลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยปากว่า“แม่”
อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย ดวงตาคมเฉียบของสุนันท์หยุดอยู่ที่องค์ชาย เธอจ้องเขาได้สักพักหนึ่ง
องค์ชายก็รีบลุกขึ้นทักทายอย่างมีมารยาท“สวัสดีครับ”
ทว่าสุนันท์กลับไม่แยแสองค์ชายเลยสักนิด พูดกับเชอร์รีนว่า “กลับบ้านกับฉัน”
“ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานค่ะ ตอนบ่ายหนูยังมีสอนอยู่ค่ะ” ใบหน้าเชอร์รีนเรียบเฉย
“ฉันจะคุยกับผอ.เอง ตอนนี้กลับบ้านกัน” น้ำเสียงสุนันท์เปี่ยมไปด้วยการขู่กรรโชกและคำสั่ง
ถึงจะฟังแล้วระคายหูหน่อย ทว่าเชอร์รีนก็ไม่ได้ถกเถียงกับเธอ หลังอำลากับองค์ชายและเช็คบิลเสร็จก็ตามสุนันท์ออกไป
สีหน้าสุนันท์ไม่ดีเอาซะเลย องค์ชายก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแม่สามีของเชอร์รีน ดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกเป็นห่วงมาก
ทั้งสองนั่งแถวหลังของรถ ระหว่างทางสุนันท์ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เธอไม่เอยปากพูด เชอร์รีนก็ไม่พูดเช่นกัน
ดังนั้นบรรยากาศภายในรถจึงเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังขึ้น ชวนให้รู้สึกเป็นความเงียบสงบก่อนพายุฝนฟ้าจะโหมกระหน่ำ
เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ หยาดฝนกับเลอแปงก็อยู่ในห้องรับแขกด้วย
พึ่งเดินเข้ามาถึง สุนันท์ก็เขวี้ยงกระเป๋าถือไปที่โซฟา
จากนั้นก็หันไปจ้องเชอร์รีนอย่างเย็นเยียบและเจือความโกรธไว้ในที สุนันท์เป็นฝ่ายพูดก่อน “อธิบายให้ฉันฟังสิว่านี่มันคืออะไร?”