บทที่ 1411+1412 Ink Stone_Romance
บทที่ 1411 ไม่บ้าก็นับว่าสติของพวกเขาแข็งแกร่ง
มู่เฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลงกลืนยาลูกกลอนลงไป แล้วนั่งสมาธิตามวิธีที่กู้ซีจิ่วบอก
กู้ซีจิ่วจ้องมองเขาอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงใดบนใบหน้าเขาเล็ดลอดสายตา
ยังดีที่สีหน้ามู่เฟิงค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นหลังจากมู่เฟิงกลืนยาลูกกลอนนั้น จากนั้นซีดขาว แล้วกลับมาแดงอีกครั้ง…
การตอบสนองทั้งหมดเหมือนกับที่ซวนหยวนลั่วอวี่พูดไว้ในตอนแรก น่าจะออกฤทธิ์แล้ว
ตี้ฝูอีจับมือ ปลอบโยนนาง “ไม่ต้องเป็นกังวล ต่อให้ไม่ได้ผลก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เฟิงลุกขึ้น โดยปกติเขาจะมองเห็นกู่ภายในร่างกายได้โดยใช้วิชาพินิศปราณ ดังนั้นหลังจากที่เขาใช้ยาลูกกลอนโคจรลมปราณ จึงใช้วิชาพินิศปราณดูอีกครั้ง ถึงกับประหลาดใจเมื่อพบว่ากู่นั้นสลายไปอย่างไร้ซุ่มเสียงแล้ว ไม่หลงเหลืออะไรไว้แม้แต่น้อย!
มู่เฟิงดีใจยิ่งนัก เขาข่มความตื่นเต้นไว้ในใจ ส่งกระแสเสียงหาตี้ฝูอีในทันที ‘นายท่าน กู่ของข้าน้อยสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว!’
ตี้ฝูอียิ้ม ส่งกระแสเสียงต่อไปให้กู้ซีจิ่ว ดวงตากู้ซีจิ่ววาบไหวเล็กน้อย รีบเอ่ยขึ้นทันที “เช่นนั้นยังมัวรีรออันใดอยู่? รีบเอายาไปให้อีกสามทูต!”
มู่เฟิงย่อมอยากรีบนำยาไปให้สหายเช่นกัน สวรรค์ล่วงรู้ว่าความรู้สึกที่การเคลื่อนไหวไม่สามารถเป็นตัวเองได้น่าหวาดหวั่นเพียงใด!
ตอนนั้นเขาถูกสะกดไปครึ่งวันยังรู้สึกยอมตายเสียยังดีกว่า พี่น้องอีกสามคนกลับต้องทนทุกข์ทรมานมาเกือบสองปีแล้ว ไม่บ้าก็นับว่าสติของพวกเขาแข็งแกร่ง!
มู่เฟิงคิดว่าเขานำยาไปให้ด้วยตัวเองก็ได้แล้ว ทว่ากู้ซีจิ่วไม่วางใจ อย่างไรเสีย พลังยุทธ์ของอีกสามทูตไม่เหมือนกับมู่เฟิง หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอันใดหลังการใช้ยา เธอจะได้ช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ดังนั้น เธอจึงตามไปด้วย
ไปที่มู่เหลยก่อน มู่เหลยพักผ่อนแล้ว หลังจากมู่เฟิงมา เขาถึงตื่นขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้เห็นสภาพสี่ทูตที่ถูกควบคุมจิตใจโดยแท้จริง ร่างกายมู่เหลยซูบผอม บางทียามดึกอาจเป็นเวลาที่กู่ไม่ทำงาน ดังนั้น มู่เหลยจึงดูซึมเซา
“มู่เฟิง มาทำไรดึกดื่น? มีธุระหรือ?”
มู่เฟิงมองเขาหัวจรดเท้าแวบหนึ่ง คนที่ถูกกู่ควบคุมไม่อาจเปิดเผยความจริงได้ เมื่อใดที่เปิดเผยความจริงเขาจะร้องตะโกนโหวกเหวก ระเบิดออกมาทันที
ดังนั้น มู่เฟิงจึงไม่พูดมาก เพียงแต่คุยเล่นกับเขาไม่กี่คำ อย่างเช่น พรุ่งนี้ตอนติดตามเซียนหญิงลี่หวางต้องระมัดระวังอะไรบ้าง พูดคุยไปด้วยพลางชงชา
มู่เหลยพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ได้ ข้าจะระวัง ต้องคุ้มกันนางให้ปลอดภัยอย่างแน่นอน” เขาพูดด้วยความเคารพ ทว่าลึกลงไปในดวงตากลับฉายแววความเจ็บปวดบางอย่าง
มู่เฟิงส่งชาให้เขาแก้วหนึ่ง “มา เพื่อความราบรื่นในวันพรุ่งนี้ ข้าขออาศัยน้ำชาแทนสุรา พวกเราดื่มด้วยกันหนึ่งแก้ว”
มู่เหลยยกชาขึ้นดื่มอย่างไม่สงสัยอันใด ตอนดื่มยังขมวดคิ้วเล็กน้อย “รสชาติชานี้ค่อนข้างแปลก…”
มู่เฟิงกล่าว “ชาของเจ้าเอง คงวางไว้นานเกินไป ดีที่ยังไม่เสื่อมคุณภาพ ดื่มเถิด”
มู่เหลยพยักหน้า ยกชาขึ้นดื่ม
มู่เฟิงพูดคุยกับเขาอีกไม่กี่คำ เอ่ยถามเขาว่าพรุ่งนี้มีภารกิจอื่นหรือไม่
มู่เหลยกล่าว “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบอกว่าพรุ่งนี้จะสอบสวนหลีเมิ่งซย่าอย่างจริงจัง ซ้ำยังบอกอีกว่าให้ข้าหาชายชาตรีหลายคนมาทำร้ายร่างกายเพื่อให้บทเรียนแก่นาง…”
กู้ซีจิ่วที่เร้นกายอยู่ในที่มืดกระชับกำปั้น นึกไม่ถึงว่าไอ้ตัวปลอมนั้นจะชั่วร้ายเหนือธรรมดาเยี่ยงนี้!
หลังจากมู่เหลยพูดคุยกับมู่เฟิงครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดก็ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของมู่เหลย เขาโค้งเอวลงเล็กน้อย
“เป็นอะไรไป?” มู่เฟิงเอ่ยถาม
“ปวดท้องนิดหน่อย” คิ้วของมู่เหลยขมวดรัดแน่น
“คงเพราะชานี้เย็นเกินไป นั่งสมาธิฟื้นฟูสักหน่อย มา ข้าสอนวิธีใหม่ให้เจ้า บรรเทาอาการปวดท้องได้ดีที่สุด” มู่เฟิงทำท่าทางสอนวิธีการนั่งสมาธิให้เขา วิธีการนี้ย่อมเป็นวิธีการที่กู้ซีจิ่วสอนให้กับมู่เฟิง
——————————————————————-
บทที่ 1412 ช่วงชิงการควบคุมร่างกายนี้กลับมาได้แล้ว
มู่เหลยฉงนเล็กน้อย ทว่าเขายังคงเชื่อใจมู่เฟิงยิ่งนัก จึงเริ่มนั่งสมาธิโคจรลมปราณตามที่มู่เฟิงบอก
พลังยุทธ์เขาต่ำต้อย เห็นได้ชัดว่าเขามีปฏิกิริยาการตอบสนองรุนแรงหลังจากการใช้ยา ใบหน้าหล่อเหลาเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวขาว บัดนี้ ก็กลับกลายเป็นแดงอีกแล้ว…
เคราะห์ดีที่จิตใจของเขายังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อดทนไม่ผลุดลุกขึ้นมา
หลังจากผ่านไปราวห้าถึงหกนาที เขานั่งสมาธิเสร็จสิ้น ไม่พูดจาสักคำ พุ่งตัวไปอาเจียนทางห้องด้านนอก
มู่เฟิงตามเข้าไป ตบหลังเขาเบาๆ “รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
มู่เหลยยืดตัวขึ้นอย่างช้าๆ มองไปทางมู่เฟิงด้วยสายตาสั่นสะท้าน “มู่เฟิง ข้า…ข้า…”
มู่เฟิงจ้องมองเขา “รู้สึกอย่างไรบ้าง? รู้สึกว่าแขนขาเป็นของตัวเองแล้วใช่ไหม! ทำตามคำสั่งของตัวเองได้แล้วใช่ไหม?”
มือและเท้าของมู่เหลยต่างสั่นระรัว เขามองมือของตัวเองก่อน พยายามเคลื่อนไหวหลากหลายท่าทาง จากนั้นจับแขนมู่เฟิงไว้ “เจ้าใส่บางสิ่งลงไปในน้ำชานั้น! ข้าเป็นตัวของข้าเองแล้ว! เจ้าไม่ได้ถูกควบคุมมาโดยตลอดใช่หรือไม่? เจ้าเป็นคนหายาถอนพิษมาใช่ไหม?”
แขนของมู่เฟิงถูกเขาบีบรัดจนเจ็บปวด ทว่ากลับพยักหน้ายิ้มรับ “ในที่สุดเจ้าก็มีสติกลับมาแล้ว! สวรรค์ทรงทราบว่าสองปีมานี้ข้าเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนที่ต้องแสร้งทำโง่งมอยู่เพียงลำพัง”
มู่เหลยผู้เข้มแข็ง ยามนี้กลับมีน้ำตาคลอ
สวรรค์ทรงทราบว่าการเฝ้าดูร่างกายตัวเองรับฟังคำสั่งของคนชั่วช้าและทำเรื่องที่ขัดต่อมโนธรรมเหล่านั้น ทำให้เขาเจ็บปวดขนาดไหน!
เขาแทบอยากจะสั่งให้ร่างกายตัวเองฆ่าตัวตาย น่าเสียดายที่ไม่เคยควบคุมร่างกายตัวเองได้…
ในที่สุดเขาก็ช่วงชิงการควบคุมร่างกายนี้กลับมาได้แล้ว!
“เจ้าไปเอายาถอนพิษมาจากไหนกัน? ยังมีอีกหรือไม่? มู่อวิ๋นกับมู่เตี้ยนยัง…” มู่เหลยมีนิสัยหนักแน่นสงบนิ่งมาโดยตลอด ยามนี้กลับพูดจาด้วยความตื่นเต้นราวกับปืนใหญ่ ทั้งเร็วและรีบร้อน
มู่เฟิงตบไหล่เขา “วางใจเถิด พวกเขาก็มี”
“เช่นนั้นยังมัวรีรออะไรอยู่? พวกเรารีบไปหาพวกเขากันเถอะ!” มู่เฟิงดึงมู่เหลยที่กำลังคิดจะเดินไป
มู่เฟิงดึงเขากลับมา กล่าวอย่างดุดัน “ที่นี่มีกล้องวงจรปิดพวกนั้นอยู่ทั่วทุกสารทิศอย่างที่แม่นางกู้บอก เพียงแต่ที่นี่ไม่มี หลังจากเจ้าออกไปยังต้องแสร้งทำตัวเหมือนก่อน ไม่อาจมีชีวิตชีวาขนาดนี้ได้ เช่นนี้แล้วกัน ข้าไปหามู่อวิ๋น เจ้าไปหามู่เตี้ยน พวกเราแยกย้ายกันเคลื่อนไหว เจ้าให้มู่เตี้ยนกินยาแล้วนั่งสมาธิตามวิธีที่ข้าสอนให้เจ้า จากนั้นพวกเจ้าทั้งสองหาทางหลบเลี่ยงกล้องวงจรปิดเหล่านั้นไปที่ป่าไผ่ ข้ามีเรื่องจะบอก”
มู่เหลยรู้สถานการณ์ดี รีบพยักหน้ารับคำ หลังจากทำใจให้สงบครู่หนึ่ง จึงเดินออกไปพร้อมกับมู่เฟิง
กู้ซีจิ่วเร้นกายอยู่ภายในที่มืด เมื่อเห็นมู่เหลยฟื้นฟูแล้วจริงๆ เธอจึงโล่งใจ เธอให้ยาลูกกลอนอีกสองเม็ดแก่มู่เฟิงไปแล้ว ยามนี้จึงส่งกระแสเสียงถึงเขา ให้เขาไปช่วยอีกสองคน เธอกับตี้ฝูอีจะตรงไปที่คุกใต้ดิน เธอต้องหาทางช่วยหลีเมิ่งซย่าออกมาให้ได้ ไม่อาจให้นางต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่
…
ทั้งสองเดินตามแผนที่ที่มู่เฟิงวาดไว้ให้ก่อนหน้านี้ ไม่นานก็หาตำแหน่งคุกใต้ดินพบ
ยามเฝ้าคุกใต้ดินย่อมต้องเป็นลูกน้องคนสนิทของไอ้ตัวปลอมผู้นั้น เนื่องจากคฤหาสน์แห่งนี้แข็งแรงยิ่งกว่าถังเหล็กเสียอีก คนนอกไม่มีทางเข้าไปได้ ดังนั้น ยามเฝ้าคุกใต้ดินจึงหละหลวมยิ่งนัก ขอเพียงแค่มั่นใจว่าคนที่ถูกคุมขังอยู่ด้านในไม่หนีออกไปก็พอแล้ว
คนที่ถูกคุมขังด้านในหากไม่บาดเจ็บสาหัสจนขยับตัวไม่ได้ ก็ถูกตรวนวิญญาณชนิดพิเศษอันหนักอึ้งจองจำไว้ ไม่ต้องพูดถึงการหนีออกจากคุก แค่ให้พวกเขาวิ่งธรรมดารอบหนึ่งยังลำบากยากเข็ญเลย ดังนั้นหัวหน้ายามเฝ้าคุกใต้ดินจึงผ่อนคลายมาก ยามดึกเยี่ยงนี้ พวกเขาส่งผู้คุมเพียงแค่คนเดียวไปเดินลาดตระเวน ส่วนคนอื่นก็นอนหลับปุ๋ยกันหมดแล้ว
————————————————————–