เขาจ้องปีศาจสาวนิ่ง ใจนึกอยากจะโผเข้าไปจุมพิตริมฝีปากน้อยๆ ซึ่งเปื้อนน้ำสีม่วงอมแดงนั้นแล้วกดนางลงกับก้อนหินเหลือเกิน!
ปีศาจสาวเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความปรารถนาของเขา ร่างของนางสั่นน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าลง
เซียวเถี่ยเฟิงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขาพยายามสะกดกลั้นความปรารถนาซึ่งลุกโชนอยู่ในอกสุดความสามารถ จากนั้นจึงกล่าวปลอบโยนเสียงแหบพร่า
“ตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องการไอหยาง ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไปเถอะ ข้าไม่รีบ”
คำพูดนี้ ไม่ตรงกับใจสักนิด
กู้จิ้งถูกตาล่ำบึ้กอุ้มเดินผ่านเนินเขาคูน้ำลำธารและต้นไม้โบราณเก่าแก่ไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็กลับไปถึงหมู่บ้าน
พอเข้าไปในหมู่บ้านก็มีคนมามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตาล่ำบึ้กใจดีพูด “@$&$” กับพวกเขา คนเหล่านั้นก็มองดูนางด้วยความประหลาดใจก่อนจะหันไปหัวเราะคิกคักกับตาล่ำบึ้ก
ถูกรุมล้อมแบบนี้ กู้จิ้งใช้หัวเข่าคิดก็รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไร
ผู้หญิงคนนี้ซื้อมาเท่าไหร่…
รีบพากลับบ้านไปแล้วมีลูกชายตัวอวบอ้วนเร็วๆ ล่ะ…
ระวังอย่าให้หนีไปได้นะ…
กู้จิ้งแค่นยิ้มเย็นอยู่ในใจ ทันใดนั้น เธอก็ต้องตะลึงงันอยู่กับที่
เธอค้นพบเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง
ทำไมชาวบ้านเหล่านี้รวมทั้งชาวบ้านที่ได้พบที่สวนแตงเมื่อเช้าต่างก็แต่งตัวไม่เข้ากับยุคสมัยเลย?
ตอนที่ได้พบกับตาล่ำบึ้กครั้งแรก เธอคิดว่าคนคนนี้ไม่ใส่ใจเรื่องการแต่งกาย ซ้ำยังยากจนจนคร้านจะใส่ใจเรื่องทรงผม คิดไม่ถึงเลยว่าทุกคนในหมู่บ้านต่างก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด? แถมพวกเขายังสวมเสื้อผ้าที่เชยมาก มากจน…เหมือนเป็นแบบที่สวมกันเมื่อแปดร้อยปีก่อน…
หลังจากความงุนงงและความตื่นตระหนกผ่านพ้นไป กู้จิ้งฟังเสียงพูด “@$%$@*” ไม่คุ้นหูของพวกเขา ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจ
นี่เป็นหมู่บ้านชนบทที่ล้าหลังเอามากๆ มากจนไม่รู้วันเดือนปี แถมพวกเขายังอาจจะเป็นชนกลุ่มน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ไม่เคยข้องแวะกับโลกภายนอก
เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมเป็นเสื้อผ้าของชนกลุ่มน้อย!
กู้จิ้งแอบส่ายหน้าพลางถอนใจอยู่เงียบๆ มิน่าตาล่ำบึ้กถึงได้มีเครื่องหน้าคมเข้ม ที่แท้เขาก็เป็นชนกลุ่มน้อย ไม่แน่ว่าอาจเป็นสายเลือดของชาวชี่ตันหรือหนี่เจินก็ได้… จริงๆ กู้จิ้งก็ไม่ค่อยรู้ประวัติศาสตร์หรือเรื่องของชนเผ่าต่างๆ สักเท่าไหร่ เธอจึงได้แต่คาดเดาไปมั่วๆ เท่านั้น
ตาล่ำบึ้กใจดีพูด “@¥%&¥@” กับชาวบ้านคนอื่นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็เดินกลับไปถึงบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง
พอเดินเข้าไปในบ้าน กู้จิ้งก็ต้องแอบส่ายหน้าพลางถอนใจอีกรอบ
นี่เขาจนขนาดไหนกันนะ!
ในบ้านนั้นไม่มีอะไรสักอย่าง บนกำแพงดินซึ่งเหมือนจะถูกลมพัดล้มได้ทุกเมื่อมีเครื่องมือต่างๆ เช่น จอบ, เคียว ฯลฯ แขวนอยู่ บ้านดินซึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้เหมือนจะถล่มได้ตลอดเวลา หน้าต่างมีไปก็เหมือนไม่มี!
ตาล่ำบึ้กใจดีอุ้มกู้จิ้งเข้าไปในบ้าน จากนั้นจึงวางร่างนางลงบนเตียงพลางพูด “@$%&*%$” ประโยคหนึ่ง
กู้จิ้งซึ่งนั่งอยู่บนเตียงได้แต่ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ
ทีนี้เธอก็รู้แล้วว่าอะไรคือยากจนจนเหลือแต่ผนังสี่ด้าน
ก็คือจนจนที่บ้านเหลือแต่ผนังสี่ด้านกับเตียงเท่านั้นน่ะสิ!
ผู้ชายก็คือผู้ชาย ผู้ชายหยาบกร้านยากจนล้าหลัง จนจนไม่มีข้าวกินอิ่มท้อง แต่ก็ยังคิดจะซื้อภรรยามาสนองความต้องการของไอ้นั่น แถมยังคิดจะมีทายาทสืบสกุลที่แสนจะยากจนข้นแค้นของตัวเอง เขาคิดว่าที่บ้านเขามีตำแหน่งฮ่องเต้ให้สืบทอดหรือยังไง!
กู้จิ้งกำลังคิดนั่นคิดนี่เรื่อยเปื่อยก็เห็นตาล่ำบึ้กใจดีเดินออกไปข้างนอกแล้วเริ่มลงมือทำอะไรบางอย่าง กู้จิ้งเงี่ยหูฟัง เหมือนจะผ่าฟืนทำอาหาร?
ทำอาหาร…
กู้จิ้งนึกถึงอาหาร ท้องก็ร้องโครกคราก น้ำลายเริ่มไหลอย่างไม่อาจควบคุมได้
ผลหรูหรูแค่ช่วยรองท้องเท่านั้น ทำให้อิ่มไม่ได้ ตอนนี้เธอหิวมาก หิวจนนึกเสียใจที่ตัวเองไม่ยอมกินมันฝรั่ง
ตาล่ำบึ้กใจดีนั่นทำอาหารเป็นหรือเปล่า เขาจะทำอาหารอะไร? ซี่โครงหมูนึ่ง, ปลาหลีฮื้อน้ำแดง, หมูชุบแป้งทอด? ลูกชิ้นสี่สหาย, ปีกไก่ต้มโค้ก, หมูสามชั้นผัดต้นกระเทียม?
กู้จิ้งคิดพลางแอบน้ำลายไหลอยู่เงียบๆ แต่พอมองดูบ้านหลังคารั่วกับเสื่อขาดๆ บนเตียงแล้ว เธอก็คิดว่า มะเขือเทศผัดไข่กับซุปเกอต๋า[1]น่าจะเป็นไปได้มากกว่า
กำลังคิดอยู่ ตาล่ำบึ้กก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยอ่างไม้ใบหนึ่ง
กู้จิ้งรีบชะโงกหน้าไปดู ทันใดนั้น ความหวังในใจก็ดับมอด
ในนั้นมีแต่น้ำ…น้ำสะอาด แม้กระทั่งเม็ดข้าวสักเม็ดก็ยังไม่มี
เขาจะให้เธอดื่มแต่น้ำเย็นทุกวันงั้นรึ?
เห็นภาพที่น่าอนาถเช่นนี้แล้ว กู้จิ้งซึ่งกำลังหิวโซก็แทบจะเสียสติ “นี่ นายรู้บ้างไหม ถ้าขาดสารอาหารนานๆ จะทำให้ผู้หญิงหมดประจำเดือน ถ้าหมดประจำเดือนก็มีลูกให้นายสืบสกุลไม่ได้ นายจะรังแกฉันแบบนี้ไม่ได้นะ! ปล่อยให้ฉันหิวตายไม่มีผลดีอะไรต่อพวกเราสองคนสักนิด นายรู้บ้างไหม?”
ตาล่ำบึ้กเห็นเช่นนี้ก็มองกู้จิ้งด้วยความงุนงง จากนั้นจึงยื่นมือลงไปในอ่าง
กู้จิ้งแทบจะเสียสติ
น้ำสำหรับดื่ม แต่เขากลับยื่นมือลงไป?
ตาล่ำบึ้กมองกู้จิ้งด้วยความงุนงงกว่าเดิม เขาพูด “@$%&*&%” ออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือมาจับมือเธอลงไปแช่น้ำแล้วเริ่มล้างให้
นี่…
กู้จิ้งเบิกตามองตาล่ำบึ้กล้างมือให้เธอ จนกระทั่งเขาหยิบผ้าเนื้อหยาบผืนหนึ่งมาเช็ดมือเธอจนแห้ง เธอก็ยังตั้งสติไม่ได้
ตาล่ำบึ้กใจดีกำลังช่วยล้างมือให้เธอ ล้างมือแล้วถึงจะกินข้าวได้…
ชั่ววินาทีนี้ กู้จิ้งทั้งเหยียดหยามตัวเอง ทั้งซาบซึ้งใจในตัวตาล่ำบึ้ก แต่ไม่นานนักเธอก็เข้าใจ เขาคิดจะจับเธอล้างให้สะอาด ป้อนให้อิ่ม แล้วค่อยจับเธอกดเตียงสินะ?
ช่างเป็นตาล่ำบึ้กใจดีที่รักสะอาดเหลือเกิน!
กู้จิ้งนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ พลางจับตาดูการเคลื่อนไหวของตาล่ำบึ้กใจดีอย่างระมัดระวัง
เธอเห็นเขาเดินออกไปข้างนอก ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับกระจาดกลมๆ ซึ่งสานจากเถาวัลย์ใบหนึ่ง ในกระจาดนั้นคือขนมเปี๊ยะร้อนๆ
ขนมเปี๊ยะนั้นเป็นสีทองนุ่ม ดูเหมือนจะใส่ไข่ แถมยังใส่ต้นหอมซอยกับเมล็ดอวี๋เฉียนด้วย?
ดวงตาของกู้จิ้งเปล่งประกายเจิดจ้า
หญิงสาวซึ่งกำลังหิวโหยเต็มที่ลืมมะเขือเทศผัดไข่กับซุปเกอต๋าไปทันที ในใจเหลือเพียงแค่ขนมเปี๊ยะไข่ตรงหน้าเท่านั้น!
ตาล่ำบึ้กคงจะมองสีหน้าหิวโหยของเธอออก เขาจึงรีบวางกระจาดลงตรงหน้าเธอพลางพูด “%&*%” ประโยคหนึ่ง
แต่เธอไม่มีอารมณ์จะสนใจเขา ยามนี้เธอคิดแต่จะกินขนมเปี๊ยะ มือทั้งสองรีบคว้าขนมเปี๊ยะแผ่นหนึ่งมาถือเอาไว้แล้วเป่าลมเบาๆ ให้หายร้อน จากนั้นก็ยัดเข้าไปในปาก
ขนมเปี๊ยะ ขนมเปี๊ยะหอมฉุย! อร่อย ต้องอร่อยแน่ๆ! แค่ดูก็อร่อยแล้ว!
แต่ทันทีที่ฟันสัมผัสกับขนมเปี๊ยะ ร่างของเธอก็แข็งค้างอยู่กับที่
ฟันของเธอ…เสียวเหลือเกิน เสียวแปลบๆ
เธอตระหนักถึงเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งขึ้นมา กินผลหรูหรูมากเกินไปจะทำให้เข็ดฟัน
คิดได้เช่นนี้ น้ำตาก็ร่วงลงมาทันที
เซียวเถี่ยเฟิงอุ้มปีศาจสาวขาแพลงกลับบ้าน พอเดินไปถึงโม่หินเก่าแก่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน บรรดาคนเฒ่าคนแก่ซึ่งกำลังนั่งรับลมอยู่ตรงนั้นก็ยกชามโจ๊กในมือขึ้นดื่มพลางร้องทักทายเขา
“เถี่ยเฟิง เจ้าอุ้มใครกลับมาน่ะ?”
เซียวเถี่ยเฟิงไม่คิดจะปิดบังสักนิด “เมีย”
“หา! เจ้ามีเมียตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมีเมียโผล่ออกมาได้!”
ผู้พูดคือจ้าวยาจื่อซึ่งมีอาชีพเป็นแม่สื่อ ระยะนี้นางกำลังหาเมียให้เซียวเถี่ยเฟิง แต่จนใจที่เขาอ้างว่าตัวเองจนมาก ไม่มีปัญญาแต่งเมีย นางกำลังคิดจะเกลี้ยกล่อมเขาอยู่พอดีว่า ไม่ว่าจนแค่ไหนก็สมควรต้องแต่งงาน
ไม่คิดเลยว่า อยู่ดีๆ เขาจะอุ้มเมียกลับมา?
คนที่นั่งอยู่ข้างกายจ้าวยาจื่อคือจ้าวฝูชาง
จ้าวฝูชางมีเคราขาว หลังค่อม เป็นบิดาของจ้าวจิ้งเทียน สมัยหนุ่มๆ ชายชราผู้นี้นับได้ว่าเป็นคนมีหน้ามีตาในเขาเว่ยอวิ๋น เขาเคยเป็นหัวหน้าพรานมาหลายปี สั่งสมที่ดินดีๆ ให้ตระกูลจ้าวได้ถึงยี่สิบกว่าไร่ ซ้ำยังเปิดร้านขายยาร้านหนึ่งที่เชิงเขา แต่ละปีทำรายได้ได้ไม่น้อย
พอจ้าวฝูชางอายุมากขึ้น ตำแหน่งหัวหน้าพรานก็ตกเป็นของจ้าวจิ้งเทียน แม้หลายปีมานี้ตำแหน่งหัวหน้าพรานจะเคยตกอยู่ในมือคนตระกูลอื่นบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นของจ้าวจิ้งเทียนอยู่ดี
จ้าวฝูชางเห็นเซียวเถี่ยเฟิงเดินมาแต่ไกลก็หรี่ตาลงพลางยกมือขึ้นลูบเครา จากนั้นจึงวางชามลง
“เถี่ยเฟิง คงจ่ายเงินแต่งเมียไปไม่น้อยเลยสินะ? อีกไม่นานก็คงได้อุ้มลูกชายตัวอวบอ้วนแล้ว? ข้าวของเครื่องใช้ที่บ้านก็ควรหาเพิ่มได้แล้ว ถ้าขาดเหลืออะไรก็ไม่ต้องเกรงใจ ไปขอจากป้าของเจ้าได้เลย”
เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็หันไปมองจ้าวฝูชางพลางกล่าวยิ้มๆ “ท่านลุง ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ข้าแต่งเมียคนนี้ไม่ต้องจ่ายเงิน ลูกก็คงยังไม่รีบมี แค่กินอิ่มท้องข้าก็พอใจแล้ว เรื่องอื่นยังไม่ได้คิดอะไร มีชีวิตอย่างไรก็ต้องอยู่ต่อไปเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
เซียวเถี่ยเฟิงตอบกลับไปอย่างสุภาพ ในใจรู้ดีว่าจ้าวฝูชางคิดหยั่งเชิงตนเอง จ้าวฝูชางเป็นคนมากเล่ห์ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหนิวปาจินคิดยุแยงให้เขาแย่งชิงตำแหน่งผู้นำพราน
————————————
[1] ทำจากแป้งสาลีนวดปั้นเป็นก้อนเล็กๆ หรือเส้นอ้วนๆ เหมือนลอดช่องแล้วนำไปต้มเป็นซุปข้นๆ